ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 475 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (2) ตอนที่ 476 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 475 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (2) ตอนที่ 476 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (3)
ตอนที่ 475 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (2) / ตอนที่ 476 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (3)
ตอนที่ 475 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (2)
สุขภาพร่างกายของฟ่านจัวย่ำแย่เช่นนี้เสมอมา เขาอ่อนแอและป่วยมาตั้งแต่เด็ก ฟ่านจิ่นจึงมักจะคอยปกป้องน้องชายที่เปราะบางคนนี้อยู่เสมอ ฟ่านฉีและหนิงรุ่ยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ในขณะที่หนิงซินเองก็เติบโตมาพร้อมกับสองพี่น้องสกุลฟ่าน ตั้งแต่พวกเขายังเล็กๆ ฟ่านจิ่นจึงถือว่าหนิงซินเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขามาตั้งนานแล้ว นอกจากนี้ด้วยอุปนิสัยที่น่ารักอ่อนหวานและเป็นห่วงฟ่านจัวเป็นอย่างมาก ทำให้สถานะของหนิงซินในสายตาฟ่านจิ่นไม่ต่างอะไรไปจากน้องสะใภ้แท้ๆ ของเขาเลย
แต่ตอนนี้ หลังจากได้ยินทุกสิ่งที่ศิษย์คนนั้นสารภาพออกมา ฟ่านจิ่นก็คล้ายถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะอย่างแรง
ฟ่านจิ่นรู้มาโดยตลอดว่าหนิงซินเป็นผู้ชี้แนะของอิ่นเหยียน แต่จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าน้องสาวตัวน้อยในวันวานจะวางแผนฆ่าเขาแบบนี้!
“นี่มีอะไรเข้าใจผิดไปหรือไม่” ฟ่านจิ่นขบกรามแน่น ยังไม่อาจทำใจยอมรับ
จวินอู๋เสียเหลือบมองฟ่านจิ่นแต่ไม่ได้ตอบสนองอะไร อุปนิสัยของฟ่านจิ่นก็เป็นเช่นนี้ ตรงไปตรงมา ใจกว้าง และเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ไม่อย่างนั้น ในวันนั้นเขาก็คงไม่ลุกขึ้นมาปกป้องนางในขณะที่นางถูกคนมากมายใส่ร้ายป้ายสี
แต่คนที่มีหัวใจบริสุทธิ์และซื่อตรงเช่นนี้ หากดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่สงบสุข ก็ย่อมกลายเป็นวีรบุรุษที่หลายคนเคารพยกย่อง หากแต่คนเช่นนี้ก็มีจุดอ่อนใหญ่หลวง กล่าวคือเขาไว้ใจผู้อื่นมากเกินไป เพียงแค่คนแสดงความปรารถนาดีบางอย่างให้เขาเห็นเล็กน้อย เขาก็สามารถทำให้เขาเชื่อใจได้แล้ว ใช้คำน่าฟังหน่อย สามารถนิยามคนประเภทนี้ได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่หากใช้อีกคำที่ไม่น่าฟังมานิยาม ก็คงเรียกเขาได้ว่าเป็นคนโง่
หากเป็นในยามปกติ จวินอู๋เสียคงจะฆ่านางให้จบๆ เรื่องไป แต่เรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นางโดยตรง ผู้เสียหายหลักคือฟ่านจิ่น นางจึงรู้สึกว่าควรให้ฟ่านจิ่นเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่าว่าจะเก็บอีกฝ่ายไว้หรือไม่
แต่หากอิ่นเหยียนและหนิงซินยังไม่มีตากล้ามายั่วยุนางอีกรอบ ทั้งหนี้เก่าและหนี้ใหม่นางจะชำระมันพร้อมกันในคราวเดียว
“น้องเสีย รับปากอะไรข้าสักอย่างจะได้หรือไม่” จู่ๆ ฟ่านจิ่นก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่จวินอู๋เสีย
“พูดมา” จวินอู๋เสียพูดเสียงเบา
“ก่อนที่หลักฐานทุกอย่างจะแน่ชัด ช่วยละเว้นหนิงซินไปก่อนได้หรือไม่” ฟ่านจิ่นกัดฟันแน่น หลังจากได้เห็นทักษะของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ด้วยตาของเขาเอง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตราบเท่าที่จวินอู๋เสียปรารถนาในชีวิตของหนิงซิน มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก และทุกสิ่งทุกอย่างที่จวินอู๋เสียประสบยามอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัว ส่วนหนึ่งก็มาจากหนิงซินที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง จวินอู๋เสียมีเหตุผลที่จะฆ่านางอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่…
