ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 593 ตบหน้าฝูงชน (11) ตอนที่ 594 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 593 ตบหน้าฝูงชน (11) ตอนที่ 594 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (1)
ตอนที่ 593 ตบหน้าฝูงชน (11) / ตอนที่ 594 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (1)
ตอนที่ 593 ตบหน้าฝูงชน (11)
“เจ้าควรจะมาที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แน่นอนว่าถ้าเจ้ามีธุระอื่นก็สามารถไปทำได้เลย ไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งข้าล่วงหน้า” กู้หลีเซิงใช้คำพูดที่สุภาพมาก สองมือของเขากำม้วนกระดาษที่จวินอู๋เสียให้เอาไว้แน่น เขาอ่านมันอย่างตั้งใจทั้งวันทั้งคืน อ่านแล้วอ่านอีก แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่เขียนเอาไว้ทั้งหมดได้ เขาจึงร้อนใจเป็นอย่างมากที่จะขอคำแนะนำจากจวินอู๋เสีย
กู้หลีเซิงให้อิสระกับจวินอู๋เสียมากที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยให้ศิษย์คนไหนมาก่อน
แต่จวินอู๋เสียสมควรได้รับมันทั้งหมดแล้ว
นางมีความสามารถที่ต้องการ และกระทั่งตอนที่กู้หลีเซิงให้สิทธิพิเศษแก่นางแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ไม่มีสักคนที่จะกล้าส่งเสียงคัดค้าน
นางสามารถพัฒนาปรับปรุงทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณได้จนเหนือกว่าทักษะของกู้หลีเซิง
“ข้ามีธุระด่วน จำเป็นต้องไปจากที่นี่สักสองสามวัน” จวินอู๋เสียพูดเสียงเบา นางแจ้งว่ามีธุระอื่นที่ต้องไปจัดการทันที
กู้หลีเซิงตกใจ เขาพยายามจะอ้าปากพูด เขาไม่คิดเลยว่าจวินอู๋เสียจะมีธุระอื่นให้ต้องไปทำเร็วขนาดนี้…
เขารู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่อาจกลืนน้ำลายของตัวเองได้
“แค่กๆ…แล้วเจ้าจะไปสักกี่วัน” กู้หลีเซิงดูกระอักกระอ่วนใจ เขาต้องการให้จวินอู๋เสียอธิบายรายละเอียดในสิ่งที่นางเขียนเอาไว้ในม้วนกระดาษให้มากกว่านี้
“ไม่นานหรอก” จวินอู๋เสียตอบ
การแสดงยังไม่จบ ข้าต้องไปจัดการให้สำเร็จ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะพลาดฉากสำคัญที่ข้าอุตส่าห์ตระเตรียมไว้ให้พวกเขา
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปทำธุระของเจ้าเถอะ เมื่อเสร็จแล้วเจ้าค่อยกลับมาหาข้าที่นี่ได้หรือไม่ คือว่า…ม้วนกระดาษ…ที่เจ้าให้ข้ามา…มีตอนหนึ่งในนี้…ที่ข้าไม่เข้าใจ” ใบหน้าของกู้หลีเซิงแดงก่ำด้วยความอับอาย เขาไม่คิดว่าคนที่โตเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนแล้วอย่างเขา จะสมควรมาขอคำชี้แนะจากผู้เยาว์อายุสิบกว่าปีเช่นนี้ นั่นมันทำให้เขารู้สึก…กระอักกระอ่วนใจและลำบากใจมาก
แต่ความหลงใหลในทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณของเขา ก็ทำให้กู้หลีเซิงเค้นคำพูดเหล่านี้ออกมาจนได้
จวินอู๋เสียมองกู้หลีเซิง สายตาทิ่มแทงคู่นั้นเหมือนจะบอกว่า ‘เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ’
ใบหน้าของกู้หลีเซิงแทบจะคั้นสีเลือดออกมาได้แล้ว
“ตกลง” ในขณะที่ใบหน้าของกู้หลีเซิงแดงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจวินอู๋เสียก็ตอบตกลง
กู้หลีเซิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“นี่คือป้ายหยกของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เจ้าเก็บมันเอาไว้ให้ดี” กู้หลีเซิงยื่นป้ายหยกมาตรงหน้าจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียกลับส่ายศีรษะ ทำเอากู้หลีเซิงสับสนจนทำอะไรไม่ถูก
“หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ ยังจะมีใครในสำนักศึกษาที่ไม่รู้จักข้าอีกเล่า” จวินอู๋เสียตอบเสียงเบา จุดประสงค์ของป้ายหยกก็เพื่อแสดงให้ศิษย์คนอื่นรู้ว่าผู้ถือครองป้ายนั้นเป็นศิษย์ของสาขาไหน แต่ตอนนี้กู้หลีเซิงได้ทำให้ทั้งสำนักศึกษาต้องสั่นสะเทือนเมื่อเขาตำหนิทุกคนอย่างรุนแรง จวินอู๋เสียเชื่อสนิทใจว่าต่อจากนี้ไป ใบหน้าของนางจะเป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนและสะดุดตายิ่งกว่าป้ายหยกใดๆ ที่กู้หลีเซิงจะมอบให้แก่นางอีก
“นั่นก็จริง” กู้หลีเซิงเก็บป้ายหยกกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
กู้หลีเซิงอดไม่ได้ที่จะรั้งตัวจวินอู๋เสียเอาไว้เพื่อถามเกี่ยวกับเนื้อหาบางส่วนในม้วนกระดาษที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจนัก นานทีเดียวกว่าที่เขาจะยอมปล่อยจวินอู๋เสียออกมา
จวินอู๋เสียก้าวออกจากห้องทำงานของกู้หลีเซิง เมื่อนางลงบันไดมาถึงลานกลางของตึกชั้นล่าง นางก็เห็นศิษย์สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณยืนเบียดกันเป็นกลุ่ม พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งขณะที่แอบดูนางอย่างระมัดระวัง
“จวิน…จวินเสีย…” จู่ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็ถูกผลักออกมาจากกลุ่ม เขาพูดตะกุกตะกักขณะที่มองจวินอู๋เสียอย่างรู้สึกผิด
เมื่อคิดย้อนกลับไปในตอนที่พวกเขาแอบนินทาจวินอู๋เสียลับหลังอยู่หลายครั้ง พวกเขาก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะเผชิญหน้ากับจวินอู๋เสียอีกครั้ง แต่ว่า…
กู้หลีเซิงให้ความใส่ใจจวินอู๋เสียอย่างถึงที่สุด ถ้าจวินอู๋เสียโกรธแค้นพวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้อีกต่อไป
ศิษย์ทุกคนในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไม่สงสัยเลยสักนิดว่า ถ้าจวินอู๋เสียขอให้กู้หลีเซิงไล่พวกเขาทุกคนออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ กู้หลีเซิงย่อมทำให้ทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนที่ 594 ตบหน้าครั้งที่เจ็ด (1)
หลังจากรู้ว่ากู้หลีเซิงฝืนใจรับพวกเขาเข้ามาเป็นศิษย์ เหล่าศิษย์ที่มีโอกาสเข้ามาอยู่ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณตั้งแต่แรก ก็รู้สึกหวงแหนสถานะศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างถึงที่สุด พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อที่รักษาตำแหน่งของพวกตัวเองไว้
พวกเขาไม่อยากจะสูญเสียมันไป!
“ขอ…ขอโทษ…พวกเราโง่เขลาเองที่ไปเชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะมีน้ำใจกว้างขวาง ให้อภัยคนเลวเช่นพวกเราด้วย! ได้โปรดให้อภัยพวกเราทุกคนด้วย!” ศิษย์คนนั้นโค้งเก้าสิบองศาอย่างเป็นทางการเพื่ออ้อนวอนขอให้จวินอู๋เสียยกโทษให้
ศิษย์คนอื่นๆ ข้างหลังเองก็โค้งคำนับเช่นกัน
จวินอู๋เสียชำเลืองมองพวกเขา นางไม่พูดอะไรสักคำก่อนจะเดินจากไป
เหล่าศิษย์โค้งตัวรออยู่นานก็ไม่ได้รับคำตอบสักที เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าจวินอู๋เสียเดินผ่านประตูใหญ่ของตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไปแล้วโดยไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย! คลับคล้ายกับโลกกำลังล่มสลายลงมาต่อหน้า แต่ละคนพากันร่ำไห้สะอึกสะอื้นกับการสูญเสียที่กำลังจะมาถึง
“เรา…พวกเราจะทำอย่างไรกันดี…นี่หมายความว่า…เขาจะไม่ให้อภัยพวกเราใช่หรือไม่” เหล่าศิษย์ต่างเกาะกลุ่มกันร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพราก
จวินอู๋เสียลืมศิษย์พวกนั้นไปเสียสนิทและเดินกลับไปยังลานป่าไผ่
