ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 337 ตบหน้าครั้งที่หก (9) ตอนที่ 338 ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 337 ตบหน้าครั้งที่หก (9) ตอนที่ 338 ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า (1)
ตอนที่ 337 ตบหน้าครั้งที่หก (9)
ดวงตาที่แดงก่ำของฉินเย่ว์จ้องไปที่จวินอู๋เสียราวกับว่าเขาต้องการจะบีบคอนางให้ตาย คนอื่นๆ ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของเขาในขณะนี้ ความเจ็บปวดที่ประหนึ่งบีบบังคับให้คนดีๆ คนหนึ่งกลายเป็นบ้า!
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าบนโลกใบนี้จะยังมีความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่
กระดูกของเขาเหมือนจะถูกมดนับล้านตัวกัดกินทีละเล็กละน้อย และเนื้อของเขาก็ถูกขูดออกมาทีละชั้น ในเวลานี้ฉินเย่ว์หวังเหลือเกินว่าเขาจะตายไปโดยตรง!
เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดในตอนนี้ ความเสียหายที่งูกระดูกสองหัวทำกับเขานั้นเรียกได้ว่าราวกับเป็นการจั๊กจี้!
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะหมดสติไปจากความเจ็บปวด แต่เข็มเงินที่ฝังไปทั่วทั้งร่างของเขาก็บังคับให้เขาคงสติไว้ ดวงตาของเขาลืมขึ้นอย่างผิดปกติ และเขาก็ไม่สามารถหมดสติได้เลยแม้ว่าเขาจะต้องการมันก็ตาม
ในเวลาเพียงชั่วพริบตาสั้นๆ ฉินเย่ว์รู้สึกเหมือนเขาได้ใช้เวลาไปกว่าหนึ่งปี ภายใต้สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม ความเจ็บปวดที่แทงทะลุไปถึงหัวใจทำให้เขาอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ตายไม่ได้
ในเวลาไม่นาน เส้นประสาทของฉินเย่ว์ก็พังทลายลง ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่กระอักออกมา และเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมาจากปากของเขาไม่หยุด ราวกับว่ามีเพียงการกรีดร้องเท่านั้นที่ทำให้เขาได้ผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
“หลังกระดานชนวนใต้ที่นั่งในห้องหนังสือของข้า!”
ปล่อยให้เขาตายเถิด!
ให้เขาได้ตายเถิด!
เขาทนต่อการทรมานเช่นนี้ไม่ไหวแล้วแม้จะเพียงเสี้ยวอึดใจเดียวก็ตาม!
เขาผิดไปแล้ว!
ทำผิดไปแล้วจริงๆ!
หากเขารู้ว่าจะมีวันนี้ เมื่อปีนั้นเขายินดีจะไม่แย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมาเป็นของตัวเอง ยินดีจะให้ตัวเองเป็นแค่ลูกศิษย์ต่ำต้อยของสำนักชิงอวิ๋น ดีกว่าต้องมาทนทุกข์ทรมานอย่างเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้!
จวินอู๋เสียมองฮวาเหยาด้วยรอยยิ้ม ฮวาเหยาตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะประสานมือและขอบคุณจวินอู๋เสีย จากนั้นเงาร่างสองร่างของฮวาเหยาและเฉียวฉู่ก็หายไปทางห้องหนังสือของฉินเย่ว์เพื่อเก็บของบางสิ่งกลับไป
ภายในห้องโถงใหญ่ จวินอู๋เสียกวาดสายตามองเหล่าผู้อาวุโสที่หวาดกลัวจนตัวสั่นและฉินเย่ว์ผู้กำลังร้องขอความตาย นางยิ้มเล็กน้อย จากนั้นถึงค่อยหันไปมองมู่เฉิน
“อยากจัดการด้วยตัวเองหรือไม่”
มู่เฉินหรี่ตาลง มองไปที่ฉินเย่ว์ผู้ซึ่งตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ นัยน์ตาของเขามีเพียงความเย็นชา ไร้ซึ่งความสงสาร
แม้ว่าฉินเย่ว์จะน่าสงสารมากในเวลานี้ แต่คนที่น่าสงสารก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเกลียดชัง!
เขาไม่มีวันลืมฉากที่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาถูกวางยาพิษและถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขา ไม่มีวันลืมว่าใบหน้าของฉินเย่ว์ในยามที่กระทำเรื่องอุบาทว์เหล่านั้นมันน่าเกลียดและน่าขยะแขยงมากเพียงใด และไม่มีวันลืมภาพของเปลวไฟที่เผาผลาญร่างของเหล่าอดีตผู้อาวุโสที่จงรักภักดีต่อสำนักที่ถูกไอ้ชั่วอย่างฉินเย่ว์ฆ่าตายทีละคนๆ
ฉินเย่ว์สมควรตาย!
และมันก็ไม่ควรได้ตายอย่างสบายๆ ขนาดนั้น!
หนึ่งชีวิตของมัน ไม่เพียงพอที่จะชดใช้ต่อบาปที่มันได้กระทำมาทั้งชีวิต!
มันคือฉินเย่ว์ที่ทำลายทั้งชีวิตของเขาจนสิ้นซาก และมันก็คือฉินเย่ว์เช่นกัน ที่ทำลายสำนักชิงอวิ๋นที่เขาแสนจะภาคภูมิใจจนไม่มีเหลือ!
“ไม่ ข้าต้องการให้เขามีชีวิตอยู่และทรมานอย่างแสนสาหัสจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต!” มู่เฉินกัดฟัน ความเกลียดชังภายในหัวใจของเขายามนี้ไม่จำเป็นต้องปิดซ่อนมันไว้อีกต่อไป
จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ไม่ไปแตะต้องฉินเย่ว์อีก นางปล่อยให้มู่เฉินได้เพลิดเพลินไปกับการแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ นี้อย่างช้าๆ
ฉินเย่ว์คิดว่าเขาจะสามารถเป็นอิสระได้ด้วยการสารภาพออกไปว่าแผนที่นั้นอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของมู่เฉิน หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด ฉินเย่ว์นอนเหยียดอยู่บนพื้นเหมือนกับสุนัขที่ตายไปแล้ว และประสบกับความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมาณมากที่สุดบนในโลกนี้
ดวงตาของเขา บัดนี้เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะตาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงเวลาที่จวินอู๋เสียบอก เขารู้ดีว่าความปรารถนานี้จะไม่มีวันเป็นจริง!
เสียงกริ่งดังส่งมาจากที่ไกลๆ พระอาทิตย์ดวงโตก็ลอยขึ้นสู่จุดสูงสุดและส่องแสงร้อนแรงแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นปฐพี ภายใต้ความร้อนที่แผดเผานั้น หมอกพิษจำนวนมหาศาลก็แผ่กระจายออกไปอย่างเงียบๆ บนยอดเขาทั้งสิบเอ็ดแห่งของเทือกเขาเมฆา เหล่าศิษย์ที่ไม่รู้เลยว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาถึงตัวของพวกเขาแล้ว ยังคงดื่มกินสุราและเนื้ออย่าง นับวันรออนาคตที่แสนสดใสและรุ่งโรจน์ของพวกเขาเอง
จวินอู๋เสียหลุบตาลงเบาๆ ถอนเข็มเงินที่ฝังอยู่บนร่างที่คอยยืดเวลาตายให้ฉินเย่ว์ออกแล้วส่งเขาออกเดินทาง!
ดวงตาของฉินเย่ว์เบิกกว้าง ในขณะที่ดึงเข็มเงินทั้งหมดบนตัวนั้นถูกถอนออกไป เขายืดตัวขึ้น และในชั่วพริบตาเขาก็สูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าไป!
…………..
ตอนที่ 338 ศัตรูที่แข็งแกร่ง (1)
เมื่อเฉียวฉู่และฮวาเหยากลับมา พวกเขาก็เห็นภาพของฉินเย่ว์ที่กำลังจะตาย การแสดงออกของพวกเขาสงบมาก ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ไม่ใช่เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า แต่เป็นมดปลวกที่อยู่ข้างถนนตัวหนึ่ง
“ข้าได้ของแล้ว” ฮวาเหยาพยักหน้าให้จวินอู๋เสีย
“ส่งพวกเขาทั้งหมดออกเดินทางซะ มู่เฉินได้เวลาที่ท่านจะต้องไปนำศิษย์ของท่านลงจากยอดเขาแล้ว” จวินอู๋เสียหันไปรอบๆ โดยไม่มีร่องรอยของความอาลัยอาวรณ์ในสายตาของนาง ฮวาเหยาและคนอื่นๆ ก็ติดตามนางไปอย่างใกล้ชิด
ภายในห้องโถงใหญ่ กลุ่มผู้อาวุโสมองตามแผ่นหลังของจวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ที่จากไปด้วยแขนขาที่อ่อนแรง แต่เดิมพวกเขาสมควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คำพูดของจวินอู๋เสียก่อนจากไป ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนลงไปอยู่ในบ่อน้ำแข็งใต้ดินอีกครั้ง
สัตว์ร้ายขนาดยักษ์ทั้งสามได้เปิดฉากฆ่าเป็นครั้งสุดท้ายภายในห้องโถงใหญ่ เลือดสีแดงสดแปดเปื้อนไปทั่วห้องโถงที่งดงามนี้ ชำระล้างสำนักอันแสนโสมมและสกปรกที่สุดในใต้หล้าให้หายไปด้วยเลือดของพวกเขาเอง
บนยอดเขาเมฆาคราม มีศพของศิษย์สายในของสำนักชิงอวิ๋นนอนอยู่บนพื้นทุกที่ สีหน้าของพวกเขาตอนตาย ยังเต็มไปด้วยความโกรธและพวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เทือกเขาเมฆาซึ่งเคยมีชีวิตชีวามากในอดีต ได้ตายจากไปแล้วพร้อมๆ กับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนยอดเขาที่สิ้นลมไป ระหว่างทางจากยอดเขาเมฆาครามไปยังยอดเขาเทียมเมฆา มู่เฉินไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดที่ยังมีลมหายใจอีกเลย
จวินอู๋เสียได้ทำตามสิ่งที่นางเคยกล่าวเอาไว้ทุกประการ ปฏิบัติตามคำสัญญาของนางที่ว่าจะไม่ให้เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัขอยู่ในสำนักชิงอวิ๋น!
“ต่อจากนี้ เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไปหรือ” ฮวาเหยามองไปที่จวินอู๋เสีย เรื่องของสำนักชิงอวิ๋นบัดนี้ก็ได้ปิดฉากลงแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้จะไม่มีคำว่า ‘สำนักชิงอวิ๋น’ สามคำนี้อีก
จวินอู๋เสียมองสำนักชิงอวิ๋นที่นางทำลายเองกับมือเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาสงบ พูดเสียเบาว่า “ข้าจะกลับไปที่บ้านก่อน”
จากมานานเพียงนี้ ถึงเวลาที่นางต้องกลับบ้านแล้ว
“เช่นนั้นพวกเราจะกลับไปพร้อมกับเจ้าด้วย! มู่เฉินบอกว่าเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อจัดการกับศิษย์สายนอกและเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่มาพำนักอยู่ที่สำนักชิงอวิ๋นให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นครึ่งเดือนถึงจะไปยังรัฐชีเพื่อตามหาเจ้า และทำตามคำสัญญาที่ว่าจะช่วยพวกเราหลอมเม็ดยาที่พวกเราต้องการ” เฉียวฉู่พูดด้วยรอยยิ้มสดใส ช่วงเวลานี้ที่ได้อยู่ร่วมกับจวินอู๋เสีย เขารู้สึกว่าจวินอู๋เสียยิ่งมองก็ยิ่งรื่นตามากขึ้นทุกที
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงแค่เจ้าหนูตัวน้อย แต่วิธีการและความคิดของเขานั้น กลับไม่ได้ด้อยไปกว่าใครหน้าไหนทั้งสิ้น!
สำนักชิงอวิ๋นที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน ก็ยังเดินไปสู่นรกด้วยน้ำมือของนาง การได้อยู่กับสัตว์ประหลาดตัวน้อยเช่นนี้ มันช่างทำให้ทุกวันของเขามีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นและชวนระทึกใจจริงๆ!
จวินอู๋เสียเหลือบมองเฉียวฉู่ที่ใบหน้าฉายแววตื่นเต้นและพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง
ครั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือของฮวาเหยาและเฉียวฉู่ แผนการในการทำลายสำนักชิงอวิ๋นของนางจึงราบรื่นและรวดเร็วขึ้นมาก เมื่อเทียบกับเวลาเดิมที่นางได้วางแผนไว้ เรียกได้ว่าบทสรุปนี้มาเร็วกว่าที่นางคาดการณ์ไว้ถึงครึ่งเดือน!
เนื่องจากเป็นความร่วมมือกัน ดังนั้นนางจึงควรปฏิบัติตามคำสัญญา
ในความคิดของจวินอู๋เสีย ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฮวาเหยาและเฉียวฉู่เป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้รู้เลยว่าความร่วมมือนี้จะพันธนาการและเกี่ยวโยงพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันไปตลอดชีวิต
ทั้งสามคนเดินลงมาจากภูเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อนนัก และฝากฝังการจัดการขั้นสุดท้ายของสำนักชิงอวิ๋นไว้ให้กับมู่เฉินช่วยเก็บกวาดไป
เดินลงมาจากเทือกเขาเมฆา นอกจากเฉียวฉู่ที่พูดนั่นพูดนี่มาตลอดทางไม่ยอมหยุดแล้ว อีกสองคนที่เหลืออย่างฮวาเหยาและจวินอู๋เสียล้วนนิ่งเงียบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาลงมาถึงครึ่งทาง ทันใดนั้นเงาร่างสองร่างก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขาเมฆา
เมื่อร่างทั้งสองนั้นเห็นซากศพที่นอนตายเกลื่อนภูเขา ในดวงตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นถึงความสนอกสนใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับสำนักชิงอวิ๋นกัน ข้าไม่ได้มาเพียงครึ่งปี กลับมีสภาพเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว” บุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งมองเหล่าศิษย์ที่นอนตายตาไม่หลับบนพื้น บนใบหน้ายังคงเผยให้เห็นถึงความเคียดแค้นด้วยรอยยิ้มอันตรายที่ไม่ไปถึงดวงตา
บุรุษอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และทันใดนั้นเองสร้อยไข่มุกบนข้อมือของเขาก็ฉายแสงสีเขียวเจิดจ้า บุรุษผู้นั้นผงะไปทันที
“ในสามโลกเบื้องล่างนี้ มีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษาอยู่ด้วยหรือนี่!”
……………….