คิดถึงหนิงซินตัวน้อยๆ ที่เดินตามหลังเขามาตั้งแต่เด็ก เงยหน้าขึ้นและเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ว่า ‘พี่จิ่น’ ว่าอาจจะต้องตาย หัวใจของฟ่านจิ่นก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งดวง เขาหวังจริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
“เพียงครั้งเดียว” จวินอู๋เสียมองฟ่านจิ่นและตกลงทำตามคำขอร้องของเขาอย่างไม่คาดคิด
ครั้งแรกที่นางตอบรับคำขอของมั่วเฉี่ยนยวน ก็เพื่อต้องการให้บทเรียนที่ดีแก่เขา ตอนนี้นางตกลงทำตามคำขอของฟ่านจิ่นอีกครั้ง ทั้งหมดก็เพื่อชดเชยสำหรับเขาที่ตั้งใจปกป้องนางเสมอมา
จวินอู๋เสียอาจไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มากนัก แต่ใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี นางก็จะทำดีต่อคนผู้นั้นให้มากยิ่งกว่า
ในความเป็นจริง เป้าหมายที่นางมาที่สำนักศึกษาเฟิงหัวพร้อมกับฮวาเหยาและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มาเพื่อเข้าเรียนอยู่แล้ว แต่จุดประสงค์หลักอยู่ที่การค้นหาแผนที่หนังมนุษย์มากกว่า ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างสกุลฟ่านและสกุลหนิง จึงไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับนางเลย แต่เหตุผลที่นางเต็มใจเข้าไปแทรกแซง นั่นก็เพราะแผนการของอีกฝ่ายมีผลกระทบต่อนาง และประการที่สองเป็นเพราะสองพี่น้องสกุลฟ่านดีต่อนางยิ่ง
“ขอบคุณ” ฟ่านจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากเข้ามาในป่าประลองวิญญาณ เขาก็ค่อยๆ ตระหนักได้ว่าจวินอู๋เสียไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาคิด ก่อนหน้านี้นางอาจจะเงียบและไม่แยแสสิ่งรอบกาย แต่นางไม่ใช่ตัวตนที่ผู้ใดจะสามารถยั่วยุได้ตามใจชอบ
ไม่ลงมือไม่มีผู้ใดทราบ แต่ถ้าลงมือแล้วมันก็จะทำให้คนผู้นั้นจดจำไปตลอดทั้งชีวิต!
ตอนที่ 476 สตรีที่เป็นดั่งอสรพิษ (3)
ในขณะที่ฟ่านจิ่นกำลังพูดคุยกับจวินอู๋เสีย ศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นที่ล่อฟ่านจิ่นเข้าไปให้คนอื่นๆ โจมตี ก็หลบหนีออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
ในป่าทึบอีกด้านหนึ่ง กลุ่มศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว เพิ่งจะจับสัตว์วิญญาณระดับกลางได้ ร่างใหญ่โตของสัตว์วิญญาณล้มลงกับพื้นทำเอาต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นโค่นลงเป็นทาง ศิษย์คนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงโปร่งกำลังเหยียบอยู่บนหัวของสัตว์วิญญาณระดับกลางอย่างอหังการ์ ก้มมองหาหินวิญญาณจากกะโหลกที่แตกหัก
หญิงสาวงดงามนางหนึ่งยืนอยู่วงนอกของกลุ่ม มองภาพที่เต็มไปด้วยโลหิตแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย นางยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกตัวเองไว้
“ศิษย์พี่หนิง อยากดื่มน้ำหรือไม่ขอรับ” อิ่นเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งถุงบรรจุน้ำให้หญิงสาวอย่างเอาอกเอาใจ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหลชื่นชม
หนิงซินชำเลืองมองอิ่นเหยียนแล้วส่ายหัว จากนั้นก็หันไปมองอีกด้านหนึ่ง
ทันใดนั้น นางก็สังเกตเห็นว่าเงาร่างที่คุ้นเคยกำลังวิ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ นางรีบส่งสายตาให้อิ่นเหยียนทันที อิ่นเหยียนเข้าใจดีว่านางต้องการจะสื่ออะไร จึงหันหลังและรีบวิ่งเข้าไปหาศิษย์คนนั้นอย่างเงียบๆ พยายามให้ตัวเองไม่เป็นที่จับสังเกตที่สุด
