ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 675 บ้านหิน (3) ตอนที่ 676 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 675 บ้านหิน (3) ตอนที่ 676 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (1)
ตอนที่ 675 บ้านหิน (3) / ตอนที่ 676 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (1)
ตอนที่ 675 บ้านหิน (3)
ข้อความสั้นๆ ที่ไม่ปะติดปะต่อพวกนั้นแทบจะเต็มกำแพงทั้งหมด พวกมันไม่ได้ถูกสลักเอาไว้ในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการบอกเล่าถึงความตกต่ำอย่างช้าๆ ของเจ้าของบ้านสู่ความสิ้นหวังไร้หนทางอย่างถึงที่สุด
สิ่งที่ทำให้จวินอู๋เสียสงสัยก็คือ เจ้าของบ้านหินไม่ใช่คนจากสามโลกชั้นกลาง จากคำพูดที่เขาทิ้งไว้ มันก็แปลความได้ไม่ยากว่าเขามาจากสามโลกเบื้องล่าง และเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นผู้ปกครองรัฐหรือสมาชิกในราชวงศ์
แต่เขาไปสะดุดตาคนจากสิบสองตำหนักและได้ยื่นข้อเสนอเป็นวิธีได้รับพลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นเงื่อนไข แลกเปลี่ยนสำหรับการเป็นหุ่นเชิดให้พวกเขา และนำเขามาที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้าแห่งนี้
บุรุษผู้นั้นไม่ได้มาที่แห่งนี้เพียงลำพัง อย่างน้อยก็ต้องมีคนมากับเขาหลายร้อยคน แต่หลังจากมาที่ผาสุดขอบฟ้า ผู้ติดตามของเขาก็เสียชีวิตลงไปเรื่อยๆ มีเพียงเขาที่โชคดีหนีรอดมาได้ อย่างไรก็ตามเขาได้หลงทางอยู่ภายในหมอกและไม่สามารถหาทางออกได้ สุดท้ายเขาก็รวบรวมก้อนหินที่พบแถวนี้มาสร้างบ้านหินหยาบๆ แบบง่ายๆ เป็นที่หลบภัยชั่วคราว
แต่ที่อยู่ชั่วคราวของเขากลับอยู่มาได้หลายปี
จวินอู๋เสียไม่สามารถจินตนาการได้ว่าบุรุษผู้นี้ต้องอยู่ในความสิ้นหวังมากเพียงใดก่อนตาย ถึงได้จุดไฟใหญ่ขนาดนั้นเพื่อเผาทำลายตัวเขาไปพร้อมกับทุกอย่างให้ราบคาบ นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นใช้วิธีอะไรจึงสามารถจุดไฟเผาสภาพแวดล้อมที่เปียกขนาดนี้ได้
แต่ดูจากพื้นด้านนอกที่เป็นสีดำและเทาแล้วแปลว่าเขาทำสำเร็จ พื้นดินถูกเผาไหม้อย่างหนักจนไม่มีอะไรขึ้นได้อีกแล้ว มันเป็นสถานที่ว่างเปล่าและแห้งแล้งนับตั้งแต่นั้นมา
จวินอู๋เสียไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าบุรุษผู้นั้นตายไปนานเท่าไรแล้ว นางไม่พบซากโครงกระดูกอยู่แถวนี้เลย อุณหภูมิที่ต่ำอยู่ตลอดเวลาของหมอกพวกนี้ ได้ชะล้างพื้นผิวที่กลายเป็นสีดำของบ้านหินจนสะอาด จวินอู๋เสียประเมินได้อย่างคร่าวๆ ว่าบุรุษผู้นั้นได้ตายไปนานมากแล้ว
แต่สิ่งที่จวินอู๋เสียสนใจมากที่สุดก็คือไม่กี่บรรทัดที่บุรุษผู้นั้นสลักไว้บนก้อนหินก่อนตาย
พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นแค่ผลของพลังวิญญาณที่ลุกไหม้เท่านั้น
คำพวกนั้นได้รับความสนใจอย่างเต็มที่จากจวินอู๋เสีย
เฉียวฉู่กับคนอื่นๆ บอกว่าคนจากสามโลกชั้นกลางเกิดมาพร้อมความสามารถในการเร่งพลังให้ขึ้นไปถึงระดับขั้นสีม่วง และเมื่อพวกเขาเกิดมาพร้อมความสามารถนั้นและเรื่องที่พวกเขาจากสามโลกชั้นกลางมาในตอนที่ยังเด็กมาก พวกเขาจึงไม่เข้าใจมันมากนัก แม้แต่เยี่ยนปู้กุยก็ยังไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าความสามารถตั้งแต่เกิดของพวกเขาทำงานอย่างไร
จากข้อความก่อนตายจากบุรุษผู้นั้น แสดงว่าความสามารถนั้นไม่ใช่ความสามารถเฉพาะตัวของคนจากสามโลกชั้นกลางเท่านั้น เนื่องจากบุรุษผู้นั้นที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจากสามโลกเบื้องล่าง เมื่อได้รับคำแนะนำจากคนที่บุรุษผู้นั้นทำข้อตกลงด้วย เขาก็เรียนรู้วิธีบรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้ชั่วคราว! คำพูดพวกนั้นได้พิสูจน์เรื่องนั้นทั้งหมดแล้ว!
“พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นแค่ผลของพลังวิญญาณที่ลุกไหม้เท่านั้น…” จวินอู๋เสียครุ่นคิด พิจารณาคำพวกนั้นซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามทำความเข้าใจความหมายของมัน
ถึงแม้พลังวิญญาณของนางกำลังเติบโตและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับพลังของศัตรู นางยังคงห่างชั้นอยู่มาก การได้พลังวิญญาณขั้นสีม่วงเป็นแค่ก้าวแรกสู่การแก้แค้นของนาง ในตอนที่นางไม่รู้ว่าคนจากสามโลกเบื้องล่างสามารถเรียนเคล็ดวิชากระตุ้นพลังวิญญาณไปจนถึงขั้นสีม่วงชั่วคราวได้ด้วย นางก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับนาง แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่ามันเป็นไปได้ นางย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปง่ายๆ แน่
พลังวิญญาณที่ลุกไหม้ หมายความว่าอะไร
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้อยู่ดี นางอาจจะเข้าใจคำใบ้สำคัญนี้ได้ และพยายามดูว่านางจะสามารถทะลวงขั้นได้สำเร็จหรือไม่!
จวินอู๋เสียสงบใจลงและเริ่มเร่งเร้าพลังวิญญาณในร่างให้หมุนเวียนในเส้นเลือดและเส้นลมปราณ ตอนที่นางทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อยกระดับเคล็ดทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ นางได้ผ่านการฝึกควบคุมพลังวิญญาณในร่างมามาก ตอนนี้การทดลองวิจัยนั้นได้เรียกร้องให้นางทำการทดสอบพลังวิญญาณภายในร่าง พูดได้ว่ามันเป็นงานที่ง่ายสำหรับนางอย่างไม่น่าเชื่อ
ตอนที่ 676 หลบหนีจากผาสุดขอบฟ้า (1)
“น้องเสียจะอยู่ที่ไหนได้” ภายในหมอกที่มืดมิด แสงไฟส่องสว่างเป็นวงกลมเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เฉียวฉู่ถือไม้ยาวเอาไว้ในมือขณะที่พยายามเดินไปบนตะไคร่ที่เปียกแฉะ
ผีเสื้อกลืนศพกระพือปีกทำให้เกิดแสงระยิบระยับ มันบินออกจากความมืดเข้ามาที่แสงไฟและร่อนลงบนนิ้วของหรงรั่ว
“ไม่พบอะไรเลย” หรงรั่วรายงานพร้อมขมวดคิ้ว ตั้งแต่วันที่พวกเขาถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นโจมตี พวกเขาก็ต้องแยกจากกันเพราะพายุหมุนได้เหวี่ยงทุกคนไปคนละทิศละทาง เมื่อหรงรั่วฟื้นขึ้น นางปล่อยผีเสื้อกลืนศพตัวเล็กของนางให้ออกไปค้นหาร่องรอยของสหายในหมอกอันมืดมิดทันที
ตั้งแต่วันนั้นมันก็เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว หรงรั่วติดตามผีเสื้อกลืนศพของนางไปจนได้รวมตัวกับเฉียวฉู่และคนอื่นๆ อีกครั้งในที่สุด แม้แต่เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยก็ถูกพบด้วยการนำของผีเสื้อกลืนศพ แต่พวกเขายังไม่สามารถหาตำแหน่งของจวินอู๋เสียได้ ดูเหมือนนางจะหายลับไปในหมอก และไม่ว่านางจะส่งผีเสื้อกลืนศพออกไปมากเท่าไร พวกเขาก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ ของจวินอู๋เสียเลย
การมีบ่อน้ำอยู่รอบๆ เต็มไปหมดทำให้พวกเขาคืบหน้าไปได้ช้ามาก และความวิตกกังวลที่กัดกินอยู่ในหัวใจทำให้ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
ก่อนที่พวกเขาจะกระจัดกระจายกันไป พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าจวินอู๋เสียตกอยู่ภายใต้การโจมตีของสัตว์ประหลาดตัวนั้น โชคดีที่ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเข้ามาขวางในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดได้ทัน แต่ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่าจวินอู๋เสียจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่
หัวใจของพวกเขาหนักอึ้ง ทุกคนพยายามจะไม่คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ไม่ว่าโอกาสจะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม ไม่มีสักคนที่จะล้มเลิกการค้นหาจวินอู๋เสีย พวกเขาไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่อ ว่าปีศาจตัวน้อยที่มีความตั้งใจแรงกล้าอย่างไม่น่าเชื่อของพวกเขาจะเสียชีวิตในที่แห่งนี้
“น้องเสียของเราแข็งแกร่งมากนะ นางสามารถป้องกันตัวเองได้แน่” ฟ่านจัวไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดเพื่อให้สหายของเขาวางใจหรือเพื่อปลอบโยนตัวเอง
จวินอู๋เสียมีเจ้าสัตว์ร้ายสีดำกับใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะสองผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งอยู่เคียงข้างนางเสมอ และน่าจะเป็นคนที่ปลอดภัยที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ในวันแห่งความเป็นความตายนั้น ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะถูกเปลวไฟคลอกทั้งตัวเพื่อช่วยชีวิตจวินอู๋เสีย แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถแน่ใจถึงอาการบาดเจ็บของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะว่ามากเพียงใด แต่ภาพร่างที่กลายเป็นสีดำได้ประทับลงในใจของพวกเขา
พวกเขารู้แก่ใจดีว่า ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะไม่สามารถปกป้องจวินอู๋เสียได้ในตอนนี้
ทุกคนไม่เต็มใจที่จะละทิ้งความหวัง พวกเขาค้นหาร่องรอยของจวินอู๋เสียอย่างไม่ลดละ ทุกคนตัดสินใจแล้วว่าถ้าพวกเขายังหานางไม่พบ พวกเขาก็จะไม่ก้าวออกจากผาสุดขอบฟ้าแม้แต่ก้าวเดียว
ยิ่งกว่านั้นเยี่ยเม่ยกับเยี่ยซายิ่งร้อนใจมากกว่าคนอื่นๆ ถ้าจวินอู๋เสียเสียชีวิตที่ผาสุดขอบฟ้าแห่งนี้ พวกเขาไม่กล้าคิดเลยว่านายท่านของพวกเขาจะระเบิดโทสะออกมามากเพียงใด!
“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้ว” ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็กัดฟันพูดขึ้นมา กับดักรอบสุสานที่ดินแดนเทพมารออกแบบและสร้างขึ้นมานั้น ซับซ้อนและร้ายกาจมากกว่าที่พวกเขาคิด เขากับเยี่ยซาพยายามฝ่าหมอกพวกนี้ออกไปแต่ผลที่ออกมาก็เลวร้ายมาก
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด พวกเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงและยังไม่หายดี ทำให้พวกเขาอ่อนแอเกินกว่าจะเอาชนะวิกฤตเฉพาะหน้านี้ได้
“เจ้าอยากไปหานายท่านอย่างนั้นหรือ” เยี่ยซามองเยี่ยเม่ย เดาเจตนาของสหายจากสีหน้าได้อย่างแม่นยำ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า
“มีแต่นายท่านเท่านั้นแหละที่สามารถผ่านไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้นได้”
เยี่ยซาขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดอย่างจริงจัง ในที่สุดเขาก็ส่งอสรพิษทมิฬตัวเล็กไปให้เยี่ยเม่ย
“ถ้ามันตาย ก็หมายความว่าพวกเราพบคุณหนูใหญ่แล้ว”
เยี่ยเม่ยรับอสรพิษทมิฬมาแล้วพยักหน้า หลังจากบอกลาเฉียวฉู่และคนอื่นๆ เขาก็หายตัวไปในหมอกทันที
ถึงแม้พวกเขาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างยากลำบาก แต่การไปจากผาสุดขอบฟ้านั้นเป็นงานที่ง่ายกว่า
รอบตัวมีอันตรายนับไม่ถ้วนอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำให้จวินอู๋เย่าเข้าใจสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นความผิดที่เสียจวินอู๋เสียไป จะเป็นความรับผิดชอบที่ไม่มีใครในโลกสามารถแบกรับได้!