ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 367 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (2) ตอนที่ 368 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 367 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (2) ตอนที่ 368 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (3)
ตอนที่ 367 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (2) / ตอนที่ 368 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (3)
ตอนที่ 367 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (2)
เยี่ยนปู้กุยขมวดคิ้วมุ่น ไม่ต้องการให้ดึงจวินอู๋เสียให้เข้าม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
แต่จวินอู๋เสียกลับโพล่งขึ้นว่า “ไปก็ไป”
กระทั่งสำนักชิงอวิ๋นนางยังกล้าที่จะทำลาย นับประสาอะไรกับการไปพบหน้าอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาที่ทรุดโทรมนี้สักครั้ง
“ได้! ข้าจะไปรอพวกเจ้าที่ห้องหนังสือของท่านอาจารย์ใหญ่!” เหอชิวเซิงพูดอย่างเกรี้ยวกราดและรีบไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เหอชิวเซิงจากไป เยี่ยนปู้กุยก็ละสายตาที่เฉียบแหลมของเขากลับมาและมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างจนปัญญา
“จวินเสีย เจ้าไม่จำเป็นต้อง…”
“ข้าจะไป” จวินอู๋เสียพูดอย่างเด็ดขาด คำว่า ‘อาจารย์’ สองคำนี้ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยสำหรับนางมากนัก แต่เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างเฉียวฉู่กับคนอื่นๆ และเยี่ยนปู้กุย นางก็เริ่มได้เรียนรู้มันขึ้นมาบ้างแล้วทีละเล็กละน้อย
เยี่ยนปู้กุยถอนหายใจหนัก แม้จวินอู๋เสียยามปกติจะไม่ใช่คนพูดมาก แต่เขารู้ดีว่าศิษย์ตัวน้อยของเขาคนนี้เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หากนางบอกใช่ ก็จะไม่มีคำว่าไม่หลุดออกมาเป็นอันขาด และคำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของนางแล้ว ก็คล้ายกับประกาศิต ที่ไม่สามารถถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันได้ง่ายๆ
จวินอู๋เสียส่งเจ้าแมวดำตัวน้อยให้กับหรงรั่วอีกครั้งเพื่อให้เขาช่วยดูแล จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของอาจารย์ใหญ่พร้อมกับเยี่ยนปู้กุย
ระหว่างทางนางยังได้พบกับลูกศิษย์หลายคนของสำนักศึกษาหงส์อมตะ คนหนุ่มสาวเหล่านั้นเมื่อเห็นจวินอู๋เสียและพวกเขาก็หันหน้าไปกระซิบกระซาบกัน จากนั้นก็ชี้นิ้วมาทางนี้ พวกเขาไม่มีใครเคารพเยี่ยนปู้กุยในฐานะอาจารย์เลย
เยี่ยนปู้กุยเคยชินกับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามันน่าน้อยใจหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่คราวนี้เขามองไปที่จวินอู๋เสียที่เดินอยู่ข้างๆ เขา รู้สึกว่าเขาทำผิดต่อศิษย์ตัวน้อยของเขาจริงๆ
ทุกๆ การกระทำ ทุกๆ คำพูดของจวินอู๋เสีย เยี่ยนปู้กุยมองออกว่าสาวน้อยคนนี้หยิ่งผยองและรักในศักดิ์ศรีของตัวเองมากขนาดไหน ต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา แผ่นหลังของนางก็จะยังยืดตรงไม่ยอมงอลงมาแม้เพียงครึ่งส่วน
สายตาดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ เขาเกรงว่านางจะทนรับไม่ไหว
อันที่จริง เยี่ยนปู้กุยเดาผิดไปจริงๆ!
ก่อนที่จวินอู๋เสียจะลงมือบีบบังคับให้อดีตฮ่องเต้รัฐชีสละราชสมบัติ นางก็เคยถูกนินทาว่าร้าย ตราหน้าว่าเป็นสตรีป่าเถื่อนโหดเหี้ยมไร้ความสามารถมาแล้ว กับแค่สายตาดูถูกเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้…
นางไม่ยี่หระกับพวกมันด้วยซ้ำ นางไม่เคยสนใจ ยิ่งไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เดิมทีสำนักศึกษาหงส์อมตะนั้นเคยมีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ภายหลังการรื้อถอนและสร้างใหม่ ขนาดของมันก็ลดลงมาไม่น้อย เนื่องจากเหตุผลทางด้านการเงิน สำนักศึกษาหงส์อมตะแห่งนี้จึงไม่ได้รับการบูรณะหรือตกแต่งใหม่มาหลายปีแล้ว สภาพของที่นี่จึงทรุดโทรมมากขึ้นทุกวัน ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเกี่ยวกับการเงินของที่นี่
ห้องหนังสือของอาจารย์ใหญ่มีขนาดไม่ใหญ่นัก สีทาที่ทาอยู่บนบานประตูก็หลุดลอกไปมาก บันไดทางขึ้นก็ทรุดโทรม มีวัชพืชแทรกขึ้นมาจากรอยแตกเหล่านั้น ทำให้ดูหดหู่อ้างว้าง
พวกเขาผลักประตูเข้าไปในห้อง ชายชราที่ไว้เคราสีขาวนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือในห้อง ใบหน้าที่แก่ชราหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเยี่ยนปู้กุยและศิษย์ใหม่ของเขาจวินเสียด้วยเดินเข้ามา ที่ด้านข้างก็มีเหอชิวเซิงส่งเสียงแหนมด่าทอสาปแช่งพวกเขาไม่หยุด
เมื่อเขาเห็นว่าเยี่ยนปู้กุยและจวินอู๋เสียมาตามที่นัดไว้จริงๆ เหอชิวเซิงก็ไม่ได้ยับยั้งตัวเองอีก เสียงด่าทอของเขาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การแสดงออกของเยี่ยนปู้กุยดูน่าเกลียดเล็กน้อย แต่ใบหน้าของจวินอู๋เสียนั้นยังคงไร้ความรู้สึกราวกับว่าเสียงดูถูกของเหอชิวเซิงไม่ได้ลอยเข้าหูของนางสักนิด
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านดู ดูพวกมันทั้งสองคนสิ ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์มากเกินไปแล้ว! วันนี้ข้าจะชำระบัญชีกับพวกมัน ตลอดหนึ่งปีมานี้ตึกฝั่งทิศตะวันออกติดค้างค่าธรรมเนียมของสำนักศึกษาเท่าไร ข้าจะเรียกเก็บทุกสตางค์ไม่ให้น้อยไปแม้แต่เหรียญเดียว ถ้าพวกมันไม่มีปัญญาจ่ายให้ข้า ท่านก็ให้พวกมันเก็บเสื้อผ้าแล้วออกไปจากสำนักศึกษาหงส์อมตะทั้งหมดซะ” เหอชิวเซิงพูดพร่ำอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่ยกเรื่องเงินขึ้นมาพูด ดวงตาของอาจารย์ใหญ่ก็สว่างวาบ สีหน้าของเขามีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เยี่ยนปู้กุยกับจวินอู๋เสีย
“ปู้กุยเอ๋ย เมื่อไหร่เจ้าจะใช้เงินที่ติดค้างไว้สักทีเล่า ยืดเยื้อต่อไปก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีกระมัง เจ้าต้องคิดด้วยว่าเด็กจากตึกฝั่งเจ้ากำลังสร้างปัญหาและความยากลำบากให้กับศิษย์คนอื่นๆ อยู่ หากว่าเรื่องนี้ดังไปถึงหูของครอบครัวของศิษย์เหล่านั้น คนพวกนั้นคงได้ถ่อมาถึงสำนักศึกษาแห่งนี้เพื่อเอาเรื่อง! เจ้าส่งเด็กคนนั้นออกไปเถิด อย่างน้อยๆ ก็จะได้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของเจ้าลงส่วนหนึ่งไม่ใช่หรือ” ท่านอาจารย์ใหญ่มองไปที่เยี่ยนปู้กุยด้วยสีหน้าขมขื่นเศร้าใจราวกับถูกบีบคั้น
ตอนที่ 368 ตึกฝั่งทิศตะวันออกยกระดับ (3)
สีหน้าของเยี่ยนปู้กุยยิ่งมาก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นทุกที เมื่อท่านอาจารย์ใหญ่พูดถึงตอนที่บอกให้ส่งจวินอู๋เสียออกไป เหอชิวเซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ทำสีหน้าระรื่น รู้สึกได้ใจอย่างถึงที่สุด
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าว่าตำแหน่งอาจารย์ผู้ดูแลตึกฝั่งทิศตะวันออกก็ควรเปลี่ยนคนแล้วเช่นกัน ท่านดูสิเยี่ยนปู้กุยวันๆ ทำอะไรบ้าง นอกจากออกไปเก็บเด็กขอทานพวกนี้ออกมาจากข้างนอกแล้วมาเพิ่มภาระให้กับสำนักศึกษา! นอกจากกลุ่มขอทานไม่กี่คนพวกนั้น ยังจะมีผู้ใดอยากกราบเขาเป็นอาจารย์ ปัจจุบันสถานการณ์ของพวกเราไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นทุกที ให้ขอทานพวกนั้นอยู่ต่อก็มีแต่รกที่แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักศึกษาของพวกเราเสื่อมเสียอีก หลอกกินหลอกดื่มไม่พอ ยังป่าเถื่อนชอบใช้กำลัง ที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกับศิษย์ของข้าแล้ว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกมันคงได้เหิมเกริมไม่เห็นใครอยู่ในสายตาอีก” เหอชิวเซิงไม่กลัวว่าจะทำให้โลกนี้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น เขายืนใส่ไฟอยู่ข้างๆ หูอาจารย์ใหญ่
“นี่…” อาจารย์ใหญ่ขมวดคิ้ว
จวินอู๋เสียมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องหนังสือด้วยสายตาเย็นชา ประกายหนาวเหน็บในดวงตาของนางยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
“ท่านอาจารย์ใหญ่อย่าได้ลังเลอีกต่อไปเลย หากท่านยังคงปล่อยคนจากตึกฝั่งทิศตะวันออกไปและทำเป็นไม่สนใจอีก ศิษย์จากตึกอื่นๆ อาจจะลาออกไปเพราะเรื่องนี้ก็ได้นะขอรับ พวกนั้นน่ะล้วนเป็น…” ไม่ทันรอให้เหอชิวเซิงพูดจบ
มือเล็กๆ ของจวินอู๋เสียก็หยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อของนาง และตบลงไปที่โต๊ะด้านหน้าอาจารย์ใหญ่อย่างแรง
“พอหรือไม่” จวินอู๋เสียถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องพากันเงียบกริบ
ดวงตาของท่านอาจารย์ใหญ่จับจ้องไปที่ตั๋วแลกเงินบนโต๊ะตรงหน้าเขาด้วยสายตาวาวโรจน์ ลมหายใจของเขาหอบหนักด้วยความตื่นเต้น
ตั๋วแลกเงิน…
กี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นมัน
เหอชิวเซิงที่ถูกขัดจังหวะในการพูดอย่างเร่าร้อนเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำนี้มากที่สุด เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสียโยนตั๋วแลกเงินลงมาตรงหน้าท่านอาจารย์ใหญ่ ตั๋วแลกเงินสีขาวก็ทำเอาใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที!
มุมปากของเขากระตุกยิก รีบพูดไปว่า “หนี้ที่ตึกฝั่งทิศตะวันออกติดค้างสำนักศึกษาอยู่ไม่ใช่น้อยๆ ค่าธรรมเนียมของสำนักศึกษาปีก่อนตลอดทั้งปี ยังมีค่ากิน ค่าดื่ม ค่าของใช้จิปาถะทั้งหลายแหล่ในปีอื่นๆ ที่ยังค้างชำระอยู่ ไม่ใช่เงินเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงจะสามารถแก้ไขได้หรอกนะ ขอทานน้อยจากครอบครัวยากจนเช่นเจ้า อย่างมากสุดก็ดึงออกมาได้เพียงไม่กี่ร้อยตำลึง…”
ทว่าเสียงของเหอชิวเซิงเพิ่งจะดังได้เพียงครึ่งทาง มันก็ติดอยู่ที่ลำคอของเขาเปล่งออกมาไม่ได้อีก
ขณะที่เหอชิวเซิงกำลังพูดน้ำไหลไฟดับ ท่านอาจารย์ใหญ่ก็หยิบตั๋วแลกเงินใบนั้นคืนมา ตัวเลขที่สลักอยู่บนตั๋วแลกที่เขาได้เห็น ทำให้เขาต้องสูดลมเย็นเข้าปอดลึกๆ!
เหอชิวเซิงปรายตามองตั๋วแลกเงินใบนั้นด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง แต่เมื่อตัวเลขด้านบนสะท้อนสู่สายตาของเขา ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ ท่าทางของเขาดูน่าเกลียดราวกับมีคนยกมือขึ้นตบหน้าเขาใหญ่ๆ สองฉาด
บนตั๋วแลกเงินสีขาวราวกับหิมะ ตัวเลขที่น่าตกใจถูกเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ชัดเจน…
หนึ่งแสนตำลึง!
มือของอาจารย์ใหญ่ชราที่ถือตั๋วแลกเงินอยู่เริ่มสั่น และเคราของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
รายได้ต่อปีของทั้งสำนักศึกษาหงส์อมตะ หักด้วยค่าใช้จ่ายแล้ว มีจำนวนเพียงสามถึงสี่หมื่นตำลึงเท่านั้น แต่นี่จวินอู๋เสียกลับโยนตั๋วแลกเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมาวางบนโต๊ะแบบไม่สะทกสะท้าน!
นี่เทียบเท่ากับรายได้เกือบสามปีเต็มของทั้งสำนักศึกษาหงส์อมตะเลยเชียว!
ไม่แปลกใจเลยที่สีหน้าของท่านอาจารย์ใหญ่จะตื่นเต้นยินดี ตัวสั่นราวกับต้นหลิวกลางพายุเช่นนั้น!
สีหน้าของเหอชิวเซิงดูเหมือนคนที่กำลังกลืนอุจจาระเข้าไป ใบหน้าของเขาขาวซีดไปครู่หนึ่ง
ลูกศิษย์ของเจ้าเยี่ยนปู้กุย โยนตั๋วแลกเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมาได้อย่างสบายๆ ราวกับโยนเศษเงินเพียงไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น เจ้าเด็กนี่ทำไมมันถึงได้ร่ำรวยขนาดนี้!
เหอชิวเซิงสงสัยว่าเขากำลังประสาทหลอน ตาฝาดไปหรือไม่!
“นี่…ตั๋วแลกเงินนี้ต้องเป็นของปลอมแน่ๆ!” เหอชิวเซิงยังคงคัดค้านสุดฤทธิ์ เขาไม่เชื่อ จึงตะโกนและชี้นิ้วไปทางตั๋วแลกเงินใบนั้น เด็กน้อยอย่างเจ้านี่จะร่ำรวยมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปที่เหอชิวเซิงที่เปลี่ยนจากความอายเป็นความโกรธ และคร้านที่จะเสวนายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
ท่านอาจารย์ใหญ่หลังจากได้รับการเตือนจากเหอชิวเซิง เขาก็หรี่ตาลงทันทีและเริ่มตรวจสอบชื่อร้านแลกเงินที่ระบุอยู่ในตั๋วแลกเงินรวมถึงตราประทับด้านบนนั้นอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็เผยรอยยิ้มกว้างและพูดว่า “ตั๋วแลกเงินนี้เป็นของจริง! นี่คือตราประทับของร้านแลกเงินจันทร์กระจ่าง! มันเป็นของแท้แน่นอน!”
เหอชิวเซิงพูดอะไรไม่ออกจริงๆ แล้วในตอนนี้ ร้านแลกเงินจันทร์กระจ่าง เป็นร้านแลกเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสาขาของพวกเขาอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน และตราประทับของร้านแลกเงินจันทร์กระจ่างนี้ ก็เป็นตราประทับที่ถูกตรึงด้วยพลังวิญญาณทั้งหมด ไม่สามารถทำซ้ำหรือลอกเลียนแบบโดยคนธรรมดาทั่วไปได้