ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 683 เดินทางกลับ (1) ตอนที่ 684 เดินทางกลับ (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 683 เดินทางกลับ (1) ตอนที่ 684 เดินทางกลับ (2)
ตอนที่ 683 เดินทางกลับ (1) / ตอนที่ 684 เดินทางกลับ (2)
ตอนที่ 683 เดินทางกลับ (1)
ในตอนนั้นจวินอู๋เสียไม่ได้รู้สึกหมดกำลังใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย นางแค่อยากจะเห็นท้องฟ้าใสกระจ่างเบื้องบน และสัมผัสกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่ส่องลงบนตัวนางเท่านั้น
จนกระทั่งแสงอาทิตย์ทำนางแสบตานั่นแหละ จวินอู๋เสียจึงหันหน้าหนีและก้มลงมองแหวนเงินที่นางสวมอยู่บนนิ้ว
แหวนเงินสะท้อนแสงเป็นประกายแวววาวภายใต้แสงแดดอันแผดจ้า
พวกเขาขึ้นรถม้ากันอีกครั้ง และรู้สึกราวกับว่าไม่ได้นั่งมันมาเป็นชาติแล้ว
วันแรกบนรถม้า ทุกคนต่างทิ้งตัวพิงรถม้าหลับสนิท เมื่อไม่มีความรู้สึกถูกรบกวนจากอันตรายและไม่ปลอดภัย พวกเขาจึงสามารถหลับได้อย่างสงบในที่สุด
การเขย่าอย่างต่อเนื่องและกระทั่งการกระแทกของรถม้าขณะที่แล่นไปบนพื้นขรุขระ ไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของทุกคนเลย พวกเขายังคงหลับฝันหวานอย่างมีความสุข
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จวินอู๋เสียไม่หยุดความพยายามในการกระตุ้นพลังวิญญาณให้ถึงขั้นสีม่วง และเมื่อมีเฉียวฉู่กับคนอื่นๆ คอยแนะนำอยู่ข้างๆ นางก็สามารถเข้าใจจุดที่สำคัญที่สุดของความสามารถใหม่ของนางได้อย่างรวดเร็ว
แต่ถึงแม้จวินอู๋เสียจะสามารถยกระดับพลังวิญญาณของนางให้ได้รับพลังขั้นสีม่วงได้ชั่วคราว ระยะเวลาที่นางสามารถคงสภาพเอาไว้ได้นั้นก็สั้นมาก
การยกระดับพลังวิญญาณของนางให้ถึงขั้นสีม่วง จำเป็นต้องเผาผลาญพลังวิญญาณทั้งหมดในตัวนางด้วยความเร็วสูงสุด กระตุ้นพลังวิญญาณที่กำลังเดือดให้ทะลวงข้อจำกัดของระดับขั้นที่แตกต่างในทันที แต่ผลของการใช้พลังไปจนหมด ทำให้นางคงสภาพนั้นเอาไว้ได้ไม่นาน
ระยะเวลาที่คนสามารถกระตุ้นพลังวิญญาณของพวกเขาให้ขึ้นถึงขั้นสีม่วงชั่วคราวนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณพลังวิญญาณดั้งเดิมของคนผู้นั้น ถ้าเขาเป็นเพียงผู้มีพลังวิญญาณสีแดง ต่อให้เขาเพิ่มพลังขึ้นมาก็จะคงอยู่ได้แค่หนึ่งนาทีเป็นอย่างมาก แต่ถ้าผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามกระตุ้นพลังของเขาขึ้นเป็นขั้นสีม่วงแล้วละก็ มันก็จะง่ายขึ้นมากและจะสามารถคงอยู่ในสภาพนั้นได้นานกว่ามากเช่นกัน
อย่างในกรณีของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ พวกเขามีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีน้ำเงิน จึงสามารถคงสภาพพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้ประมาณสี่สิบนาที ส่วนจวินอู๋เสียตอนนี้อยู่แค่ขั้นสีเหลือง นางจึงสามารถคงสภาพไว้ได้แค่สิบนาทีเท่านั้น
สิบนาที ดูจะเป็นเวลาที่สั้นอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ถ้าใช้อย่างเหมาะสมในเวลาที่คับขันที่สุด มันก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี!
พูดได้ว่าตราบเท่าที่จวินอู๋เสียไม่ได้เจอกับศัตรูจากสามโลกชั้นกลาง นางก็มีโอกาสดีในการเอาชนะ ต่อให้ศัตรูผู้นั้นจะเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีครามก็ตาม!
ตลอดการเดินทางกลับ ทุกคนหงอยลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตอนขามา เฟยเยียนเอาแต่วาดแผนที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้า ถึงแม้เขาจะไม่มีภาพเต็มของสถานที่นั้นทั้งหมด แต่เขาก็ยังสามารถวาดและขีดเส้นสถานที่ที่พวกเขาเดินทางผ่านจากความทรงจำได้
หรงรั่วประมือกับจวินอู๋เสียอยู่เสมอ ช่วยขจัดข้อสงสัยใดๆ ที่จวินอู๋เสียอาจจะมีต่อความสามารถในการกระตุ้นพลังวิญญาณ ขณะที่ฟ่านจัวไม่ปล่อยมือจากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเลยสักครั้ง
หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างหนัก ถ้าจวินอู๋เสียไม่ได้ใช้โอสถทุกชนิดที่นางมีอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อรักษาชีวิตมันเอาไว้ ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะอาจจะไม่รอดมาจนถึงวันนี้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น สภาพของมันในตอนนี้ก็ยังคงไม่น่ามอง ความอ่อนแออย่างถึงที่สุดทำให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาได้จนถึงวันนี้ และยังไม่สามารถแม้แต่จะยืนตรงได้ เนื้อที่ถูกไฟเผาไหม้แข็งเล็กน้อย และถ้ามีการเคลื่อนไหวอย่างไม่ระวังหรือขยับมากขึ้นเล็กน้อย ก็จะทำให้ผิวหนังแยกออกได้ จวินอู๋เสียทายาที่เตรียมไว้ให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเป็นพิเศษอย่างอดทนทุกๆ ครั้ง แต่การรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น จำเป็นต้องรอจนกว่าพวกเขาจะกลับไปที่ลานป่าไผ่ และใช้สมุนไพรที่นั่นปรุงยารักษาชนิดอื่นขึ้นมา
เนื่องจากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะยังไม่สามารถยืนขึ้นได้ จวินอู๋เสียจึงต้องอุ้มมันออกจากรถม้าทุกวันเพื่อให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะได้กินหญ้าบนพื้นดิน
ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะที่ตะกละอยู่เสมอนั้น ยังไม่สดชื่นขึ้นเลยแม้ว่าจะได้กินหญ้าสีเขียวสด ทั่วทั้งร่างของมันไหม้เกรียมอย่างหนัก แม้แต่การอ้าปากเคี้ยวหญ้าก็เป็นความทรมานอย่างมากสำหรับมัน แค่อ้าปากกว้างขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้ปากของมันฉีกออก ความเจ็บทำให้การกินกลายเป็นงานที่เจ็บปวดทรมานมาก
จวินอู๋เสียสังเกตเห็นทุกอย่าง หัวใจของนางเจ็บปวดที่เห็นใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะอยู่ในสภาพเช่นนั้น ในที่สุดบัวหิมะมัวเมาก็ผลิตใบบัวสดใหม่ออกมาได้ เขาฉีกพวกมันออกเป็นคำเล็กๆ ก่อนจะป้อนใส่ปากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะอย่างช้าๆ
ตอนที่ 684 เดินทางกลับ (2)
ด้วยวิธีนั้นทำให้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะไม่ต้องอ้าปากกว้างจนทำให้ผิวหนังฉีกอีก และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใบบัวที่บัวหิมะมัวเมาเอามาให้นั้น ได้มาจากเจ้าดอกบัวขาวน้อยที่มีคุณสมบัติในการรักษาที่ดีเยี่ยม พวกมันมีรสชาติดีกว่าหญ้าสีเขียวชนิดที่เทียบกันไม่ติด
เมื่อไม่ต้องทรมานเวลากิน ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะก็ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แม้ว่ามันจะยังไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองก็ตาม หลังกินเสร็จทุกมื้อ มันจะพยายามที่จะยกหัวที่ ‘ไร้ขน’ และยังไหม้เกรียมเป็นสีดำของมันขึ้น และซุกตัวเข้ากับร่างของจวินอู๋เสียเหมือนที่มันเคยทำมาตลอด
แต่สิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กน่ารักขนปุยนุ่มนิ่มน่ากอดนั้น ตอนนี้กลับน่าเกลียดน่ากลัว สยดสยองจนไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่จวินอู๋เสียเห็นร่างเล็กจ้อยนั้นขดตัวงอจากความเจ็บปวดและหวาดกลัว ซึ่งใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะจะซุกตัวเบียดนางมากขึ้น หัวใจของนางก็เจ็บแปลบจากภาพที่เห็นอยู่เสมอ
ตอนแรกที่เจ้าแกะน้อยยังอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมัน ในตอนที่นางได้พบกับมันเป็นครั้งแรก ความเจ็บจากบาดแผลเล็กๆ ที่พวกเขาทำกับร่างสัตว์วิญญาณขนาดตัวมหึมาของมัน ยังทำให้มันวิ่งหนีไปได้ แต่ในตอนที่วิกฤตที่สุดที่ด้านล่างผาสุดขอบฟ้า ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะได้กระแทกจวินอู๋เสียให้ออกไปพ้นทางและเอาตัวเองมาขวางทางบอลเพลิงสีเขียวที่น่ากลัวอย่างไม่เห็นแก่ตัว ความเจ็บปวดที่มันต้องเจอไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่พวกเขาเคยทำกับมัน
ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะพยายามดิ้นรนที่จะอ้อนต่อไปในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มันทำมาตลอด ดูเหมือนมันจะคิดว่านั่นจะทำให้ ‘ใต้เท้าเจ้านาย’ ของมันโปรดปรานมันได้
เมื่อเห็นใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะหรี่ตาอย่างเจ็บปวดขณะที่มองจวินอู๋เสียด้วยความปรารถนา จวินอู๋เสียก็รู้สึกได้ว่ากระบอกตาของนางเริ่มร้อนผ่าว นางรวบรวมพลังวิญญาณให้มาห่อหุ้มรอบตัวใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเพื่อป้องกันสัมผัสของนางไม่ให้ทำให้มันเจ็บปวดทรมานโดยไม่จำเป็น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ แค่พักผ่อนให้มาก จะได้หายเร็วๆ” จวินอู๋เสียไม่กล้ากอดใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะให้แนบชิดกับตัวนาง ด้วยกลัวว่าจะทำให้มันเจ็บ นางทำได้แค่มองเข้าไปในตาคู่นั้นที่ปิดลงครึ่งหนึ่งอย่างเจ็บปวดและกระซิบกับมันอย่างนุ่มนวล
“แบ๊ะ…” ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะดูจะไม่เข้าใจว่าทำไมจวินอู๋เสียถึงไม่อยากให้มันแสดงความรักอีกต่อไปแล้ว
เมื่อก่อน ‘ใต้เท้าเจ้านาย’ ของมันชอบมันมากเลยไม่ใช่หรือ
มันอาจจะเหนื่อยเกินไป หรืออาจจะเจ็บมากเกินไป หลังจากใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรงออกมาครั้งหนึ่ง มันก็หลับสนิทไปอีกครั้ง ร่างเล็กๆ ของมันอยากจะขดตัวให้แน่นๆ แต่ผิวหนังที่ไหม้ไฟขนาดหนักนั้นไม่มีความยืดหยุ่นเลย การยืดหรือเหยียดผิวจะทำให้ผิวฉีกและเจ็บปวดมาก ดังนั้นใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะจึงทำได้แค่นอนตัวแข็งอยู่ในอ้อมแขนของจวินอู๋เสีย
“ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าเจ้าแกะโง่อีกต่อไปแล้ว เจ้าต้องหายเร็วๆ นะ” แมวดำตัวน้อยปีนขึ้นไปนอนบนตักของจวินอู๋เสีย มันค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะที่หลับอยู่ แต่ระวังไม่ให้ไปโดนตัวมัน เจ้าแมวดำคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เจ้าแกะน้อยโดยเว้นระยะห่างเล็กน้อย
ตั้งแต่ตอนที่ใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องจวินอู๋เสีย เจ้าแมวดำตัวน้อยก็ยอมรับสหายตัวน้อยเป็นพวกพ้องและคู่หูของมันอย่างสนิทใจ
คืนวันผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากการเดินทางอันยากลำบาก ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เห็นเงาของตำบลชานหลินปรากฏขึ้น
เมื่อมาถึงตำบลชานหลิน จวินอู๋เสียก็ตรงไปที่โรงเตี๊ยมและเช่าห้องพักทันที จากนั้นนางก็วางใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะลงบนเตียงนุ่มๆ แล้วสั่งให้เจ้าแมวดำตัวน้อยดูแลใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะให้ดี จากนั้นนางก็ตรงไปที่โรงประมูลชานหลิน เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่าทั่วตำบลชานหลิน ที่นั่นมีสมุนไพรล้ำค่าที่หายากอยู่มากที่สุด
ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่สำนักศึกษาเฟิงหัว นางต้องทำให้อาการบาดเจ็บของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะทรงตัวได้ก่อนเป็นอันดับแรก
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ต่างเหนื่อยล้า แต่เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนการคัดเลือกศิษย์จากตึกรองให้เลื่อนขึ้นไปศึกษาต่อในตึกหลักจะเริ่มต้นขึ้น พวกเขาตั้งใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะยึดเอาแผนที่จากหนิงรุ่ยให้ได้ จึงต้องกลับไปในทันที แต่พวกเขาเสียเวลาอยู่ที่ผาสุดขอบฟ้าไปนานกว่าที่คิดเอาไว้ การคัดเลือกจะเริ่มทันทีที่พวกเขากลับไปที่สำนักศึกษาเฟิงหัว นอกจากนี้จวินอู๋เสียจำเป็นต้องรักษาอาการบาดเจ็บของใต้เท้าแบ๊ะแบ๊ะก่อน และพวกเขาไม่มีความจำเป็นต่อเรื่องเร่งด่วนนี้
หลังจากกล่าวลาจวินอู๋เสียกับฟ่านจัวอย่างเร่งด่วนแล้ว เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ก็ออกเดินทางกลับไปที่ตึกรองในทันทีเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกที่จะมาถึง