ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 377 สำนักศึกษาเฟิงหัว (1) ตอนที่ 378 สำนักศึกษาเฟิงหัว (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 377 สำนักศึกษาเฟิงหัว (1) ตอนที่ 378 สำนักศึกษาเฟิงหัว (2)
ตอนที่ 377 สำนักศึกษาเฟิงหัว (1) / ตอนที่ 378 สำนักศึกษาเฟิงหัว (2)
ตอนที่ 377 สำนักศึกษาเฟิงหัว (1)
สำนักศึกษาเฟิงหัวตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐต้าตู ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบและมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
มีข่าวลือว่าหากเจ้ายืนอยู่หน้าประตูของสำนักศึกษาเฟิงหัว เจ้าจะไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของมันได้
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในแผ่นดินนี้ ทุกๆ เดือนที่เก้าของทุกปีที่มีการเปิดรับสมัครศิษย์ใหม่ สถานที่นี้จึงมักคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเสมอ
กวาดสายตามองออกไป คลื่นฝูงชนจากทั่วทุกสารทิศต่างแห่แหนมาที่หน้าประตูเพื่อลงทะเบียน
รถม้าหลายคันจากหลากหลายตระกูลทั่วทั้งแผ่นดินแล่นเข้ามาไม่มีที่สิ้นสุด คนรุ่นเยาว์มากมายในวัยที่เหมาะสมก็ได้มาพร้อมกับครอบครัวพวกเขาจากทุกที่ เดินทางรอนแรมหลายพันลี้เพื่อมาสมัครเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัวโดยเฉพาะ ในช่วงกลางเดือนแปดถึงต้นเดือนเก้า ไม่เพียงแต่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวเท่านั้นที่ครึกครื้น แต่โรงเตี๊ยม เหลาอาหาร และโรงน้ำชาในบริเวณโดยรอบเองต่างก็คึกคักตามไปด้วย ทุกที่ล้วนแออัดไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของฝูงชนที่หลั่งไหลเข้ามา
ในใต้หล้านี้ มีสำนักศึกษามากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ที่อยู่ด้านบนสุดของพีระมิด กลับมีเพียงสามแห่งเท่านั้น และสำนักศึกษาเฟิงหัวก็คือหนึ่งในนั้น
เกณฑ์การลงทะเบียนของสำนักศึกษาชั้นนำ ยังเข้มงวดและโหดกว่าสำนักศึกษาทั่วไปมาก พวกเขาจะรับเฉพาะเด็กหนุ่มสาวที่มีอายุอยู่ระหว่างสิบสี่ถึงสิบหกปีเท่านั้น หากเกินกว่ากำหนด แม้จะเพียงแค่สองปีก็อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสเข้าไป
นอกจากนี้สำนักศึกษาเฟิงหัวยังแบ่งออกเป็นตึกหลักและตึกรอง ตึกหลักมีเฉพาะเพียงผู้ที่มีวงแหวนภูติวิญญาณหายาก หรือไม่ก็ผู้ที่มีอัตราการบ่มเพาะพลังวิญญาณก้าวหน้ารวดเร็วเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ส่วนคนธรรมดาทั่วไป คิดเข้าไปอยู่ในตึกหลัก ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์!
เกณฑ์การรับสมัครศิษย์เข้าตึกรองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วค่อนข้างผ่อนคลายกว่ามากโข โดยพื้นฐานแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ามีเงินมากพอ เจ้าก็สามารถเข้ามาศึกษาในตึกรองได้ หากยิ่งเจ้ามีคุณสมบัติดีเยี่ยมหรือมีการแสดงออกที่โดดเด่น ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เจ้าก็จะมีโอกาสถูกเสนอชื่อให้เข้าไปศึกษาต่อในตึกหลัก แต่สำหรับคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดา มีคุณสมบัติดาษดื่น อย่างมากก็แค่ศึกษาต่อในตึกรองได้อีกหนึ่งปีเท่านั้น หากยังไม่มีโอกาสเลื่อนเข้าไปอยู่ในตึกหลัก ในต้นฤดูใบไม้ผลิของปีการศึกษาที่สอง เจ้าก็จะถูกขับออกจากสำนักศึกษาอย่างไม่มีเงื่อนไข
อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมที่พวกเขาต้องจ่ายตอนลงทะเบียนเรียน กลับเป็นส่วนของทั้งสามปีการศึกษา แม้ว่าจะถูกไล่ออกก่อนกำหนด เงินส่วนต่างนั้นก็จะไม่ได้รับคืนแต่อย่างใด
โดยทั่วไป เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าเรียนในสำนักศึกษา มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่จะถูกเสนอชื่อให้เข้าไปศึกษาต่อในตึกหลัก ส่วนคนที่เหลือนับพัน ล้วนถูกโยนทิ้งไว้ที่ตึกรองโดยไม่แยแส
อายุสิบสี่ปี คือช่วงเวลาที่ภูติวิญญาณของมนุษย์จะตื่นขึ้นมาและกลายเป็นวงแหวนภูติวิญญาณ การที่สำนักศึกษาเฟิงหัวเลือกเด็กจากช่วงอายุนี้จนถึงสิบหกปี นั่นก็หมายความว่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวจะมีเวลาบ่มเพาะพลังวิญญาณเพียงสองปีเท่านั้น ในช่วงเวลาเพียงสองปีสั้นๆ การจะทะลวงระดับพลังขึ้นไปอีกขั้น นี่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่…ความแตกต่างในจุดนี้เองที่จะใช้ประเมินความสามารถของพวกเขา
สำหรับเด็กที่ถูกคัดเลือกให้เข้าไปศึกษาในตึกหลักแต่แรก ทั้งหมดของพวกเขาล้วนเป็นพวกที่มีภูติวิญญาณพิเศษและหาได้ยากทั้งสิ้น
เหตุผลที่สำนักศึกษาเฟิงหัวสามารถรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่บนจุดสูงสุดได้เสมอ นอกจากบรรดาคณาจารย์ที่แข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่กล่าวไม่ได้นั่นก็คือ พวกเขายังมีทิศทางการบ่มเพาะพลังที่เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณ!
รูปแบบการบ่มเพาะพลังวิญญาณของสำนักศึกษาเฟิงหัวนั้น มีอยู่ทั้งสิ้นสามทิศทางได้แก่ สัตว์วิญญาณ อาวุธวิญญาณ และการเยียวยาจิตวิญญาณ
สาขาสัตว์วิญญาณรับลูกศิษย์ที่มีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้าย สาขาอาวุธวิญญาณรับลูกศิษย์ที่มีวงแหวนภูติวิญญาณประเภทอาวุธ ส่วนสาขาการเยียวยาจิตวิญญาณ ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องเป็นลูกศิษย์ที่มีวงแหวนภูติวิญญาณชนิดใด อาจไม่ได้เป็นภูติวิญญาณประเภทต่อสู้ แต่มีแนวโน้มไปทางสนับสนุนหรือค่อนไปทางการรักษามากกว่า
เป็นที่รู้กันดีว่าภูติวิญญาณและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นเชื่อมต่อและผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และแม้ว่าภูติวิญญาณจะเลือดไหลไม่ได้เหมือนมนุษย์ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ยาวนาน อาจมีบ้างที่จะสร้างบาดแผลให้กับพวกมัน และถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้พวกมันถึงตาย แต่ก็ทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมันลดลงจากเดิมมาก ผู้เยียวยาจิตวิญญาณก็คือกลุ่มคนที่มีอยู่เพื่อรักษาภูติวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะ
ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เป็นทิศทางการบ่มเพาะพลังวิญญาณที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ในภายหลังและเริ่มมีชื่อเสียงขจรขจายออกไปไกลจากสำนักศึกษาเฟิงหัวแห่งนี้
ปัจจุบัน สาขาการบ่มเพาะพลังดังกล่าวมีเพียงแค่สำนักศึกษาเฟิงหัวเท่านั้นที่เปิดสอน เนื่องจากมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะฝึกฝนผู้เยียวยาจิตวิญญาณอย่างไร
เรียกได้ว่าผู้เยียวยาจิตวิญญาณในตอนนี้ เป็นอาชีพในฝันที่โด่งดังและเป็นที่ต้องการยิ่งกว่านักหลอมโอสถเสียอีก!
มีหลายคนที่สามารถหลอมโอสถได้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วิธีการรักษาและเยียวยาภูติวิญญาณ วงแหวนภูติวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้คนพอๆ กับชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถหาสิ่งใดมาแทนที่ได้
หากเจ้าต้องการเป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ไม่สำคัญว่าพลังวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับระดับการผสานระหว่างพลังวิญญาณของเจ้ากับภูติวิญญาณตนนั้นว่าเข้ากันใด้ถึงระดับไหนต่างหาก พูดง่ายๆ ก็คือผู้เยียวยาจิตวิญญาณ คือการใช้พลังวิญญาณของผู้เยียวยาไปรักษาซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องของภูติวิญญาณตนที่ได้รับบาดเจ็บนั่นเอง
ตอนที่ 378 สำนักศึกษาเฟิงหัว (2)
การผสานพลังกับภูติวิญญาณ แนวคิดที่ลึกลับเช่นนี้ไม่เคยมีใครเคยทดลองมาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด สำนักศึกษาเฟิงหัวจึงเป็นเพียงสถานที่หนึ่งเดียวในผืนแผ่นดินนี้ที่บ่มเพาะผู้เยียวยาจิตวิญญาณ!
แม้ว่าจะมีผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพียงแค่คนเดียวเกิดขึ้นในครอบครัวของพวกเขา แต่นั่นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาดื่มกินใช้ชีวิตอย่างหรูหราไปตลอดชีวิต
เก้าในสิบของคนรุ่นเยาว์ที่เดินทางมาสมัครเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัว ล้วนมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้เยียวยาจิตวิญญาณให้ได้
ที่หน้าประตูของสำนักศึกษาเฟิงหัว ฝูงชนเบียดเสียดแออัด เสียงเอะอะมะเทิ่งดังไปทั่ว
พวกเขาเอียงคอและมองไปรอบๆ เกาะกลุ่มเล็กๆ ราวสามหรือห้าคนพูดกระซิบกระซาบกันในกลุ่ม แต่ละคนมีรอยยิ้มคาดหวังประดับอยู่บนใบหน้า
ร่างเล็กร่างหนึ่งเบียดอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว เพียงไม่นานร่างนั้นก็ออกมาจากวงล้อมที่แออัด มาถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีคนบางเบากว่า หลังจากนั้นไม่นานเงาร่างอีกสี่ร่างที่เหลือก็ตามมาติดๆ
เฉียวฉู่กำกระดาษแผ่นหนึ่งในมือแน่น พูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ปนโกรธเคืองว่า “นี่มันสำนักศึกษาหรือว่าโรงฆ่าสัตว์กันแน่ ไฉนถึงได้อำมหิตถึงเพียงนี้!”
“เกิดอะไรขึ้น” เฟยเยียนกะพริบตาปริบๆ และมองไปที่เฉียวฉู่
เฉียวฉู่ไม่ได้พูดอะไร แต่โยนก้อนกระดาษที่อยู่ในมือให้เฟยเยียนและคนอื่นๆ อ่านแทน
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันทีที่ได้เห็น
“ค่าธรรมเนียมสำหรับสามปี…สามแสนตำลึง…นี่ยังไม่รวมค่าที่พักและอาหารอีกด้วย นี่…นี่มันขูดรีดกันชัดๆ!” เฟยเยียนจ้องมองตัวอักษรไม่กี่ตัวบนแผ่นกระดาษ ดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า
สำหรับกลุ่มคนยากจนเช่นพวกเขา เพียงหนึ่งตำลึงพวกเขายังระมัดระวังในการใช้จ่ายจะแย่ สามแสนตำลึง…นี่เป็นคำนิยามแบบไหนกัน
ต่อให้ขายพวกเขาทั้งกลุ่ม ก็ยังรวบรวมเงินได้ไม่พอสำหรับส่งพวกเขาเข้าเรียนเลย!
วินาทีนี้เองสายตาของทุกคนก็ไปหยุดอยู่ที่จวินอู๋เสียที่ร่างเล็กที่สุดในหมู่พวกเขา
ถุงเงิน…ผู้สนับสนุนของพวกเขา!
“น้องเสีย…เงินจำนวนนี้…” เฉียวฉู่มองไปที่จวินอู๋เสียและเกือบจะร้องไห้ออกมา
พวกเขามีด้วยกันทั้งสิ้นห้าคน รวมกันแล้วก็จะเป็นเงินหนึ่งล้านห้าแสนตำลึง และนี่เป็นเพียงแค่ค่าลงทะเบียนในสำนักศึกษาเท่านั้น ยังไม่นับรวมค่าที่พักและอาหารอีกด้วย หากพวกเขาไม่มีเงินอย่างน้อยๆ สองล้านตำลึง ก็อย่าหวังว่าจะได้เหยียบเข้าไปในสำนักศึกษาเลย
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้น สบกับแววตาที่มองมาอย่างคาดหวังของคนทั้งสี่แล้วตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่พอ”
“…”
ความเงียบพลันบังเกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ทั้งสี่คนจะราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางกระหม่อมอย่างแรง แม้แต่ผู้สนับสนุนของพวกเขาก็เงินไม่พอหรือนี่!
ยามที่จวินอู๋เสียเดินทางออกมาจากรัฐชีนั้น นางพกเงินติดตัวมาด้วยล้านกว่าตำลึง แต่พวกมันก็ถูกใช้ไปที่สำนักศึกษาหงส์อมตะจนเกือบจะหมดแล้ว เนื่องจากต้องทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตึกทิศตะวันออกทั้งหมดใหม่ รวมกับค่าเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ อาหารและของใช้จำเป็นอื่นๆ ยามนี้นางจึงเหลือเงินติดตัวเพียงแปดแสนตำลึงเท่านั้น ไม่พอสำหรับจ่ายค่าเล่าเรียนของคนทั้งห้าคน
“เจ้าพวกชั่วช้า! เสียสติไปแล้วหรือไรถึงได้ตั้งค่าธรรมเนียมสูงลิ่วปานนี้ แถมยังมีคนมากมายเดินทางมาที่นี่เพื่อจ่ายเงินให้พวกเขาอีก! พวกนั้นคงกวาดเงินเป็นน้ำแล้วสินะ” เฉียวฉู่จ้องมองกำแพงมนุษย์ตรงหน้าในใจก็ให้เลือดไหลซิบ อำมหิตกว่านี้มีอีกไหม มิหนำซ้ำคนที่จะผ่านเข้าไปศึกษาต่อในตึกหลักได้ยังมีน้อยนิดเพียงหยิบมืออีก ค่าธรรมเนียมที่เหลือก็ไม่คืน เรียกได้ว่าเก้าในสิบของบรรดาคนที่มาพวกนี้เอาเงินมาทิ้งชัดๆ
สามแสนตำลึงเชียวนะ เพียงพอให้ครอบครัวที่ค่อนข้างมีกินมีใช้ครอบครัวหนึ่งอยู่ได้ไปทั้งชีวิตเลยเชียว การโยนเงินออกไปส่งๆ ราวกับเล่นพนันเช่นนี้ ทำให้หัวใจอันเปราะบางของเฉียวฉู่ที่แร้นแค้นและยากจนแตกสลายพังทลายออกเป็นเสี่ยงๆ
“ถ้าค่าธรรมเนียมไม่สูงถึงเพียงนี้ ข้าคิดว่าแม้ประตูทางเข้าสำนักศึกษาของพวกเขาจะขยายใหญ่กว่านี้อีกสักสิบเท่า ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับรับกลุ่มคนรุ่นเยาว์จำนวนมากที่เดินทางมาที่นี่ได้” ฮวาเหยาให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
สถานที่ให้กำเนิดผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดิน เพียงแค่จุดนี้ก็เพียงพอให้ผู้คนแย่งชิงเหยียบกันแทบตายแล้ว
“แต่ว่า…พวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้น…” ไหล่ของเฉียวฉู่ลู่ตกลง
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงและทันใดนั้นนางก็โพล่งถามออกมาว่า “มีโรงประมูลอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่”
เฉียวฉู่ชะงัก
“น้องเสีย เจ้าถามหาโรงประมูลทำไมหรือ บนตัวของพวกเรา…ไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรจะนำออกไปขายได้อีกแล้วนะ” สิ่งที่แพงที่สุดบนตัวของพวกเขายามนี้ก็คืออาภรณ์ที่ตัดจากศาลาพระจันทร์ทอผ้าที่พวกเขากำลังสวมใส่อยู่ แต่ต่อให้พวกเขาถอดมันไปขาย มันก็ยังเป็นเพียงเศษเงินเล็กๆ ไม่เพียงพอกับจำนวนเงินที่พวกเขาต้องการอยู่ดี
“เอาเถอะน่า แค่เจ้าบอกข้ามาก็พอ” จวินอู๋เสียพูด