ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 703 เตรียมตอบโต้ (2) ตอนที่ 704 เตรียมตอบโต้ (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 703 เตรียมตอบโต้ (2) ตอนที่ 704 เตรียมตอบโต้ (3)
ตอนที่ 703 เตรียมตอบโต้ (2) / ตอนที่ 704 เตรียมตอบโต้ (3)
ตอนที่ 703 เตรียมตอบโต้ (2)
กลิ่นเลือดสดๆ บอกให้จวินอู๋เสียรู้ว่าระหว่างทางในตอนที่กู่อิ่งไปที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณนั้น เขาได้ก่อพายุโลหิตขึ้นในสำนักศึกษาเฟิงหัวอีกครั้ง
“สิ่งที่ศิษย์พี่สอนข้า แม้แต่กู้หลีเซิงก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมดดีนัก” กู่อิ่งพูดพร้อมหัวเราะ เขามองตรงมาที่จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียไม่พูดอะไรสักคำ นางแค่สาธิตการแปลงพลังวิญญาณอีกครั้ง
ก็เหมือนหลี่จื่อมู่ในอดีตที่แม้จะมีกู้หลีเซิงคอยให้คำแนะนำเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าไม่มีพรสวรรค์แล้วละก็ ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้ ต่อให้พวกเขารู้ทุกอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณก็ตาม
กู่อิ่งก็เช่นเดียวกัน จวินอู๋เสียจึงไม่ได้กังวลมากนัก
จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น กู่อิ่งถึงได้สังเกตเห็นว่าอาจิ้งหายตัวไป แต่เขาก็เพียงแค่หัวเราะไม่หยุด บ่นเล็กน้อย แล้วก็ไม่พูดถึงอีก
แต่…
เมื่อไม่มีอาจิ้งก็ไม่มีใครในลานป่าไผ่ที่รู้วิธีทำอาหาร
กู่อิ่ง ‘เชิญ’ จวินอู๋เสียไป ‘ร่วมทานอาหาร’ กับเขา และเมื่อพวกเขาไปถึง ดวงตาของจวินอู๋เสียก็ทอแสงเย็นเยียบ
กู่อิ่งพาจวินอู๋เสียมาที่ลานเรือนพักของอาจารย์ใหญ่ เมื่อก่อนมันเคยเป็นที่พักของฟ่านฉี แต่ตอนนี้ทุกอย่างที่นี่ได้กลายเป็นของหนิงรุ่ยแล้ว
เมื่อเห็นหนิงรุ่ยอีกครั้ง ใบหน้าจวินอู๋เสียก็เฉยเมยไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ขณะที่หนิงรุ่ยยังคงดูเป็นผู้คนแก่เรียนที่สง่างาม สุภาพอ่อนโยน และเข้าถึงได้ง่าย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น
หนิงรุ่ยมองจวินอู๋เสียพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า แต่ในใจของเขานั้น เขาไม่สามารถทำให้ตัวเองรู้สึกยินดีใดๆ ได้ จวินอู๋เสียเป็นสหายกับสองพี่น้องสกุลฟ่าน และจวินอู๋เสียก็ยังมีส่วนในการตายของหนิงซิน แต่เพื่อกระตุ้นความสนใจของกู่อิ่งและคนอื่นๆ หนิงรุ่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่อพวกเขาด้วยเรื่องที่จวินอู๋เสียรู้ทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณ แต่เขารู้ว่านั่นย่อมหมายถึงเขาจะไม่สามารถทำร้ายจวินอู๋เสียได้แม้แต่ปลายเส้นผม
พอคิดย้อนกลับไปถึงสภาพที่น่าเวทนาและน่าสงสารของหนิงซินในตอนที่ตาย รอยยิ้มเป็นมิตรที่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อปั้นแต่งขึ้นมาก็หลุดออกเล็กน้อย ขณะที่อาหารเย็นกำลังจะเริ่ม จู่ๆ หนิงรุ่ยก็วางตะเกียบลงและพูดกับจวินอู๋เสียว่า “นี่มันก็ผ่านมาพักใหญ่แล้วตั้งแต่ที่เจ้าไปจากสำนักศึกษาเฟิงหัว แม้แต่ตอนที่เจ้าเรียนอยู่ที่นี่ เจ้าก็แทบไม่ปรากฏตัวเลย ข้าเองก็ไม่ได้เจอเจ้ามากนัก ตอนนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่ยังไม่ยอมพูดจา เจ้ารู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจตรงไหนหรือไม่ เจ้าไม่คุ้นเคยกับข้าและกู่อิ่งนี่นา ข้าว่าเจ้าคงกินข้าวไม่ค่อยลง อย่างนั้นทำไมเราไม่ทำแบบนี้กันเล่า”
สายตาของหนิงรุ่ยทอประกายชั่วร้าย เขาหันไปพูดกับกงเฉิงเหล่ยว่า “ไป ‘เชิญ’ ฟ่านจิ่นมากินข้าวด้วยกันสิ”
ดวงตาของจวินอู๋เสียสงบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ แสดงออกมาแม้แต่น้อย นางไม่มองไปทางหนิงรุ่ยเลยด้วยซ้ำ
กงเฉิงเหล่ยตกตะลึง แต่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็รับคำและจากไป
กู่อิ่งหมุนตะเกียบในมือและมองดูจวินอู๋เสียพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับฟ่านจิ่นอย่างนั้นหรือ”
กู่อิ่งพอจะเดาเจตนาของหนิงรุ่ยได้ แต่ก็ไม่คิดจะห้าม เขาสนใจที่จะดูมากกว่าว่าเจ้าเด็กเย็นชาไร้อารมณ์แบบนี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นสภาพของฟ่านจิ่น
หน้ากากไร้อารมณ์นั่นจะแตกออกหรือไม่นะ
จวินอู๋เสียคีบอาหารในจานอย่างช้าๆ ไม่ได้แสดงท่าทีรู้สึกรู้สาใดๆ กับคำพูดของกู่อิ่งแม้แต่น้อย
แต่หนิงรุ่ยนั้นตรงกันข้าม เขายิ้มกว้างพร้อมกับเล่าว่า “ตอนที่จวินเสียเข้าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเฟิงหัว ฟ่านจิ่นเป็นศิษย์พี่ผู้ชี้แนะของเขา ตอนแรกในสำนักศึกษาเฟิงหัวมีข่าวลือเรื่องจวินเสียมากมายนัก เป็นข่าวลือที่เลวร้ายมากๆ ด้วย แต่ฟ่านจิ่นก็ยังปกป้องเขา นี่ถึงขั้นพาเขาไปอยู่ที่เรือนพักในลานป่าไผ่ด้วยซ้ำ การอยู่ที่นั่นทำให้จวินเสียมีวันที่สงบสุขได้”
ขณะที่พูด ดวงตาของหนิงรุ่ยก็ทอแววมุ่งร้ายอย่างชัดเจน
จากที่กู่อิ่งพูดเมื่อสักครู่ ทำให้หนิงรุ่ยรู้ว่ากู่อิ่งไม่ได้สนใจที่เขาเป็นปฏิปักษ์กับจวินอู๋เสีย ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องอดกลั้นเอาไว้อีกต่อไป
ตอนที่ 704 เตรียมตอบโต้ (3)
ครู่ต่อมา จวินอู๋เสียก็กินข้าวเสร็จ นางวางตะเกียบลงและนั่งอยู่กับที่เงียบๆ ทันใดนั้นร่างที่นางคุ้นเคยก็ถูกกงเฉิงเหล่ยลากผ่านประตูเข้ามา
เมื่อจวินอู๋เสียมองไปที่คนผู้นั้น หัวใจของนางก็หวั่นไหวเล็กน้อย แต่ความผิดปกตินั้นไม่ได้แสดงออกมาภายนอกให้คนอื่นเห็น ดวงตาของนางยังคงเย็นชาเช่นเดิม
ฟ่านจิ่นถูกกงเฉิงเหล่ยลากตัวมาจนถึงที่นี่!
ชายหนุ่มที่เคยหล่อเหลาอ่อนโยน บัดนี้หมดสภาพไปแล้ว ใบหน้าของเขาซูบตอบ ร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เสื้อผ้าเปื้อนโลหิต เปรอะสิ่งสกปรกเสียจนไม่เหลือสีดั้งเดิมของมันอีกต่อไป ใบหน้าที่มักจะหัวเราะอย่างร่าเริงอยู่เสมอ บัดนี้ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ดวงตาคู่ที่เคยเป็นประกายสดใส ตอนนี้เหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา
ริมฝีปากที่แห้งแตกของฟ่านจิ่นเผยอออกเล็กน้อย การขาดน้ำอย่างรุนแรงทำให้ริมฝีปากของเขาแห้งมากและมีแผลแตกหลายแห่ง โลหิตไหลออกจากมุมปากของเขาลงมาจนถึงคาง ร่างกายของเขาไม่มีเนื้อและมัดกล้ามอีกต่อไป ทำให้เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่หลวมโพรก ฟ่านจิ่นตอนนี้ผอมกว่าฟ่านจัวในตอนที่ป่วยอยู่เสียอีก! ผมของเขาพันกันยุ่งเหยิงเหมือนหญ้าแห้ง ดินและสิ่งสกปรกเปื้อนเต็มใบหน้าของเขา
มือและเท้าทั้งสองถูกล่ามโซ่เอาไว้ กงเฉิงเหล่ยถือโซ่นั้นและลากฟ่านจิ่นที่ไร้การตอบสนองตามเขามาตรงหน้าจวินอู๋เสีย!
ทุกย่างก้าวของเขาทำให้เกิดเสียงโซ่หนาๆ รอบข้อเท้ากระทบกับพื้นดังเข้าหูของทุกคน
ใครจะไปคิดเชื่อมโยงคนเสียสติที่ดูเหมือนขอทานสกปรกคนนี้ เข้ากับคุณชายใหญ่แห่งสกุลฟ่านที่เคยเป็นที่นับถือและชื่นชมทั่วทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัว
ถ้าไม่ใช่เพราะรูปหน้าโดดเด่นสะดุดตาของฟ่านจิ่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป จวินอู๋เสียก็คงไม่สามารถจำเขาได้เช่นกัน
นางรู้อยู่แล้วว่าฟ่านจิ่นจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เมื่อดูจากสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แต่นางก็ไม่คิดว่ามันจะแย่จนถึงขนาดนี้!
ขนาดนี่เพราะมีเวินซินหันคอยปกป้องเขาอยู่ ถ้าไม่มีเวินซินหัน ฟ่านจิ่นคงกลายเป็นศพไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
เนื่องจากการตายของหนิงซิน ทำให้หนิงรุ่ยเกลียดชังฟ่านจิ่นและสกุลจวินอย่างรุนแรง เขายังไม่คิดที่จะลงมือกับจวนหลินอ๋องในตอนนี้ และฟ่านฉีก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งความเกลียดชังและความมุ่งร้ายทั้งหมดลงที่ฟ่านจิ่นเพียงคนเดียว
ฟ่านจิ่นยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
แต่…การมีชีวิตอยู่เช่นนี้ทรมานยิ่งกว่าความตายเสียอีก
ในกรณีเช่นนี้ก็เป็นการดีแล้วที่ฟ่านจิ่นเสียสติไป ไม่เช่นนั้นเขาคงอยู่ไม่ถึงตอนนี้
จวินอู๋เสียประทับภาพของฟ่านจิ่นในตอนนี้เอาไว้ในใจ ดวงตาของนางสงบนิ่งเช่นเดิม แต่ในใจของนางวิเคราะห์สภาพที่ร่างกายของเขาเป็นอยู่และอาจจะเป็นได้
อาการขาดน้ำ อักเสบติดเชื้อ ไข้สูง…
การที่ฟ่านจิ่นยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ นับเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
“ฟ่านจิ่น มาแล้วหรือ นั่งลงสิ” หนิงรุ่ยสวมหน้ากากอันอ่อนโยนขณะที่ยิ้ม เขาทำท่าเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ใจดี
แต่ฟ่านจิ่นไม่ได้มีสติสัมปชัญญะอีกต่อไปแล้ว เขาไม่สามารถรับรู้สิ่งที่หนิงรุ่ยพูดได้ ใบหน้าของกงเฉิงเหล่ยนั้นตรงข้ามกับท่าทีและน้ำเสียงอัน ‘อ่อนโยน’ ของหนิงรุ่ย มันดูชั่วร้ายป่าเถื่อนขณะที่ลากฟ่านจิ่นเดินโซซัดโซเซมาที่โต๊ะอาหาร การกระทำอันหยาบกระด้างรุนแรงของเขาทำให้ฟ่านจิ่นสะดุดเท้าตัวเองและล้มลงกับพื้น!
การที่ต้องทนดูชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยสูงสง่าต้องล้มลงอย่างช่วยตัวเองไม่ได้เหมือนเด็กน้อยหัดเดินและไม่แม้แต่จะร้องออกมาสักครั้ง ทำให้จวินอู๋เสียรู้สึกเหมือนใจมันดิ่งวูบลงไป
ฟ่านจิ่นไม่ควรอยู่ในสภาพนี้
เขาไม่สมควรได้รับสิ่งนี้แม้แต่น้อย!
“อ้าว ล้มได้อย่างไรเล่านั่น ใครช่วยเขาทีสิ” หนิงรุ่ยพูดพร้อมกับหัวเราะชั่วร้าย
กงเฉิงเหล่ยจับไหล่ของฟ่านจิ่นทั้งสองข้างและโยนเขาขึ้นไปบนเก้าอี้ ตัวฟ่านจิ่นเต็มไปด้วยฝุ่นและดินจากพื้น สีหน้าของเขาว่างเปล่าขณะที่ดวงตาทั้งคู่ก็มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย