ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 321 ลูกแกะที่โหดเหี้ยม (5) ตอนที่ 322 เก็บงาน (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 321 ลูกแกะที่โหดเหี้ยม (5) ตอนที่ 322 เก็บงาน (1)
ตอนที่ 321 ลูกแกะที่โหดเหี้ยม (5)
ไม่เพียงแต่คนของยอดเขาเทียมเมฆา ศิษย์นอกสำนักของสำนักชิงอวิ๋นนางก็ไม่คิดจะลงมือ เพราะลูกศิษย์เหล่านั้นไม่ถือว่าเป็นคนของสำนักชิงอวิ๋นจึงไม่จำเป็นต้องฆ่าผู้บริสุทธิ์
“ยั่วยุรึ” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จวินอู๋เสียกล่าวว่า “ช่วงนี้ เคอฉังจวีใช้อำนาจของฉินเย่ว์สร้างปัญหาจนทำให้ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ของ สำนักชิงอวิ๋นไม่พอใจอย่างมาก ฉินเย่ว์ตามใจเคอฉังจวีมาก ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ จึงไม่พอใจมานานแล้ว ในฐานะบุตรชายของท่านเจ้าสำนักคนก่อน หากเจ้าก้าวออกมาในเวลานี้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นยินดีที่จะสร้างความวุ่นวายในสำนักชิงอวิ๋นกับเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นวันสุดท้ายของฉินเย่ว์และสำนักชิงอวิ๋น
“เจ้าจะทำอย่างไร” มู่เฉินยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แท้จริงแล้วความวุ่นวายในช่วงนี้ของสำนักชิงอวิ๋นเป็นเพราะเจ้าเด็กสามคนนี้เป็นคนสร้างขึ้นมา ถ้าเขาเดาไม่ผิด ในสามคนนี้คนที่เป็นผู้นำจริงๆ คือจวินอู๋เสียที่อายุน้อยที่สุด
อายุแค่นี้แต่สามารถทำเรื่องที่ใหญ่โตแบบนี้ได้ มู่เฉินจินตนาการไม่ออกเลยว่าจวินอู๋เสียเติบโตขึ้นมาอย่างไร
และสกุลจวินนั้นแข็งแกร่งเพียงใดจึงกล้ามีเรื่องกับสำนักที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“พูดไป เจ้าก็ไม่เข้าใจ” จวินอู๋เสียโบกมือเพราะนางอธิบายไม่เก่ง
เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียไม่อยากพูด มู่เฉินก็ไม่ถามอย่างเข้าใจ
“ถ้าสำนักชิงอวิ๋นถูกทำลาย ก็จะไม่มีสำนักชิงอวิ๋นอีก ถ้าเจ้ายังไม่มีที่ไป เจ้าสามารถไปที่จวนหลินอ๋องในรัฐชีได้” จวินอู๋เสียคิดหาทางออกให้มู่เฉิน เพราะนางเชื่อว่าสำนักชิงอวิ๋นที่ฉินเย่ว์สร้างความเลวร้ายไว้ มู่เฉินก็คงไม่อยากอยู่
แม้ว่ามู่เฉินอายุไม่มาก แต่เขาก็เก่งกาจในด้านการรักษาเส้นเอ็นและเส้นลมปราณ แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของจวินอู๋เสียจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็ไม่สามารถแยกร่างได้ กองทัพของรุ่ยหลินมีหนึ่งแสนคน นางคนเดียวไม่สามารถดูแลทุกคนได้อย่างทั่วถึง
แต่ถ้ามีมู่เฉินและลูกศิษย์ของเขา กองทัพรุ่ยหลินก็จะพัฒนาเร็วขึ้นอย่างแน่นอน!
