ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 399 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (3) ตอนที่ 400 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 399 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (3) ตอนที่ 400 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (4)
ตอนที่ 399 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (3) / ตอนที่ 400 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (4)
ตอนที่ 399 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (3)
ทันทีที่เสียงของบุรุษผู้นั้นจบลง ความโกลาหลก็พลันบังเกิดขึ้นจากทุกทิศทาง!
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่กำลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้ด้วยความคาดหวัง มองไปที่บุรุษที่ยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูของพวกเขาเอง
กู้หลีเซิงไม่มาแล้ว!
เพราะเหตุใดกัน!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเวลาในการรับสมัครศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณการเปลี่ยนแปลง กลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่กำลังสับสน ทำได้เพียงจ้องไปที่บุรุษซึ่งยืนอยู่บนเวทีผู้นั้นและรอให้เขาพูดต่อ
บุรุษผู้นั้นมองกลับมาที่ฝูงชนและพูดต่อด้วยสีหน้าหนักใจว่า “ผู้อาวุโสกู้กล่าวว่าปีนี้เขาได้รับศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเข้ามาแล้ว และจะไม่คัดเลือกซ้ำอีก”
เลือกแล้วหรือ!
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์!
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาทำการคัดเลือกศิษย์ เหตุใดพวกเขาถึงไม่ได้รับแจ้งอะไรเลย!
กลุ่มคนรุ่นเยาว์รวมกลุ่มกระซิบกระซาบกันด้วยความสับสน หลายคนคาดเดาว่ากู้หลีเซิงอาจจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และวิธีการบางอย่างในปีนี้ และตอนนี้เขาเองก็น่าจะอยู่ในห้องโถงนี้ด้วย กำลังแอบสังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของทุกคนอยู่
อย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขารู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์ที่แท้จริงในการที่กู้หลีเซิงคัดเลือกศิษย์เข้าสู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณนั้นอาศัยอะไรเป็นเกณฑ์หลัก ไม่แน่ว่าปีนี้เขาอาจจะนึกคึกอยากลองเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ โดยการให้ท่านอาจารย์ที่อยู่บนเวทีประกาศว่าเสร็จสิ้นการคัดเลือกแล้ว ส่วนตัวเขากำลังแอบสังเกตการณ์ศิษย์ใหม่เช่นพวกเขาอย่างลับๆ
ข้อสรุปนี้ทำให้คนรุ่นเยาว์หลายคนประหม่าขึ้นมา พวกเขาเอาแต่คิดย้อนกลับไปว่าในตอนที่ท่านอาจารย์บรรยายเมื่อสักครู่นี้ พวกเขาได้ตั้งใจฟังหรือไม่ และพวกเขาได้สร้างความประทับใจที่ดีให้กับกู้หลีเซิงหรือไม่
เมื่อเห็นกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่กำลังงมงายเพ้อฝันไม่เลิก บุรุษซึ่งยืนอยู่บนเวที หรือก็คืออาจารย์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง เขากระแอมเล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสกู้ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่ข้าจะมาที่นี่แล้วว่า การคัดเลือกศิษย์เข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในปีนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว และเด็กหนุ่มคนนั้นที่เขาคัดเลือกเองก็ได้ตอบรับคำเชิญของท่านผู้อาวุโสกู้แล้ว ดังนั้นหากผู้ใดที่ไม่ได้พบหรือพูดคุยกับท่านอาวุโสกู้เป็นการส่วนตัว จงอย่าได้คิดถึงมันอีก”
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ทั้งหลายจ้องไปที่อาจารย์ที่ยืนอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าว่างเปล่า และทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงจุดผิดสังเกตบางอย่างซึ่งว่านับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากสำหรับพวกเขา
เมื่อสักครู่พวกเขาได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าอย่างไรนะ ‘เด็กหนุ่มคนนั้นได้ตอบรับคำเชิญของท่านผู้อาวุโสกู้แล้ว’ อย่างนั้นหรือ เขาใช้คำว่า ‘คนนั้น’ ไม่ใช่ ’หลายคนนั้น’…
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสกู้…เขารับลูกศิษย์ทั้งหมดกี่คนในปีนี้หรือขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ค่อนข้างหัวไวและคิดเร็วกว่าคนอื่นๆ ถามออกไปอย่างจริงจังเมื่อเขาจับสังเกตได้
อาจารย์ผู้นั้นตอบกลับมาว่า “เพียงแค่คนเดียว”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็ราวกับแอ่งน้ำเย็นที่ราดเข้าไปในหัวใจของกลุ่มคนรุ่นเยาว์ทุกคน ดับความหวังในหัวใจของพวกเขาจนไม่มีเหลือ!
เพียงหนึ่ง!
ปีนี้มีศิษย์ใหม่ที่ถูกเลือกให้เข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณคนเดียวเท่านั้น!
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!
คนรุ่นเยาว์ทุกคนเสียใจจนแทบคลั่ง!
“เป็นใครกัน มันคือใครที่โชคดีขนาดนี้!” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน และมันก็ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกเดือดดาล พวกเขาหันไปมองรอบๆ พยายามจะควานหาตัวผู้โชคดีคนนั้นออกมาให้ได้
แต่เมื่อสายตาของพวกเขาไปสะดุดอยู่ที่ร่างเล็กร่างหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในมุมมืดเงียบๆ แต่ละคนก็คล้ายกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะอย่างแรง ทุกคนยืนแข็งค้างอยู่กับที่
ใครอย่างนั้นหรือ!
ยังจะมีใครอื่นได้อีกเล่า!
บัดซบ! เจ้าหนูนี่ถูกกู้หลีเซิงเชิญให้เข้าร่วมสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณก่อนที่เขาจะได้เข้าร่วมกับสำนักศึกษาเฟิงหัวอย่างเป็นทางการเสียอีก! เพราะฉะนั้นแล้ว รายชื่อเดียวที่ถูกกู้หลีเซิงเลือก ยังจะเป็นใครได้อีกนอกจากเขา!
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่แต่เดิมเพียงอิจฉาริษยาในโชควาสนาของจวินอู๋เสีย เมื่อได้รับรู้ว่าเขาคือคนเพียงคนเดียวที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในปีนี้ จากความอิจฉาริษยา บัดนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังจนเข้ากระดูก!
ล้วนแต่เป็นศิษย์ที่ถูกเลือกให้เข้ามาศึกษายังตึกหลักโดยตรงเหมือนกัน แต่มีตรงไหนบ้างที่พวกเขาด้อยกว่าอีกฝ่าย ตรงไหนบ้างที่พวกเขาโดดเด่นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ทำไมทั้งๆ ที่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ตัวเล็กกว่าพวกเขา ทำไมเขาถึงสามารถแย่งชิงโอกาสนี้ไปได้! นี่จะไม่ให้พวกเขาเกลียดมันได้อย่างไร!
ต่อให้สาขาอื่นๆ ของสำนักศึกษาเฟิงหัวก็โดดเด่นและทรงพลังเหมือนกัน แต่มันจะเทียบกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในหัวใจของพวกเขาได้หรือ!
สายตาที่เร่าร้อนหลายสิบคู่กวาดมองไปทางจวินอู๋เสียราวกับมีแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แทบจะทุกสายตา อยากแผดเผาร่างเล็กๆ ที่ซุกอยู่ในมุมห้องนั้นให้มอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า!
