ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 461 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (8) ตอนที่ 462 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (9)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 461 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (8) ตอนที่ 462 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (9)
ตอนที่ 461 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (8)
ขณะที่สัตว์ร้ายสีดำกำลังกระโจนออกไปเตรียมจะขย้ำหลี่จื่อมู่ตามคำสั่งของจวินอู๋เสีย ฮวาเหยาและเฉียวฉู่ก็กระโดดหลบออกมายืนอยู่อีกฟากหนึ่ง หลี่จื่อมู่ที่กำลังกรีดร้องน้ำตาไหลพรากอยู่ มองเห็นภาพของสัตว์ร้ายที่กระโจนเข้ามาได้ไม่ชัดนักเนื่องจากน้ำตาที่เอ่อรื้นขึ้นเต็มดวงตา เขาเห็นเพียงแต่ภาพของคมเขี้ยวที่ขึ้นเรียงกันเต็มปากของเจ้าสัตว์ร้าย จากนั้นเสียง ‘กร๊อบ’ สั้นๆ ก็ดังส่งมาครั้งหนึ่ง โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูด และเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูของหลี่จื่อมู่ก็เงียบลง!
แอ่งโลหิตขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นบนพื้นใต้ร่างของหลี่จื่อมู่ทันทีที่สัตว์ร้ายสีดำถอนคมเขี้ยวของมันออกมา ที่มุมปากขนาดใหญ่ของร่างมหึมาสีดำแซมทอง ปรากฏให้เห็นของเหลวสีแดงไหลลงเป็นทางยาวจากนั้นก็หยดลงบนพื้น
“ท่านยังต้องการเจ้านี่หรือไม่” บัวหิมะมัวเมาจับร่างของหมาป่าสีเงินที่ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศไปทางจวินอู๋เสียแล้วถาม หลี่จื่อมู่ตายแล้ว และอีกไม่นานหมาป่าสีเงินตัวนี้ก็จะถูกส่งกลับโลกภูติวิญญาณ หากจวินอู๋เสียต้องการใช้มันเพื่อทะลวงระดับพลังวิญญาณ นางก็ควรฉวยโอกาสนี้และรีบลงมือทำโดยเร็วที่สุด
จวินอู๋เสียพยักหน้า บัวหิมะมัวเมาก็แขวนกาสุราไว้ที่เอว จากนั้นก็เดินเข้าไปโอบรอบเอวของจวินอู๋เสียไว้แล้วพานางกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ของต้นไม้นั้น การเคลื่อนไหวของบัวหิมะมัวเมารวดเร็วมาก เพียงสองสามอึดใจเงาร่างของทั้งคู่ก็หายลับไปจากสายตาของทุกคน หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางพุ่มใบไม้หนาทึบ
สัตว์ร้ายสีดำคลายปากที่งับลำคอของหลี่จื่อมู่ออกแล้วเดินไปหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ ใช้ลิ้นเลียอุ้งเท้าที่เปื้อนเลือดของมัน
ฉากทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากจนฟ่านจินไม่มีเวลาตอบสนอง เขาทำได้เพียงจ้องมองไปที่สัตว์ร้ายสีดำที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้นด้วยสายตาว่างเปล่า
เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าภูติวิญญาณของจวินอู๋เสียเป็นเพียงแมวธรรมดาตัวหนึ่งที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ใดๆ แต่เมื่อสักครู่ เมื่อได้เห็นแมวดำตัวน้อยกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายสีดำขนาดยักษ์ต่อหน้าต่อตาเขาก็อึ้งมาก ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง!
มีภูติวิญญาณที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระตามใจด้วยหรือ แล้วแบบนี้มันจะอยู่ในระดับใดกัน เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด!
มาถึงตอนนี้ ฟ่านจิ่นถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจวินอู๋เสียเลย ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของนาง ภูติวิญญาณของนาง หรือแม้กระทั่งทักษะทางการแพทย์ที่ลึกล้ำเกินหยั่งของนาง…
“น้องเสียกำลังทำอะไรอยู่” เฉียวฉู่ชะเง้อคอมองขึ้นไปที่ยอดต้นไม้ ไม่รู้ว่าบัวหิมะมัวเมาจงใจซ่อนจวินอู๋เสียไว้หรือเปล่า เขาถึงมองไม่เห็นแม้แต่เงาของร่างเล็กเลย ช่างซ่อนได้เก่งซะจริง!
พรรคพวกที่เหลือพากันยักไหล่ พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าจวินอู๋เสียจะทำอะไร
“เจ้าคงตกใจมากกระมัง” ฮวาเหยาเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของฟ่านจิ่น เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายขาวซีดเล็กน้อย เขาก็เอื้อมมือออกไปตบไหล่ของฟ่านจิ่นเบาๆ เป็นการปลอบใจ
ฟ่านจิ่นสะบัดศีรษะอย่างแรงและนั่งลงกับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ ร่างของหลี่จื่อมู่ยังคงนอนเย็นชืดอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้น คอของเขาเกือบขาดออกจากร่างด้วยแรงกัดกระชากของสัตว์ร้าย คราบโลหิตกระเซ็นออกเป็นบริเวณกว้าง และเลือดที่ไหลออกมาจากศพไม่หยุดก็ย้อมผืนดินบริเวณนั้นจนกลายเป็นแอ่งโคลนสีแดงฉาน
“คงตกใจมากจริงๆ สินะ” เฉียวฉู่กระเถิบเข้าไปหาหรงรั่ว ลอบมองไปที่ฟ่านจิ่นแล้วกระซิบกระซาบกับเขาเสียงเบา
หรงรั่วหัวเราะเสียงต่ำในลำคอและกล่าวว่า “หึหึ จู่ๆ ก็เห็นกระต่ายน้อยสีขาวน่ารักกลายร่างเป็นพญาหมาป่าตัวใหญ่ ไม่ให้ตกใจคงเป็นไปไม่ได้หรอก เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่เขาจะทำใจได้”
อย่ามองว่ารูปร่างของจวินอู๋เสียเล็กกะทัดรัดแล้วจะคิดว่านางอ่อนแอบอบบางไร้พิษสง ต้องการการปกป้อง เด็กคนนี้แหละตัวอันตรายของจริง เมื่อแม่กระต่ายน้อยสีขาวถูกยั่วยุจนมีโทสะขึ้นมา แม้แต่อสุรกายของจริงก็ยังต้องหลบซ้ายแล้วก้มหน้าลงต่ำ ได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ด้วยความหวาดกลัว
การแสดงออกของฟ่านจิ่นตลอดมาก็เป็นเช่นนี้ เขาถือว่าตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ของจวินอู๋เสียมาโดยตลอด จึงคอยอยู่ใกล้ๆ และปกป้องนาง แม้แต่ก่อนที่จะเข้ามาในป่าประลองวิญญาณเขาก็ยังวางแผนการดูแลปกป้องจวินอู๋เสียมาเป็นอย่างดีล่วงหน้าแล้ว แต่…พอมาเวลานี้ ไฉนแม่กระต่ายขาวตัวน้อยถึงได้ดุร้ายโหดเหี้ยมยิ่งกว่าอสุรกายอีกเล่า!
ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณระดับสีส้มของจวินอู๋เสีย แค่สัตว์ร้ายสีดำตัวนั้นตัวเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะรับมือกับปัญหาทั้งหมด ไหนจะมีเด็กหนุ่มรูปงามในชุดอาภรณ์สีขาวลึกลับคนนั้นอีกคน…
จิตใจอันแสนเปราะบางของฟ่านจิ่นในฐานะผู้พิทักษ์ถูกกระทบกระเทือนเล็กน้อย…
แล้วที่ตกลงกันว่า จะให้ข้าปกป้องเจ้าก่อนที่จะเข้ามาในป่าประลองวิญญาณเล่า!
บนต้นไม้ บัวหิมะมัวเมาวางจวินอู๋เสียลงบนกิ่งไม้ใหญ่ที่แข็งแรงสองกิ่งอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ขอให้นางนั่งลงในท่าขัดสมาธิ ขณะที่เขายืนอยู่ข้างๆ แล้วจับหมาป่าสีเงินที่ชักกระตุกตัวนั้นไว้ในมือ
เมื่อวานนี้ ในที่สุดจวินอู๋เสียก็รักษาบัวหิมะมัวเมาจนฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ วันนี้เขาถึงมีโอกาสปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่แล้วออกมาแสดงฝีมือต่อสู้ให้คนอื่นได้เห็น
“ท่านจะให้ข้าใช้เจ้าสิ่งนี้อย่างไรหรือขอรับ” บัวหิมะมัวเมาเขย่าหมาป่าสีเงินที่ตาเหลือกในมือของเขา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจวินอู๋เสียต้องกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่นเพื่อทะลวงขั้นบ่มเพาะ แต่เขาไม่รู้ว่ารายละเอียดและวิธีการขั้นตอนนั้นเป็นอย่างไร
จวินอู๋เสียแตะไปที่ถุงเอกภพแล้วหยิบเอาที่ปราการกักภูติออกมา นางบิดมันเบาๆ หมาป่าสีเงินที่ถูกบัวหิมะมัวเมาบีบคออยู่ก็สัมผัสได้ว่ามีพลังลึกลับบางอย่างกำลังค่อยๆ ดึงตัวมันเข้าไปในลูกแก้วผลึกสีใสนั้น
ตอนที่ 462 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่หนึ่ง (9)
ในตอนที่จวินอู๋เสียทะลวงขั้นบ่มเพาะสำเร็จในครั้งแรก ภูติวิญญาณที่นางใช้ดูดซับก็คืออสรพิษทะยาน ในครั้งนั้นการผสานพลังจิตวิญญาณดำเนินไปอย่างยากลำบากมาก ในครั้งนี้นางจึงเตรียมตัวให้พร้อมก่อนโดยมีบัวหิมะมัวเมาคอยยืนคุ้มกันอยู่ด้านข้าง
หลังจากปิดปราการกักภูติแล้ว จวินอู๋เสียก็สูดหายใจเข้าลึก และก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว นางค่อยๆ บิดส่วนบนของปราการกักภูติแล้วปิดตาลง ดูดซับพลังวิญญาณที่กระจายตัวออกมาจากปราการกักภูติเข้าสู่ร่างกายตัวเองทีละน้อย
อย่างไรก็ตาม การดูดซับพลังครั้งนี้ราบรื่นกว่าครั้งก่อนมากนัก นางแทบไม่รู้สึกถึงความไม่สบายตัวเลย จวินอู๋เสียกลืนกินจิตวิญญาณของหมาป่าสีเงินได้อย่างสมบูรณ์ และรู้สึกถึงพลังที่ค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วร่าง ไม่รู้ทำไมแต่อารมณ์ความรู้สึกที่ขมขื่นและไม่ยินยอมของหมาป่าสีเงินที่ตกค้างอยู่นั้น กลับสร้างความพึงพอใจและตื่นเต้นให้กับจวินอู๋เสียอย่างน่าประหลาด
ในระหว่างกระบวนการดูดซับ เนื่องจากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นดีจนจวินอู๋เสียรู้สึกประหลาดใจ นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเมื่อเทียบกับอสรพิษทะยานที่นางดูดกลืนไปในครั้งแรกแล้ว หมาป่าสีเงินระดับห้าตัวนี้แทบเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเกล็ดของอสรพิษตัวนั้นด้วยซ้ำ
การดูดกลืนอสรพิษทะยานในครั้งแรก ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของจวินอู๋เย่า จวินอู๋เสียไม่มีทางดูดซับพลังของอสรพิษทะยานตัวนั้นอย่างสมบูรณ์ได้เลย ส่วนจวินอู๋เสียที่เคยมีประสบการณ์เลือดตาแทบกระเด็นก่อนแล้ว ย่อมไม่รู้สึกว่าการดูดซับพลังของหมาป่าสีเงินระดับห้าตัวหนึ่งมีความท้าทายใดๆ จึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่ามากโข
จวินอู๋เสียใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวก็ดูดซับจิตวิญญาณของหมาป่าสีเงินจนหมด ในขณะที่หมาป่าสีเงินถูกดูดกลืนจนไม่เหลือแม้แต่แก่นวิญญาณ แสงสีเหลืองก็ค่อยๆ แผ่ออกมาจากร่างของจวินอู๋เสียแล้วระเบิดจนทะลุออกมาจากพุ่มใบไม้หนาทึบนั้น แสงอบอุ่นสีเหลืองนวลกระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะปกคลุมไปทั่วจุดที่พรรคพวกของนางยืนรออยู่
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ที่กำลังยืนรออยู่ใต้ต้นไม้อย่างอดทน จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณหนาแน่น พวกเขาเงยหน้าขึ้นไปมองทันที แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นแสงสีเหลืองส่องสว่างทะลุออกมาจากกลุ่มพุ่มใบไม้หนาทึบจากด้านบนนั้น
“พลังวิญญาณระดับสีเหลือง…น้องเสียช่างทะลวงเข้าสู่ขั้นสีเหลืองได้รวดเร็วยิ่งนัก!” เฉียวฉู่เบิกตากว้าง ถ้าเขาจำไม่ผิด จวินอู๋เสียเพิ่งจะมีอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้นในปีนี้ แต่นางกลับทะลวงเข้าสู่ขั้นสีเหลืองแล้วอย่างนั้นหรือ!
ถึงแม้ว่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ จะสามารถฝืนยกระดับพลังจนใช้พลังวิญญาณในระดับสีม่วงได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาใช้วิธีการพิเศษบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจากสามโลกชั้นกลาง จึงสามารถรองรับพลังระดับสีม่วงได้ในเวลาสั้นๆ ดังนั้นความเร็วในการบ่มพลังที่ผิดปกติของจวินอู๋เสีย จึงทำให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก
อายุเพียงสิบสี่ปีก็มีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีเหลืองแล้ว นี่จะไม่ให้ผู้อื่นรู้สึกอัศจรรย์ใจได้อย่างไร หากว่ามีคนนอกที่รู้ว่าจวินอู๋เสียทะลวงระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นสีเหลือง…
เฉียวฉู่ลอบกลืนน้ำลายอย่างลับๆ และมองไปที่ ‘คนปกติ’ เพียงคนเดียวในกลุ่มอย่างฟ่านจิ่นโดยไม่รู้ตัว
และก็ไม่เกินความคาดหมาย เวลานี้ฟ่านจิ่นคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว เขายืนอ้าปากค้างตัวแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น มองขึ้นไปที่ยอดต้นไม้ด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
ฟ่านจิ่นค่อนข้างมีพรสวรรค์ที่ไม่เลวทีเดียว เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสีเหลืองได้ตอนอายุสิบเจ็ดปี ซึ่งถือว่าเป็นพรสวรรค์ที่หายากมากแล้วในสามโลกเบื้องล่างแห่งนี้ แต่จวินอู๋เสียที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสองถึงสามปี ทั้งที่เพิ่งปลุกภูติวิญญาณให้ตื่นได้ไม่นาน แต่กลับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับเขาแล้ว นี่มันอัจฉริยะประเภทไหนกัน เรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดยังจะถูกต้องซะกว่า!
ฟ่านจิ่นรู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองกำลังถูกบั่นทอนลงอย่างรุนแรง!
หลังจากนั้นไม่นาน บัวหิมะมัวเมาก็พาจวินอู๋เสียกระโดดลงจากยอดต้นไม้ ชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ของนางกระพือขึ้นตามแรงลมจนดูราวกับเซียนสวรรค์ที่กำลังเยื้องย่างลงมายังแดนธุลีแดงแห่งนี้
บัวหิมะมัวเมาและจวินอู๋เสียกลับลงมาแล้วไม่ผิด แต่หมาป่าสีเงินที่ถูกบัวหิมะมัวเมาจับพาขึ้นไปด้วยในตอนแรกนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ไม่ได้คิดมากนัก เพราะคำนวณดูจากเวลา ป่านนี้หมาป่าสีเงินตัวนั้นน่าจะกลับไปที่โลกภูติวิญญาณแล้วจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอันใด
“แล้วนี่ล่ะ เจ้าคิดจะจัดการกับสิ่งนี้อย่างไรต่อ” เฉียวฉู่ถามพลางเตะไปที่ร่างไร้วิญญาณของหลี่จื่อมู่ ลูกศิษย์กลุ่มนั้นเห็นหลี่จื่อมู่อยู่กับพวกจวินอู๋เสียและฟ่านจิ่นแล้ว หากว่ายังพบศพของเขาที่นี่อีก เกรงว่าจะแก้ตัวได้ลำบาก
“ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้แหละ” จวินอู๋เสียเหลือบมองใบหน้าที่ขาวซีดไร้ชีวิตของหลี่จื่อมู่ครั้งหนึ่งอย่างเฉยชาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “เข้ามาล่าสัตว์วิญญาณ ย่อมมีอยู่คนสองคนที่ถูกสัตว์วิญญาณฆ่าตายเป็นเรื่องปกติ”