ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 721 ตบหน้าครั้งที่แปด (2) ตอนที่ 722 ตบหน้าครั้งที่แปด (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 721 ตบหน้าครั้งที่แปด (2) ตอนที่ 722 ตบหน้าครั้งที่แปด (3)
ตอนที่ 721 ตบหน้าครั้งที่แปด (2) / ตอนที่ 722 ตบหน้าครั้งที่แปด (3)
ตอนที่ 721 ตบหน้าครั้งที่แปด (2)
หนานกงซวี่ถามด้วยความโกรธว่า “อาจารย์ใหญ่รู้หรือไม่ว่าที่นั่นคือที่ไหน!”
หนิงรุ่ยเหลือบมองหนานกงซวี่ แล้วมองเลยผ่านหนานกงซวี่ไปทางด้านหลัง จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นก่อนจะถามว่า “แล้วมันคือที่ไหนเล่า”
“มันคือผาสุดขอบฟ้า! ที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายที่คาดไม่ถึงอย่างไรเล่า! ไม่ต้องพูดถึงเหล่าศิษย์ที่ยังโตไม่เต็มที่เลย แม้แต่ยอดฝีมือขั้นสีครามก็ยังไม่มีโอกาสรอดชีวิตจากที่นั่นได้! ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ใหญ่มีเหตุผลอะไรถึงได้เลือกสถานที่เช่นนั้นเป็นที่ฝึกฝน แต่นั่นเป็นที่ที่เราไปไม่ได้เด็ดขาด!” แผนที่เพิ่งส่งถึงมือหนานกงซวี่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขาได้รับแจ้งว่านั่นคือเส้นทางที่พวกเขาจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ เขาไม่ต้องการทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นมาจริงๆ แต่พอเขามองดูดีๆ แล้ว เขาก็ตระหนักถึงอันตรายที่รออยู่ที่นั่นจึงรีบวิ่งมาหาหนิงรุ่ยในทันที
“ผาสุดขอบฟ้า ท่านอาจารย์หนานกงล้อเล่นแล้ว ที่นั่นจะเป็นผาสุดขอบฟ้าไปได้อย่างไรกัน” หนิงรุ่ยพูดอย่างไม่แยแส ดวงตาของเขายังคงมองผ่านหนานกงซวี่ไป
หนานกงซวี่ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็น เขาพูดต่ออย่างขุ่นเคืองว่า “จะบอกความจริงให้ฟัง ข้าเคยไปที่นั่นมาครั้งหนึ่งตอนที่ยังหนุ่มกว่านี้ ไปพร้อมกับยอดฝีมือที่เก่งกาจมากกลุ่มหนึ่ง พวกเขาลงไปด้านล่างของหน้าผา ส่วนข้ายังอยู่ที่ยอดผากับสหายอีกสองสามคนเพื่อรอการกลับมาของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่กลับมา เรารอกันทั้งเดือนแต่ก็ไม่เห็นสัญญาณใดๆ จากพวกเขา! กระทั่งหลายปีผ่านไป ก็ยังไม่มีข่าวคราวว่ามีใครรอดชีวิตกลับมาเลยสักคน! ชื่อเสียงของผาสุดขอบฟ้าที่เป็นสถานที่อันตรายที่ไม่มีใครผ่านไปได้เป็นที่รู้กันทั่ว อาจารย์ใหญ่ต้องไม่ให้ศิษย์ของเราไปที่นั่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพินาศกันหมดแน่!”
ผาสุดขอบฟ้ากลายเป็นสถานที่แห่งฝันร้าย ในตอนนั้นเขาเป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง บิดากับลุงของเขาเป็นยอดฝีมือที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในยุคของพวกเขา พวกเขาได้ยินเรื่องของผาสุดขอบฟ้ามานาน และได้รู้ถึงที่ตั้งของผาสุดขอบฟ้าโดยบังเอิญ พวกเขาจึงเชิญยอดฝีมือคนอื่นที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันไปที่นั่นด้วยกัน หนานกงซวี่ได้ติดตามไปด้วย และไม่มียอดฝีมือในกลุ่มนั้นสักคนที่รอดชีวิตกลับมา หลังจากเวลาผ่านไปนาน หนานกงซวี่จึงแน่ใจว่าคนทั้งหมดที่ลงไปข้างล่างได้เสียชีวิตที่นั่นกันหมดแล้ว
เขาไม่รู้ว่าหนิงรุ่ยไปเอาความคิดบ้าๆ ที่จะส่งศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวไปฝึกยังผาสุดขอบฟ้ามาได้อย่างไร เขารู้แต่ว่าเขาจะต้องหยุดมันให้ได้!