ฝีเท้าของหนิงซินขยับเล็กน้อย สายตาของนางจับจ้องไปที่การสนทนาระหว่างอิ่นเหยียนกับศิษย์คนนั้นไม่ละสายตา โดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า หญิงสาวยังคงวางท่านิ่งสงบทั้งที่ประกายกระตือรือร้นในดวงตาได้ทรยศนางจนหมดแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน อิ่นเหยียนก็วิ่งกลับมาทางนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง” หนิงซินพยายามรักษาความสงบของตัวเองไว้และแสร้งถามออกไปอย่างใจเย็น
“ฟ่านจิ่นตกหลุมพรางแล้ว แผนการน่าจะสำเร็จขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นทางเราไม่เห็นพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือใดๆ ถูกยิงออกมาเลย คิดว่าเขาน่าจะถูกกำจัดไปแล้ว” อิ่นเหยียนก้มศีรษะลงเล็กน้อย บนใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขามีแต่ความตื่นเต้นและยินดี
เป้าหมายของพวกเขาคือฟ่านจิ่นเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่มีคำสั่งที่แน่นอนสำหรับคนอื่นๆ ยกเว้นฟ่านจิ่น แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมกำชับ เป็นนัยไปว่าหากคนพวกนั้นต่อต้าน ก็สามารถฆ่าและแสร้งจัดศพให้ดูเหมือนถูกสัตว์วิญญาณระดับสูงฆ่าได้ทันที ดูเหมือนว่าคราวนี้คนในกลุ่มของฟ่านจิ่นจะไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาเลยสักคน ไม่อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ยิงพลุสัญญาณเลยจนถึงตอนนี้
“เพื่อไม่ให้สถานะของพวกเขาถูกเปิดเผย คนพวกนั้นย่อมไม่มีทางไว้ชีวิตจวินเสียและคนอื่นๆ อยู่แล้ว” หนิงซินพูดด้วยรอยยิ้ม นางสั่งให้พวกเขาฆ่าฟ่านจิ่นเพียงคนเดียวจริงๆ แต่ตราบเท่าที่คนพวกนั้นไม่ใช่คนโง่ เพราะเขาย่อมรู้ดีว่าไม่อาจปล่อยให้พยานมีชีวิตรอดต่อไปได้
ใครก็ตามที่อยู่ในกลุ่มฟ่านจิ่น ล้วนสามารถกลับมาเป็นพยานเพื่อชี้ตัวของพวกเขาได้ในอนาคต ดังนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง การฆ่าพวกเขาทั้งหมดเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
“ศิษย์พี่หนิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว คิดจะกำจัดก็ต้องขุดรากถอนโคน ไม่อย่างนั้นวสันตฤดูมาเยือนหน่ออ่อนก็จะแตกยอดออกมาใหม่ มีเพียงทำให้ทุกคนที่รู้ความจริงในเรื่องนี้หุบปากอย่างถาวร ความลับนี้ถึงจะกลายเป็นความลับชั่วนิจนิรันดร์ และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครรู้อีกว่าฟ่านจิ่นนั้นไม่ได้ตายเพราะถูกสัตว์อสูรระดับสูงฆ่า แต่ตายเพราะถูกคนลอบสังหารต่างหาก ส่วนคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการลอบสังหารครั้งนี้ ย่อมไม่มีใครเอามันออกไปป่าวประกาศอยู่แล้ว” อิ่นเหยียนพูดพร้อมหัวเราะร่วน แม้เขาจะไม่ได้เห็นฉากการตายของฟ่านจิ่นด้วยตาของตัวเอง แต่ข่าวการตายของเขาก็ทำให้เขาตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก
หนิงซินกลับโบกมือ “ของที่ใช้แล้วแน่นอนว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บไว้อีก กำจัดไปเสีย มีเพียงคนตายเท่านั้นบนโลกนี้ที่สามารถเก็บความลับได้อย่างแท้จริง”
อิ่นเหยียนตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงซิน
“ศิษย์พี่หนิง ท่านหมายความว่า…”
หนิงซินมองไปที่ศิษย์คนนั้นที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล และกำลังรักษาบาดแผลของเขาอยู่ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ราวกับมีบุปผานับร้อยเบ่งบานว่า “งานล่าวิญญาณทุกปี ศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัวบางส่วนไม่ตายก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับ ในครั้งนี้จำนวนผู้เสียชีวิตน่ากลัวว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปีก่อนๆ” หลังจากพูดจบ ดวงตาที่ยิ้มแย้มของหนิงซินก็กวาดมองไปที่อิ่นเหยียน อิ่นเหยียนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัวทันที