ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 389 เข้าเรียน (5) ตอนที่ 390 เข้าเรียน (6)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 389 เข้าเรียน (5) ตอนที่ 390 เข้าเรียน (6)
ตอนที่ 389 เข้าเรียน (5) / ตอนที่ 390 เข้าเรียน (6)
ตอนที่ 389 เข้าเรียน (5)
การได้เข้าไปศึกษาในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ อย่าว่าแต่คนรอบข้างเลย แม้แต่จวินอู๋เสียเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
จุดประสงค์ในการเดินทางของพวกนางในครั้งนี้ ก็เพื่อค้นหาที่อยู่ของชิ้นส่วนแผนที่หนังมนุษย์ส่วนที่สองพร้อมกับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ แต่ไม่ได้คาดหวังว่า…ตัวเองจะไปถูกตาต้องใจผู้ก่อตั้งสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเข้า จนถูกเชิญให้เข้าไปร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณด้วย!
ภายใต้สายตาที่ริษยาและร้อนแรงจากทุกคน จวินอู๋เสียจากไปด้วยใบหน้านิ่งสงบมิได้นำพาต่ออารมณ์ของผู้ใดทั้งสิ้น นางเดินเข้าไปสมทบกับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตามที่ได้นัดแนะกันไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม…
สายตาของทั้งสี่คนที่มองมายังจวินอู๋เสีย มันช่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจและน่าเหลือเชื่อ
“น้องเสีย…เจ้าเคยรู้จักกับกู้หลีเซิงมาก่อนหน้านี้หรือไม่” เฉียวฉู่อดไม่ได้ถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจของเขาเป็นเวลานานออกไป
จวินอู๋เสียกล่าวว่า “ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลย”
“ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลยหรือ!” ดวงตาของเฉียวฉู่เบิกกว้าง
“เช่นนั้นเมื่อสักครู่เขาทำอะไรกับเจ้ากัน” หรงรั่วมองไปที่จวินอู๋เสีย และสำรวจนางขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียปลอดภัยดี เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เยียวยารักษาจิตวิญญาณที่บาดเจ็บให้ข้า” จวินอู๋เสียกล่าว
คราวนี้ทั้งสี่คนตัวแข็งค้างไปแล้วจริงๆ
หรงรั่วสูดลมหายใจเข้าลึก และถามออกไปอีกครั้งอย่างยากลำบาก “พอจะอธิบายได้หรือไม่”
จวินอู๋เสียไม่ได้พูด แต่ยกมือขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นเองพวกเขาก็เห็นหมอกสีดำกระจายออกมาจากร่างของนางก่อนจะค่อยๆ เข้ามารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เจ้าแมวดำตัวน้อยที่สง่างามปรากฏตัวขึ้นในอ้อมแขนของจวินอู๋เสียและบิดตัวนอนเหยียดอย่างเกียจคร้าน
เหมียววว
นี่ข้าผล็อยหลับไปนานมากหรือไม่
เจ้าแมวดำตัวน้อยซุกเข้าไปในอ้อมแขนของจวินอู๋เสีย จวินอู๋เสียก็หรี่ตาลงอย่างสบายใจ หางยาวที่เต็มไปด้วยขนของมันห้อยย้อยลงมาจากแขนของเด็กสาวและแกว่งไปมาเบาๆ
จวินอู๋เสียก้มศีรษะลง ในดวงตาของนางสะท้อนเพียงแต่ภาพของเจ้าแมวดำตัวน้อยที่กำลังนอนเหยียดกายอยู่เท่านั้น ความหนาวเหน็บในดวงตาที่มักจะปรากฏเป็นปกติ ยามนี้ค่อยๆ จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ล้วนเคยเห็นเจ้าแมวดำตัวน้อยมาหลายครั้งแล้ว แต่นอกเหนือจากเฉียวฉู่และฮวาเหยา ทั้งเฟยเยียนและหรงรั่วต่างก็ได้เห็นมันเพียงในยามหมดสติเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นแมวดำตัวน้อยตื่นขึ้นมา!
