ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 469 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (3) ตอนที่ 470 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 469 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (3) ตอนที่ 470 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (4)
ตอนที่ 469 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (3) / ตอนที่ 470 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (4)
ตอนที่ 469 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (3)
การช่วยชีวิตคนก็เหมือนกับการดับไฟ ฟ่านจิ่นไม่กล้ารีรอชักช้า เขารีบออกเดินทางพร้อมจวินอู๋เสียและคนอื่นๆ มุ่งตรงเข้าไปยังเขตพื้นที่อันตรายทันที
ขณะที่เฟยเยียนเดินผ่านศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็หยุดลงครู่หนึ่งแล้วหันไปมองศิษย์ที่กำลังหายใจหอบ พิงไปกับต้นไม้อย่างเหนื่อยล้า ศิษย์คนนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเฟยเยียนที่จ้องมองมา สีหน้าที่คล้ายจะผ่อนคลายลงก็เปลี่ยนเป็นแข็งทื่อเล็กน้อย
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่เจ้าก็มาจากตึกรองด้วยเหมือนกัน” เฟยเยียนยิ้มและชี้ไปที่ป้ายหยกที่ห้อยอยู่บนหน้าอกของเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงศิษย์ของตึกรอง ศิษย์คนนั้นผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย เขาพยักหน้าให้เบาๆพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนแรง
เฟยเยียนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่เดินตามรอยเท้าของฮวาเหยาและคนอื่นๆ จากไป
“น้องเสีย คราวนี้วางแผนจะเล่นอะไรอีกนะ” เฟยเยียนวิ่งขึ้นไปหยุดอยู่ด้านข้างหรงรั่วอย่างเงียบๆ หรงรั่วเหลือบมองเฟยเยียน แล้วยกนิ้วขึ้นแตะลงไปที่ริมฝีปากของนางเบาๆ รอยยิ้มในดวงตาของเฟยเยียนฉับพลันล้ำลึกขึ้นมาในทันที
หลังจากที่จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ เข้าไปในเขตใจกลางป่าแล้ว ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของศิษย์ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็มลายหายไป เขาลุกขึ้นยืนด้วยการใช้ลำต้นของต้นไม้ช่วยประคองร่าง และโยนพลุสัญญาณสองอันที่ฟ่านจิ่นเพิ่งมอบให้กับเขาทิ้งไปในพงหญ้ารกทึบแถวนั้น
หลังจากเข้ามาในป่าทึบ กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ความตึงเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฟ่านจิ่นทันใด
มันไม่เหมือนกับเส้นทางที่พวกเขาเคยเดินมาก่อน ต้นไม้ที่นี่หนาแน่นมาก และแม้แต่พวกเขาก็ยังพบว่ามันยากที่จะเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวงแหวนภูติวิญญาณอย่างกุ๋นกุ่นที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตและอ้วน มันแทบจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เลย ในความสิ้นหวังจวินอู๋เสียตัดสินใจกระโดดลงมาจากบ่าของกุ๋นกุ่นและบอกให้เฉียวฉู่เก็บมันกลับไป
เดินไปตามกลิ่นคาวเลือดที่โชยมา จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ ก็เข้ามาในป่าประลองวิญญาณลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามของสัตว์วิญญาณดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะๆ และต้นไม้ที่หนาแน่นก็บดบังแสงแดด แม้ในเวลากลางวัน ใต้ผืนป่าแห่งนี้ก็ยังดูมืดมิดราวกับราตรีกาล เถาวัลย์บิดเป็นเกลียวกระจายอยู่ตามถนนข้างหน้า ฟ่านจิ่นกระชับดาบสั้นที่เขาถืออยู่ในมือแน่น ก่อนจะใช้มันเพื่อฟันฝ่าสิ่งกีดขวางและเปิดทางด้านหน้าให้กับสหายร่วมกลุ่มของเขา
จวินอู๋เสียและคนอื่นๆ เดินตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิด
หลังจากเดินผ่านชั้นของป่าทึบมาเรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนก็มาถึงพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง ป่ารกทึบถูกตัดเปิดทางไว้เล็กน้อย และกิ่งก้านของต้นไม้ก็หักกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นล้มลงในสภาพระเนระนาด เปิดให้แสงสว่างชัดเจนเพียงหนึ่งเดียวส่องกระทบลงมายังพื้นหญ้าเบื้องล่าง ไม่ไกลจากจุดที่แสงอาทิตย์ส่องลงมานัก ศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวหลายคนกำลังนอนโอดครวญอยู่บนพื้นด้วยสภาพเลือดท่วมกาย ประมาณจากสายตาคร่าวๆ ในที่แห่งนี้น่าจะมีศิษย์อยู่ราวๆ ยี่สิบคน ทุกคนล้วนมีบาดแผลน้อยใหญ่ตามร่างกาย อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ ต่อให้เป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บน้อยสุดก็ยังสามารถมองเห็นคราบเลือดได้จางๆ