ตลอดทางมีสายตานับไม่ถ้วนมองตามร่างเล็กที่เดินไปช้าๆ ทุกสายตาที่มองจวินอู๋เสีย ไม่มีการดูหมิ่นเหยียดหยามหรือเยาะเย้ยเช่นเมื่อก่อน แต่กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกละอายใจและหวาดกลัว
เมื่อพวกเขาเห็นจวินอู๋เสีย มันจะเตือนให้พวกเขานึกถึงความอับอายในเช้าวันที่กู้หลีเซิงกับฟ่านฉีตบหน้าพวกเขาทุกคน และไม่มีใครกล้าเข้าไปหาจวินอู๋เสียสักคน
พวกเขาพากันหลบหน้าด้วยความอับอาย และพากันหนีไปซ่อนตัวราวกับหนูกลัวแมว สำหรับศิษย์ที่เผอิญเจอเข้ากับจวินอู๋เสียซึ่งๆ หน้านั้น พวกเขาพบว่าเรี่ยวแรงที่ขาคล้ายกับจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเสี้ยววินาที และพยายามหลีกหนีให้พ้นทางของนางโดยเร็วที่สุด
จวินอู๋เสียดูเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นหรือให้ความสนใจใดๆ เลย นางเดินต่อไปที่ลานป่าไผ่
ในลานป่าไผ่ ฟ่านจิ่นเล่าเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ฟ่านจัวฟังอย่างตื่นเต้น ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงก่ำ และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความร่าเริงและมีความสุข เขาหวังว่าจะสามารถทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งได้
ฟ่านจัวยิ้มและไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ดวงตาของเขากลับเป็นประกายอย่างยินดี
“ฮ่าๆๆ…เจ้าน่าจะได้เห็น มันสะใจมากจริงๆ! เจ้าจำท่านอาจารย์หน้าบูดที่ชื่อเฉียนหยวนเหอคนนั้นได้หรือไม่ คนที่อยู่ในสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณน่ะ เขาเที่ยวโพนทะนาบอกกับทุกคนไปทั่วเรื่องความผิดของจวินอู๋เสีย แต่วันนี้คำพูดของท่านลุงกู้แทบจะทำให้เขาอยากเอาหัวโขกกำแพงตายด้วยความอับอาย มันทำให้ข้ามีความสุขมากจริงๆ…ฮ่าๆๆ…” ยิ่งเล่าฟ่านจิ่นก็ยิ่งคึกคัก เขาขนสุรามาสองไหใหญ่ๆ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับโอกาสอันแสนพิเศษนี้
นอกจากจวินอู๋เสียแล้ว คนที่มีความสุขมากที่สุดกับเหตุการณ์ในวันนี้ก็คือฟ่านจิ่นนี่แหละ!
ในช่วงเวลาอันแสนมืดมนนั้น จวินอู๋เสียต้องทนทุกข์กับคำสาปแช่งด่าทออย่างรุนแรงโดยไม่หยุดหย่อน แต่ในทางตรงกันข้าม ฟ่านจิ่นที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องจวินอู๋เสียและรู้ความจริงทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบากตามกันจนเกือบจะระเบิดออกมา
“น้องเสีย เจ้ากลับมาแล้ว!” พอฟ่านจิ่นเห็นจวินอู๋เสียเข้ามา เขาก็กระโดดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ร่างสูงของเขาโงนเงนจากการลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ฟ่านจัวจึงยื่นมือออกไปช่วยพยุงร่างพี่ชายของเขาเอาไว้ จวินอู๋เสียนั่งลงบนโต๊ะ หรี่ตามองฟ่านจิ่นที่เมาเล็กน้อย
“วันนี้เราจัดการ…อึ๊ก…ทำให้เจ้าพวกสารเลวหุบปากอึ๊ก…” ฟ่านจิ่นสะอึก พูดอ้อแอ้พร้อมกับฉีกยิ้ม เขาล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของเขา
ฟ่านจัวหันไปมองจวินอู๋เสียแล้วยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
ตั้งแต่ฟ่านจิ่นก้าวเข้ามา เขาก็ไม่หยุดพูดเลย อีกทั้งจอกสุราก็แทบจะไม่ห่างจากปากเขาเลย จวินอู๋เสียกับฟ่านจัวไม่ดื่มสุรา พวกเขาจึงทำได้เพียงมองฟ่านจิ่นกระดกสุราทั้งสองไหลงคอ ไม่ช้าฟ่านจิ่นก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะและกรนเสียงดัง
“วันนี้พี่ใหญ่มีความสุขมากจริงๆ” ฟ่านจัวยิ้มเก้อ เขามองดูพี่ชายที่เมาจนหมดสติ ก็รู้ว่าพี่ชายของเขามีความสุขอย่างแท้จริงในวันนี้
“ข้าจำเป็นต้องไปจากที่นี่สักพัก” จู่ๆ จวินอู๋เสียก็พูดขึ้น
ฟ่านจัวชะงักไปนิดหน่อยกับคำบอกกล่าวที่กะทันหันนี้