เมื่อเจ้าแมวดำตัวน้อยถูกพาตัวกลับไปยังสำนักศึกษาหงส์อมตะ กระทั่งเยี่ยนปู้กุยก็ยังกล่าวว่าอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณของมันนั้น หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าของจวินอู๋เสียผู้เป็นเจ้านายมันเสียอีก แทบจะไม่มีโอกาสปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้เลย แต่นี่เจ้าแมวดำตัวน้อยที่หมดสติมานาน กลับกำลังนอนกลิ้งเกลือกอยู่ในอ้อมแขนของจวินอู๋เสียอย่างสบายใจและมีความสุขมาก นี่มันหมายความว่าอย่างไร!
“บนโลกใบนี้ มีผู้ที่สามารถเยียวยารักษาวงแหวนภูติวิญญาณได้จริงหรือ!” อย่าว่าแต่สามโลกเบื้องล่างเลย แม้กระทั่งในสามโลกชั้นกลางก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำเช่นนี้ได้!
ในตอนแรกที่พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง แต่บัดนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นเจ้าแมวดำตัวน้อยถูกรักษาให้หายอย่างสมบูรณ์และฟื้นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้ง ต่อให้ไม่อยากจะเชื่อก็คงปฏิเสธความจริงนี้ไม่ได้แล้ว
“ตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนถูกแยกให้เข้าไปศึกษาในตึกรอง ในขณะที่น้องเสียมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ถูกรับเข้าตึกหลัก ก่อนที่พวกเราจะได้เข้าไปสมทบกับเจ้าในตึกหลักอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้…ไม่สู้เจ้าลองไปศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการเยียวยารักษาจิตวิญญาณกับกู้หลีเซิงดู หากว่าทักษะด้านการเยียวยารักษาจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นของจริง การได้เรียนรู้มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ” เฟยเยียนหัวเราะแล้วกล่าว
จวินอู๋เสียพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แทนที่จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ นางเองก็ต้องการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ด้านการเยียวยารักษาจิตวิญญาณนี้อยู่เหมือนกัน เพราะจนถึงปัจจุบันนี้การใช้พลังทางจิตวิญญาณของนางทั้งหมด ล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณของนางทั้งสิ้น มิได้มีหลักเกณฑ์ใดๆ เลย
ที่ตึกรองจะมีการประเมินศิษย์ทุกๆ สามเดือน หากว่าพลังวิญญาณของเจ้าแสดงให้เห็นถึงการยกระดับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาต่อยังตึกหลัก ดังนั้นหากพวกฮวาเหยาและคนอื่นๆ ต้องการเข้าสู่ตึกหลักล่ะก็ อย่างเร็วสุดพวกเขาก็ต้องรออีกสามเดือนหลังจากการลงทะเบียนรับศิษย์ใหม่ครั้งนี้สิ้นสุดลง
ทั้งห้าคนตกลงกันในเรื่องนี้
เหล่าผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จผ่านการทดสอบจากสำนักศึกษาเฟิงหัว จะต้องมารายงานตัวที่สำนักศึกษาทุกคนในอีกสามวันหลังจากนี้
จวินอู๋เสียกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ววางเจ้าแมวดำตัวน้อยลงบนโต๊ะ ก่อนจะเปิดและหยิบเอาภาชนะสำหรับเพาะเลี้ยงบัวหิมะซังอวี้ออกมา
“อาการบาดเจ็บของเจ้าโง่ตัวน้อย…ดูจะสาหัสไม่ได้ด้อยไปกว่าของข้าเลย” แมวดำตัวน้อยยืนอยู่บนโต๊ะ เหลือบมองไปที่รูปลักษณ์ปัจจุบันของบัวหิมะซังอวี้ ในความทรงจำสุดท้ายของมัน ก็คือฉากการต่อสู้นองเลือดบนเทือกเขาเมฆาในวันนั้นที่มันจะกลายเป็นบาดแผลฝังในใจไปตลอดทั้งชีวิต
ตอนที่ 390 เข้าเรียน (6)