ฟ่านจิ่นตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปหาพวกเขาโดยไม่คิดอะไรอีก
ขณะที่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ กำลังจะตามขึ้นไป จวินอู๋เสียก็ยกมือขึ้นหยุดพวกเขาเอาไว้ก่อน
“ดูสถานการณ์ไปก่อน” ดวงตาที่เย็นชาของจวินอู๋เสียกวาดมองไปทั่วร่างของศิษย์ทั้งหลายที่ล้มลง เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกและสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดในอากาศ ทันใดนั้นดวงตาของนางก็มืดลงเล็กน้อย แสงอันเย็นวาบวิ่งผ่านดวงตาของนางไปอย่างรวดเร็ว
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ยั้งฝีเท้าไว้ หยุดยืนอยู่ด้านข้างจวินอู๋เสีย และมองตามแผ่นหลังของฟ่านจิ่นที่รีบวิ่งเข้าไปหาเหล่าศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บเพียงลำพัง
ฟ่านจิ่นมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของศิษย์คนหนึ่งที่ทั้งเนื้องทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและช่วยประคองเขาขึ้นมา ใบหน้าของศิษย์คนนั้นมีแต่คราบของเหลวสีแดงติดอยู่เต็มไปหมด ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าจริงๆ ของอีกฝ่ายได้เลย
“พวกเจ้าไปพบกับสัตว์วิญญาณระดับใดมากันแน่ เหตุใดถึงได้มีสภาพเช่นนี้!” ฟ่านจิ่นมองพวกเขาด้วยความตกใจ มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่ายี่สิบคน พวกเขาพบสัตว์วิญญาณชนิดใดกันถึงได้ทำให้พวกเขาประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ขนาดนี้
“ข้า…เราไม่รู้…เจ้าสิ่งนั้นมันรวดเร็วมากจนพวกเราไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยขอรับ ทุกคนล้วนถูกมันเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ ศิษย์พี่ฟาน ท่านต้องช่วยพวกเรานะขอรับ” ศิษย์คนนั้นพูดพลางจับแขนของฟ่านจิ่นเอาไว้แน่น
ตอนที่ 470 ตบหน้าอย่างต่อเนื่องครั้งที่สอง (4)
ฟ่านจิ่นพยักหน้าและรีบตรวจสอบอาการบาดเจ็บของศิษย์คนนั้นอย่างเร่งรีบ บางทีอาจเพราะศิษย์คนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเกินไป เขาจึงกดแขนของฟ่านจิ่นเอาไว้แน่นมากจนทำให้ฟ่านจิ่นรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฟ่านจิ่นกำลังก้มศีรษะลงเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บให้กับศิษย์คนนั้นต่อ เจตนาฆ่ามากล้นก็พลันปรากฏขึ้นในดวงตาของศิษย์คนนั้น ศิษย์อีกหลายคนที่ล้มอยู่ใกล้ๆ กัน จู่ๆ ก็กระโดดขึ้นจากพื้น และเมื่อพวกเขาลุกขึ้น กริชที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขาก็ถูกชักออกมา ยกเว้นคนที่กำลังกอดแขนตรึงร่างของฟ่านจิ่นเอาไว้อยู่ คนที่เหลือต่างก็กรูกันเข้าไปแทงกริชใส่ฟ่านจิ่นทันที!
ฟ่านจิ่นที่สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างกะทันหันอยากจะถอนตัวและกระโดดหนีไปให้พ้นทาง แต่เขาก็พบว่าแขนของเขาเวลานี้ถูกศิษย์คนนั้นจับเอาไว้แน่น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เขาพบกลับไม่ใช่แววตาที่ตื่นตระหนกอีกต่อไป แต่เป็นดวงตาที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายและเจตนาฆ่าคู่หนึ่ง
“ศิษย์พี่ฟ่าน วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของท่าน หลับให้สบายเถอะ!” ศิษย์คนนั้นหัวเราะเสียงดังและเอนหลังเล็กน้อย เผยให้เห็นมือเปื้อนเลือดคู่นั้นกำลังเรืองแสงออกมาและภูติวิญญาณในรูปแบบของถุงมือเปิดนิ้วก็ปรากฏสู่สายตาของฟ่านจิ่น
ฟ่านจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ศิษย์คนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใช้ภูติวิญญาณประเภทอาวุธ และถุงมือคู่นั้นก็คือวงแหวนภูติวิญญาณของเขา เนื่องจากเขาถูกศิษย์คนนั้นจับยึดเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว ต่อให้ฟ่านจิ่นยามนี้อยากจะถอยหนีเพียงใด เขาก็ไม่สามารถสลัดให้หลุดจากการยึดตัวของอีกฝ่ายได้เลย!
ในขณะที่กลุ่มศิษย์เหล่านั้นกำลังถือกริชพุ่งเข้าใส่เขาจากทุกทิศทาง เห็นว่าคมกริชที่เย็นเยียบนั้นกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ มันกำลังจะแทงโดนตัวฟ่านจิ่นแล้ว!
ทันใดนั้นเองแสงสีเงินยวงก็สว่างวาบออกมา แสงนั้นพุ่งออกไปปรากฏต่อหน้าทุกคนราวกับสายฟ้า และก่อนที่จะมีผู้ใดรู้ตัว ศิษย์คนที่จับฟ่านจิ่นไว้ก็รู้สึกว่ามือของเขาว่างเปล่า รอจนกระทั่งเขาฟื้นคืนสติ ตัวฟ่านจิ่นที่ถูกจับไว้ก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขาพร้อมกับนิ้วทั้งห้าบนมือที่ถูกตัดออกไปด้วย! เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากนิ้วที่ขาดของเขาทันที!
อ๊ากกก! เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของศิษย์คนนั้น เขาล้มลงไปนอนกับพื้น ยกมือข้างที่ถูกตัดนิ้วทิ้งขึ้นมากุมด้วยความทุรนทุราย
สายฟ้าสีเงินวาบไปปรากฏอยู่ที่ด้านข้างของจวินอู๋เสีย ในขณะที่ร่างอันเรือนร่างของเขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา เฟยเยียนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ในมือของเขาข้างหนึ่ง ยังหิ้วร่างของฟ่านจิ่นที่ยังคงนิ่งค้างไม่หายจากอาการตกตะลึงดี
“ข้าจะสอนอะไรเจ้าสักหน่อย ยึดถือในคุณธรรมเป็นเรื่องดี แต่ก่อนที่เจ้าจะกระทำมัน เจ้าจำเป็นต้องใช้สมองให้มากกว่านี้” เฟยเยียนปล่อยมือที่จับคอเสื้อของฟ่านจิ่นอยู่ลง มองไปที่ฟ่านจิ่นด้วยสายตาจนปัญญาเล็กน้อย
สีหน้าของฟ่านจิ่นยังคงฉายชัดถึงความตกใจสุดขีด จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ศิษย์คนที่ถูกตัดนิ้วทิ้งยังคงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ส่วนคนอื่นๆ ที่กำลังจะโจมตีฟ่านจิ่น เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าวศิษย์กว่ายี่สิบคนก็เป็นอันต้องหยุดชะงักไป พวกเขามองสลับไปที่ฟ่านจิ่นที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของจวินอู๋เสียเล็กน้อย กับสหายของตัวเองที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานอยู่บนพื้น
“นี่มัน…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ฟ่านจิ่นมองดูกลุ่มศิษย์ที่แข็งแรงดี ปราศจากอาการอ่อนแอบาดเจ็บอย่างที่เห็นในตอนแรกโดยสิ้นเชิง ต่อให้เป็นคนโง่งี่เง่าแค่ไหน ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ และเลือดที่ละเลงอยู่บนตัวของพวกเขา ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจ ทำขึ้นมาทั้งสิ้น
“มันก็เห็นอยู่ชัดๆ แล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นกับดัก” เฉียวฉู่กระโดดขึ้นไปหยุดอยู่ด้านข้างฟ่านจิ่นและตบไหล่เขาเบาๆ พูดปลอบใจเขาไปว่า “ข้าคิดว่าเจ้ารู้แต่แรกแล้วเสียอีก ถึงได้จงใจให้ความร่วมมือกับคนพวกนี้ ที่ไหนได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ตัวจริงๆ”
“ข้า…ควรจะรู้อะไรหรือ” จิตใจของฟ่านจิ่นกำลังสับสนวุ่นวาย และเขาไม่สามารถจินตนาการถึงความจริงทั้งหมดได้เลย
“ก็เรื่องที่คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ แต่ต้องการล่อเจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าอย่างไรเล่า” เฉียวฉู่อธิบายให้ฟังอย่างใจกว้าง
“อะไรนะ!” ฟ่านจิ่นหน้าซีดเผือดทันที และในชั่วพริบตา คนยี่สิบกว่าคนนั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง วงแหวนภูติวิญญาณตนแล้วตนเล่าถูกเรียกออกมา พวกมันอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่เรียงรายอยู่เต็มปาก
“ฟ่านจิ่น วันนี้อย่าหวังว่าเจ้าจะได้ก้าวออกจากป่าประลองวิญญาณอย่างมีชีวิตเลย หากเจ้าไม่อยากลากคนอื่นเข้ามาตายพร้อมกับเจ้าด้วย เช่นนั้นก็จงรับความตายซะ!” ศิษย์คนหนึ่งที่คล้ายกับจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม มองไปที่ฟ่านจิ่นแล้วกล่าวขึ้นอย่างชั่วร้าย