ในแผนการของจวินอู๋เสีย นางไม่เพียงแต่ต้องการให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่นางต้องการให้ทุกคนในกองทัพรุ่ยหลินแข็งแกร่งขึ้น ทำให้สกุลจวินมีกำลังมากขึ้นเพื่อปกป้องท่านปู่และท่านอาเล็กของนางให้ใช้ชีวิตโดยไร้ความกังวลไปตลอดชีวิต
มู่เฉินมองไปที่จวินอู๋เสียและพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งว่า “ถ้าเจ้าช่วยข้าฆ่าฉินเย่ว์ ข้าจะพาคนไปอยู่ที่จวนหลินอ๋องสามปีและในช่วงเวลาสามปีนี้ข้าจะใช้ความรู้และกำลังทั้งหมดที่ข้ามีเพื่อตอบแทนบุญคุณเจ้า”
จวินอู๋เสียฆ่าเคอฉังจวีแล้วถ้านางสามารถฆ่าฉินเย่ว์ได้อีกก็ถือว่าการแก้แค้นของมู่เฉินได้สิ้นสุดลงแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณจวินอู๋เสียเขาจึงใช้ทักษะทางการแพทย์ของเขาเป็นข้อแลกเปลี่ยน
“ตกลง” จวินอู๋เสียพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นางไม่สนใจว่ามู่เฉินจะมองความตั้งใจของนางออก
คนฉลาดย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร ใช่หรือไม่
หลังจากร่วมมือกันและปรึกษาหารือกันแล้ว มู่เฉินก็ไม่ได้รีบจากไป เขามองไปที่จวินอู๋เสียแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสท่านอื่นรู้เรื่องที่ข้ามายอดเขาเร้นเมฆาแล้ว ข้าออกไปแบบนี้ไม่ได้”
จวินอู๋เสียหยิบโอสถวิเศษออกมาหนึ่งเม็ดแล้วโยนให้มู่เฉิน
“กินมัน”
มู่เฉินกลืนเม็ดยาลงไปทันทีโดยไม่ลังเลใจแล้วเดินออกมานำตัวลูกศิษย์ที่สลบกลับไปทันที
“เจ้าให้เขากินอะไร” เฉียวฉู่มองมู่เฉินเดินจากไปแล้วขยับเข้าใกล้จวินอู๋เสียแล้วกล่าวถามด้วยความสงสัย
“มู่เฉินและเคอฉังจวีขัดแย้งกันมานาน เคอฉังจวีไม่มีวันปล่อยให้เขาเอาลูกศิษย์ของเขากลับไปอย่างง่ายดาย ฉะนั้น…เขาจะต้องมีค่าตอบแทน” ดวงตาของจวินอู๋เสียหรี่ลง แสดงละครก็ต้องแสดงให้จบ มู่เฉินถือว่าเป็นพันธมิตรที่ดี ฉลาดกว่ามั่วเฉี่ยนยวน
…………..
ตอนที่ 322 เก็บงาน (1)
ไม่นานก็มีข่าวกระจายไปทั่วสำนักชิงอวิ๋นว่า เคอฉังจวีลักพาตัวลูกศิษย์ของยอดเขาเทียมเมฆาไปหนึ่งคน และมู่เฉินที่เป็นผู้ดูแลยอดเขาเทียมเมฆาก็ตรงเข้าไปช่วยลูกศิษย์ที่ยอดเขาเร้นเมฆาตัวคนเดียว แต่หลังจากกลับมา เขาก็รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัวและมีไข้ขึ้นสูงไม่ยอมลง แม้แต่ฉินเย่ว์ก็มารักษาแต่เขาก็ยังคงต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามวันไม่สามารถลุกจากเตียงได้จนร่างกายดูซูบผอมลงไปมาก
หลังจากกลับมาจากยอดเขาเร้นเมฆาก็กลายเป็นสภาพแบบนี้เลย ผู้อาวุโสท่านอื่นต่างรู้สาเหตุดี เคอฉังจวีเก่งกาจในเรื่องยาพิษมิใช่หรือ มู่เฉินกับเคอฉังจวีก็ไม่ถูกกันมานานแล้ว และที่มู่เฉินสามารถนำลูกศิษย์ของเขากลับยอดเขาเทียมเมฆาได้นั้นต้องไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจะต้องได้รับอุปสรรคมากมายจากเคอฉังจวี เกรงว่าอาการป่วยของมู่เฉินก็เกิดจากยาพิษที่เคอฉังจวีวางยาเขาอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสทั้งหลายที่สงสัยว่ามู่เฉินนำลูกศิษย์กลับมาได้อย่างไรในวันนั้นก็เข้าใจในทันที
และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ความไม่พอใจของผู้อาวุโสทุกคนที่มีต่อเคอฉังจวีก็มากขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
แม้ว่าเคอฉังจวีจะขัดแย้งกับมู่เฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรมู่เฉินก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีสถานะเดียวกับเคอฉังจวี แต่เคอฉังจวีกลับกล้าวางยาพิษมู่เฉินอย่างไร้ความปรานี การกระทำนี้ของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยเห็นผู้อาวุโสท่านอื่นอยู่ในสายตาเลย
แม้แต่ผู้อาวุโสที่ไม่สนิทกับมู่เฉินก็ยังรู้สึกว่าถูกข่มขู่จากเหตุการณ์ในครั้งนี้
เคอฉังจวีกล้าวางยาพิษมู่เฉิน ไม่แน่ในอนาคตเขาก็อาจกล้าทำแบบนี้กับพวกเขาเช่นกัน เพราะตอนนี้เขายังกล้าจับตัวลูกศิษย์ของพวกเขาไปต่อหน้าพวกเขาแล้วอนาคตจะขนาดไหน
ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างโกรธแค้นเคอฉังจวีทันทีเมื่อพวกเขานึกถึงสายตาผิดหวังและเสียใจของเหล่าลูกศิษย์ของตัวเองหลังจากความวุ่นวายครั้งก่อน
และมีผู้อาวุโสบางคนที่อยากรู้ว่ามู่เฉินเจออะไรตอนที่ไปพบเคอฉังจวีจนถึงขั้นนำยาบำรุงไปเยี่ยมมู่เฉินที่ยอดเขาเทียมเมฆาด้วยความเป็นห่วง
แต่มู่เฉินกลับกล่าวด้วยมีสีหน้าสิ้นหวังว่า “ผู้อาวุโสเคอได้รับความไว้วางใจจากเจ้าสำนัก อย่างข้าเป็นแค่ผู้อาวุโสในนามเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแย่งลูกศิษย์ของข้าไปหรือทำอะไรกับข้า ข้าก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น ข้างหลังของเขาคือเจ้าสำนัก ข้าจะทำอะไรได้อีก ข้าได้แต่รอความตายเท่านั้น”
คำพูดที่น่าสลดใจนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง
ในเวลาเดียวกัน มันก็บ่งบอกถึงปัญหาอย่างหนึ่งว่า ตอนนี้คนที่ทุกข์ทรมานคือมู่เฉิน แต่ถ้าเคอฉังจวียิ่งอยู่ยิ่งจองหองมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตเรื่องแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาได้
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะปล่อยให้เคอฉังจวีทำแบบนี้แล้วนอนรอความตายเหมือนมู่เฉินหรือ
ไม่ได้
ไม่ได้เป็นอันขาด
สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในหัวของผู้อาวุโสทุกคน ผู้อาวุโสทุกคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก็เริ่มรู้สึกถึงความร้ายแรงของเรื่องได้นี้ได้จากคำพูดของมู่เฉิน
ในช่วงเวลาสั้นๆ ความวุ่นวายที่เพิ่งสงบลงเพียงสองสามวันก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง และความรุนแรงครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งก่อน
เพราะแม้แต่ฉินเย่ว์ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีก เขาส่งคนไปบอก ‘เคอฉังจวี’ ที่ยอดเขาเร้นเมฆาว่าอย่าให้มากเกินไปและหยุดสร้างปัญหาได้แล้ว
แต่ ‘เคอฉังจวี’ ที่ไม่ใช่คนเดิมจะสนใจคำเตือนของฉินเย่ว์ได้อย่างไร
หลังจากนั้นสองวัน ก็มีศพที่เสียหายสองศพอยู่หน้าประตูแต่ละยอดเขาและศพเหล่านั้นก็คือลูกศิษย์ของแต่ละยอดเขาที่ ‘เคอฉังจวี’ นำกลับไปยังยอดเขาเร้นเมฆา
ในเวลาเพียงครึ่งวัน ทั่วสำนักชิงอวิ๋นก็เกิดความวุ่นวายในทันที
เมื่อผู้อาวุโสทุกคนเห็นศพที่เสียหายและไม่สมบูรณ์เหล่านั้นแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดในทันที!
“เคอฉังจวี ไอ้สารเลว! ข้า…กับเจ้าอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว!” คำสาปแช่งเดียวกันหลุดออกมาจากปากของผู้อาวุโสสำนักชิงอวิ๋นทุกคน!
…………….