“ข้าจะรักษาเขาจนหายเอง” จวินอู๋เสียหรี่ตาลงและกล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนจะมายังสำนักศึกษาเฟิงหัว นางอาจไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่สมบูรณ์และสามารถพึ่งพาได้เพียงแค่น้ำพุสวรรค์เทียนเฉวียนเท่านั้น แต่ตอนนี้หลังจากได้เห็นทักษะการเยียวยารักษาของกู้หลีเซิงด้วยสายตาของนางเอง จวินอู๋เสียก็มีความคิดที่จะเรียนรู้ทักษะดังกล่าวให้สำเร็จ และใช้มันเพื่อรักษาบัวหิมะซังอวี้ให้หายให้ได้
เจ้าแมวดำตัวน้อยถูศีรษะของมันไปกับมือของจวินอู๋เสียเบาๆ
……
…
การลงทะเบียนเรียนของสำนักศึกษาเฟิงหัวสิ้นสุดลงในอีกสามวันให้หลัง ในบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์จำนวนมากที่ถูกรับเข้ามา มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ถูกเลือกให้เข้าไปศึกษายังตึกหลักโดยตรง
จวินอู๋เสียเดินเข้าไปในประตูของตึกหลักพร้อมกับศิษย์ใหม่จำนวนไม่กี่สิบคนนั้น ร่างเล็กเดินตามอยู่ท้ายแถวสุดเนื่องจากถูกกีดกันให้ออกจากกลุ่ม
เรื่องที่กู้หลีเซิงชื่นชอบจวินอู๋เสียมากเป็นพิเศษ และยอมรับให้นางเข้าไปเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามารายงานตัวกับสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการนั้น ได้แพร่สะพัดไปทั่วในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่เข้ามาทดสอบเพื่อเข้าร่วมสำนัก พวกเขาไม่มีใครรู้สึกไม่อิจฉาในความโชคดีของจวินอู๋เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเด็กที่ถูกเลือกให้เข้ามาศึกษาในตึกหลักโดยตรงเช่นกัน พวกเขาทุกคนล้วนเป็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์สูงส่งและแทบไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย แต่ละคนล้วนกอดความหวังที่จะได้เข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ แต่จู่ๆ ก็ดันถูกเด็กจากที่ไหนไม่รู้มาชิงตัดหน้าและแย่งความโดดเด่นจากพวกเขาไป จะไม่ให้พวกเขาโมโห ไม่พอใจ และก็ไม่ชอบใจได้หรือ
ชายหนุ่มที่นำศิษย์ใหม่เข้าไปในสำนักศึกษาอายุประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี ที่หน้าอกของเขาห้อยป้ายหยกรูปดวงดาวสามดวงไว้ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำระหว่างทาง ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คิดจะเข้าไปพูดคุยเพื่อตีสนิท ถูกสายตาที่เย็นชาของเขาจ้องกลับมาจนหวาดกลัวไปหมด
สำนักศึกษาเฟิงหัวสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสำนักศึกษาชั้นนำของแผ่นดิน สถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในสำนักศึกษาทุกแห่ง จึงล้วนแต่หรูหราและโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด แต่ในความหรูหรานี้กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เทอะทะขัดตาแม้แต่น้อย ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่าน เหล่าศิษย์ใหม่กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างซอกแซก แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะจดจำทุกอย่างของสำนักศึกษานี้ไว้ในใจ
เมื่อทุกคนถูกนำตัวไปที่ห้องโถง ชายหนุ่มผู้ที่นำทางก็หยุดฝีเท้าลง เขาหันไปมองดูศิษย์ใหม่และพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่าว่า “ศิษย์ใหม่ทั้งหลายที่เพิ่งเข้าเรียนจะได้รับการชี้แนะโดยตรงจากเหล่าศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายของพวกเจ้า”
ทันทีที่เสียงของชายหนุ่มจบลง กลุ่มคนรุ่นเยาว์หลายสิบคนก็เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถงใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนมีอายุอยู่ที่อายุสิบแปดหรือสิบเก้าปี ที่หน้าอกของพวกเขาเองก็มีป้ายหยกรูปดวงดาวสามดวงห้อยไว้เหมือนกัน
ประเพณีเก่าแก่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว มีกฎอยู่เสมอว่าศิษย์ใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาเรียน จะได้รับการชี้แนะโดยตรงจากศิษย์พี่เพื่อให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ก่อน แน่นอนว่าสิ่งนี้จำกัดให้เฉพาะศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับให้เข้าสู่ตึกหลักโดยตรงเท่านั้น สำหรับผู้ที่ตกลงไปอยู่ในตึกรอง ย่อมไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ และต้องขวนขวายเพียรพยายามเอาเอง
เมื่อได้ทราบว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องพึ่งพารุ่นพี่ของพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ เด็กหนุ่มสาวแต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเหล่าศิษย์พี่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าของพวกเขาด้วยสายตาที่โหยหาและคาดหวัง
“นี่ก็คือ…ศิษย์ใหม่ของปีนี้หรือ ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลยนี่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีป้ายหยกรูปดวงดาวที่หน้าอกกล่าวพร้อมกับอาการหาว เขาดูเบื่อๆ ไม่กระตือรือร้นและไม่ค่อยอยากจะนำศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่เหล่านี้เท่าไหร่
การเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เหล่าศิษย์ใหม่ฟังเป็นเรื่องที่ดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว แทบไม่มีใครในบรรดาศิษย์เหล่านี้เลยที่ยินยอมพร้อมใจทำ
เด็กหนุ่มสาวที่เพิ่งเข้าสู่สำนักศึกษาเฟิงหัว โดยพื้นฐานแล้วจะยังไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์อะไรนัก ศิษย์พี่ทั้งหลายจึงต้องคอยให้คำแนะนำและอธิบายกฎเกณฑ์เหล่านั้นให้พวกเขาฟังทีละข้อ นอกจากนี้เขายังต้องเสียสละเวลาบ่มเพาะของตัวเองมาเพื่อชี้แนะศิษย์ใหม่ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากสำหรับพวกเขาและยังกินเวลาส่วนใหญ่ทำให้พวกเขามีเวลาว่างน้อยลงอีกด้วย สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือตราบเท่าที่พวกเขาเลือกศิษย์ใหม่แล้ว พวกเขาก็จะต้องตัวติดอยู่กับศิษย์คนนั้นไปอย่างน้อยสองถึงสามปีกว่าจะขจัดภาระหน้าที่เหล่านี้ไปให้พ้นตัวได้
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาถูกจิ้มชื่อออกมา ไม่มีใครสักคนที่ยินดีจะรับเผือกร้อนเหล่านี้ไว้ในมือ
ด้วยเหตุนี้ ศิษย์เก่าของสำนักศึกษาเฟิงหัวทั้งหลายจึงแทบไม่มีความรักและปรารถนาดีต่อเหล่าศิษย์ใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามาเลย สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและรังเกียจ
ถือคติแนวคิดที่ว่าตายก่อนก็หลุดพ้นก่อน กลุ่มศิษย์เก่าของสำนักศึกษาเฟิงหัวเริ่มชี้นิ้วไปที่ศิษย์ใหม่คนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสบายตาเล็กน้อย
วิธีการในการเลือกของพวกเขานั้นง่ายมาก นั่นก็คือเน้นอายุมากเป็นหลัก! ยิ่งศิษย์ใหม่ที่รับเข้ามามีอายุมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งไร้กังวลและจะเป็นอิสระได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ศิษย์น้องซึ่งมีอายุน้อย จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับพวกเขามากขึ้น