ตอนที่ 400 อิจฉา ริษยา และเกลียดชัง (4)
เจ้าแมวดำตัวน้อยที่นอนขดอยู่บนตักของจวินอู๋เสีย สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายหลายสิบคู่จับจ้องมาที่เจ้านายของมัน
บนใบหน้าของจวินอู๋เสียยังคงไม่มีการแสดงออกใดๆ มันสงบนิ่งเหมือนกับประติมากรรมที่สลักออกมาจากน้ำแข็ง
เจ้าแมวดำตัวน้อยยกอุ้งเท้าของมันขึ้นปิดหน้า หากมองในอีกแง่หนึ่ง ปฏิกิริยาของเจ้านายของมันแทบไม่ต่างไปจากเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเลย
ก่อนที่เจ้าแมวดำตัวน้อยจะคร่ำครวญถึงความหัวช้าของเจ้านายมันมากไปกว่านี้ ชายหนุ่มหลายคนที่เพิ่งได้สติก็กรูเข้ามาทางจวินอู๋เสียอย่างหาเรื่อง
“คนที่ท่านผู้อาวุโสกู้เลือกคือเจ้าใช่หรือไม่!” ชายหนุ่มคนนั้นถามอย่างไม่ยอมแพ้ เขายังคงไม่ตัดใจไปอย่างสมบูรณ์ แต่เดินเข้ามาถามจวินอู๋เสียตรงๆ
จวินอู๋เสียค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่กลุ่มชายหนุ่มที่กำลังแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและข่มขู่ต่อหน้านาง ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงอีกครั้ง ลูบขนของเจ้าแมวดำอย่างสบายใจโดยเพิกเฉยต่อพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มชายหนุ่มที่ถูกทำเมินใส่ หัวใจของพวกเขาแทบจะระเบิดออกมาด้วยความโกรธ เจ้าหนูนี่มันจะเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว! ไม่แม้แต่จะตอบถามของพวกเขากลับมาสักคำ และสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเช่นนั้นมันคืออะไร จะให้พวกเขาทนมันได้อย่างไรเล่า!
ถ้าหากเจ้าแมวดำตัวน้อยสามารถเปิดปากพูดออกไปได้ในเวลานี้ละก็ มันอยากจะบอกกับกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังโกรธเกรี้ยวพวกนี้จริงๆ ว่า
หนุ่มน้อยเอ๋ย เจ้าเข้าใจผิดถนัดแล้ว…เจ้านายของข้าไม่ได้หยิ่ง นางเพียงแค่มีความบกพร่องทางภาษา พูดได้ไม่เก่งก็เท่านั้น!
ไม่ว่าจะทั้งในชาติก่อนหรือในชาติภพนี้ จวินอู๋เสียแทบไม่เคยมีโอกาสได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนเลย แม้ว่าในชาติก่อนนางจะเคยเข้าร่วมกับองค์กร แต่ในสภาพแวดล้อมและสังคมเช่นนั้น ทุกคนล้วนมีช่องว่างเป็นของตัวเองและไม่ค่อยจะสุงสิงกับผู้ใด อีกอย่างจวินอู๋เสียเองก็ทำงานอยู่แต่ในห้องทำงานของนางเพียงลำพัง สถานการณ์อย่างการเข้าสำนักศึกษาและมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันมาล้อมรอบ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้มีประสบการณ์เช่นนี้
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในสำนักศึกษาหงส์อมตะ แม้ภายนอกจะสามารถเรียกได้ว่าเข้าร่วมกับสำนักศึกษา หากแต่ภายในตึกฝั่งทิศตะวันออกที่นางอาศัยอยู่ นอกจากเยี่ยนปู้กุยผู้เป็นอาจารย์ที่แทบจะได้เห็นหน้าเดือนละครั้ง ศิษย์ในตึกฝั่งทิศตะวันออกก็มีเพียงพวกเฉียวฉู่สี่คนเท่านั้น มันจึงไม่รู้สึกว่ากะทันหันเกินไปที่จะค่อยๆ ปรับตัว แต่ในกลุ่มศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวจำนวนหลายสิบคนเช่นนี้ แถมแต่ละคนยังส่งสายตาไม่เป็นมิตรและเกลียดชังใส่นางอีก ทำให้กำแพงซึ่งเป็นปราการป้องกันตัวของจวินอู๋เสียกลับมาตั้งเองโดยอัตโนมัติอีกครั้ง
และผลของการตั้งกำแพงป้องกันเหล่านี้เอง ถึงทำให้จวินอู๋เสียถูกตราหน้าว่าเย่อหยิ่งและจองหอง!
เมื่อเห็นว่ากลุ่มชายหนุ่มกำลังจะลงมือทำร้ายจวินอู๋เสีย น้ำเสียงเข้มงวดของอาจารย์ที่ยืนอยู่บนเวทีก็เอ่ยปากปรามขึ้นมาก่อน เขาตำหนิชายหนุ่มทุกคนอย่างรุนแรง ส่งคำเตือนให้กับพวกเขาว่าการลงมือต่อสู้กันเป็นการส่วนตัวในสำนักศึกษาเฟิงหัว ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎร้ายแรงและจะต้องถูกทำโทษตามกฎของสำนักศึกษา ก่อนจะปรายตามองไปทางเด็กหนุ่มร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องเงียบๆ
ไม่รู้ว่ากู้หลีเซิงไปถูกใจอะไรในตัวของเด็กคนนี้
อารมณ์ก็แปลกประหลาด แถมบุคลิกยิ่งพิลึกพิลั่นเข้าไปใหญ่
ก่อนหน้าที่บุรุษผู้นี้จะมายังห้องโถงใหญ่นี้ เขาได้ไปพบกับกู้หลีเซิงมาก่อนแล้ว จึงได้รู้ว่ากู้หลีเซิงพึงพอใจในตัวศิษย์ใหม่ที่เขาเพิ่งรับเข้ามาในปีนี้มากแค่ไหน ตอนที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ จึงอดใจไม่ไหวลอบปรายตามองไปทางเขาครั้งหนึ่งอย่างสงสัยใคร่รู้ ทว่ามันก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากจริงๆ เด็กคนนี้แทบไม่มีจุดไหนที่พิเศษเลย ไม่มีอะไรที่ทำให้สะดุดตา แถมตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น เย่อหยิ่ง จองหอง ซ้ำยังทำตัวอวดดี เอาแต่เล่นกับวงแหวนภูติวิญญาณของตัวเองท่าเดียว ไม่สนใจอะไรหรือใครหน้าไหนทั้งนั้น
เขาเคยคิดว่าศิษย์เพียงคนเดียวที่กู้หลีเซิงเลือกในปีนี้ จะต้องเป็นเด็กหนุ่มที่โดดเด่นมากๆ หรือไม่ก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มที่มีบุคลิกน่าชื่นชมมากแน่ๆ แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิดไปถนัด
แม้ว่าอาจารย์ที่ยืนอยู่บนเวทีจะเอ่ยปากห้ามปรามไม่ให้พวกเขาลงมือกระทำการใดๆ กับจวินอู๋เสียแล้ว แต่ทัศนคติและความชื่นชมที่เขามีต่อบุคลิกของจวินอู๋เสียก็ติดลบมากเช่นกัน
เด็กหนุ่มที่ทำตัวเป็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้ น่ากลัวว่าชีวิตวันข้างหน้าของเขาในสำนักศึกษาเฟิงหัวจะผ่านไปได้อย่างไม่ง่ายดายนัก
ก่อนช่วงเวลาอาหารเย็นมาถึง ชายหนุ่มทุกคนก็ยอมรามือ ปล่อยให้จวินอู๋เสียรอดไปได้อีกสักพักก่อน
ชายหนุ่มพวกนั้นย่อมไม่กล้าโจมตีจวินอู๋เสียต่อหน้าอาจารย์ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ แต่หลังจากออกจากห้องนี้ไปแล้ว อย่าหวังเลยว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจ หากไม่สั่งสอนเจ้าหนูนี้ให้รู้ความสักหน่อย จะให้พวกเขากลืนโทสะเหล่านี้ลงไปได้อย่างไร อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาเดินไปที่ประตู แต่ละคนก็ต้องชะงักกึก ตัวแข็งค้างไปด้วยความตกใจ
ฟ่านจิ่นซึ่งบนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น กำลังยืนรออยู่ตรงนั้นที่หน้าประตูของห้องโถงใหญ่ ร่างสูงโปร่งของเขาทำให้อีกฝ่ายช่างดูองอาจและสมกับเป็นบุรุษเหลือเกิน ภายใต้การจ้องมองมาอย่างตกตะลึงของชายหนุ่มคนอื่นๆ ฟ่านจิ่นไม่ได้สนใจทุกคนนักแต่เดินตรงเข้าไปหาจวินอู๋เสียซึ่งกำลังเดินออกมาทางนี้เพียงลำพัง
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน…
ศิษย์พี่ฟ่านถึงกับมารับตัวเจ้าหนูนี่ถึงที่นี่ด้วยตัวเองเชียวหรือ!