หนิงรุ่ยแกล้งทำเป็นสับสนงุนงงขณะที่มองหนานกงซวี่ เขาลุกขึ้นและพูดว่า “ที่นั่นคือผาสุดขอบฟ้าจริงๆ น่ะหรือ”
หนานกงซวี่เห็นว่าในที่สุดหนิงรุ่ยก็มีปฏิกิริยา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและรีบพยักหน้า “ข้าแน่ใจที่สุด”
หนิงรุ่ยถามต่อไปว่า “ผู้อาวุโสได้พูดถึงเรื่องผาสุดขอบฟ้านี้กับใครบ้างหรือเปล่า”
ถึงแม้คำถามของหนิงรุ่ยจะเบี่ยงประเด็นไปบ้างเล็กน้อย แต่คนตรงไปตรงมาอย่างหนานกงซวี่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาแค่คิดว่าหนิงรุ่ยรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์แล้วและกำลังจะยกเลิกการเดินทางเพื่อฝึกฝน เมื่อคิดเช่นนั้น หนานกงซวี่จึงพูดว่า “พอข้ารู้จุดหมายของแผนที่นี้ ข้าก็รีบมาที่นี่ทันทีเลย ไม่มีเวลาไปบอกคนอื่นหรอก”
พอหนานกงซวี่พูดจบประโยค หนิงรุ่ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมาทันที
“ในเมื่อท่านไม่ได้ไปบอกใคร เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หนานกงซวี่เพิ่งจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็ตอนที่หนิงรุ่ยพูดออกมาเช่นนั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงรังสีฆ่าฟันรุนแรงจากด้านหลัง หนานกงซวี่อยากจะหันกลับไป แต่ก่อนที่จะทันได้ขยับ เขาก็เห็นแขนเรียวยาวข้างหนึ่งทะลวงผ่านหน้าอกของเขาจากด้านหลัง!
ดอกไม้สีแดงสดผลิบานอยู่บนหน้าอกของหนานกงซวี่ เขาจ้องมองไปที่หนิงรุ่ยที่ยังคงหัวเราะอยู่ด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ
“หนานกงซวี่ ทำไมเจ้าถึงสาระแนขนาดนี้” รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงรุ่ยบิดเบี้ยวผิดปกติ เขามองไปยังผู้ที่ลอบโจมตีหนานกงซวี่จากด้านหลัง
กู่อิ่งยิ้มมุมปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี เขาดึงแขนที่ทะลวงร่างของหนานกงซวี่ออกมา โลหิตอุ่นๆ ก็ไหลลงมาตามแขนของเขา หยดลงบนแอ่งโลหิตที่นองอยู่บนพื้น!
ตอนที่ 722 ตบหน้าครั้งที่แปด (3)
หนานกงซวี่ล้มลงกับพื้นทันที โลหิตทะลักไหลออกมาจากปากของเขา ดวงตาของเขามองไปที่กู่อิ่งที่กำลังยิ้มอย่างสดใสมาให้เขา
“คนที่รู้มากเกินไปมักจะตายไวนะ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ท่านอาจารย์หนานกง” กู่อิ่งถามพร้อมกับยิ้มให้หนานกงซวี่ เฝ้ามองเขาหายใจเป็นเฮือกสุดท้าย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองแขนที่เปื้อนเลือดของเขา มุมปากของเขายกสูงขึ้น จากนั้นก็หันมาทางหนิงรุ่ย
“ข้าไม่คิดว่าจะมีใครในสำนักศึกษาเฟิงหัวจดจำเส้นทางไปยังผาสุดขอบฟ้าได้ ดูเหมือนว่าเราจะชักช้าต่อไปไม่ได้แล้ว”
หนิงรุ่ยพยักหน้า เรื่องที่หนานกงซวี่รู้จักผาสุดขอบฟ้าทำให้หนิงรุ่ยตกใจมาก และเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้อีก หนิงรุ่ยจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบว่า “ข้าจะประกาศเดี๋ยวนี้แหละว่าให้ศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวทุกคนออกเดินทางกันทันที”
กู่อิ่งพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบ
“พวกเขาน่าจะมาถึงเร็วๆ นี้ น่าจะถึงที่นี่ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทาง”
การใช้ศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัว เป็นเพียงหนึ่งในวิธีที่พวกเขาใช้สำรวจพื้นที่ด้านล่างของผาสุดขอบฟ้า กู่อิ่งรู้แก่ใจดีว่าแค่ศิษย์ที่ยังไม่โตกลุ่มหนึ่ง ย่อมไม่พอที่จะทำความเข้าใจภูมิประเทศด้านล่างได้ เขาจึงให้มีคนจากฝ่ายเขาไปเพิ่มด้วย แต่หน้าที่สำรวจเส้นทางในตอนแรกย่อมเป็นของศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวทั้งหมด
เจตนาของกู่อิ่งในการเดินทางสำรวจครั้งนี้ก็คือ ใช้ชีวิตของศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวมาเป็นเครื่องมือค้นหาหนทางที่จะผ่านผาสุดขอบฟ้าไปได้!
หนิงรุ่ยพยักหน้าและเรียกกงเฉิงเหล่ยที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกให้ไปถ่ายทอดข้อความในทันที ดวงตาของหนานกงซวี่ยังคงลืมค้างไว้ด้วยความรู้สึกตกใจจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะถูกฆ่าด้วยน้ำมือของศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่ม
เวลาออกเดินทางถูกเลื่อนเข้ามากะทันหัน ศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวหลายคนเริ่มบ่นกันอย่างเงียบๆ ด้วยวิธีการปกครองของหนิงรุ่ย ทำให้ไม่มีใครกล้าโวยวายแสดงความไม่พอใจ ในเวลาเกือบสี่ชั่วโมงศิษย์ทุกคนก็เก็บข้าวของและไปรวมตัวกันที่ลานหน้าประตูสำนักศึกษาเฟิงหัว พวกเขามองไปยังแถวรถม้าที่เรียงรายกันอยู่ และรู้สึกว่าการเดินทางฝึกฝนอันทรหดของพวกเขากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
หนิงรุ่ยจัดการให้คนของเขารออยู่ที่ประตูใหญ่แล้ว พวกเขากำลังรอให้อาจารย์จากแต่ละฝ่ายนับแถวให้เสร็จ จะได้ออกเดินทางกันทันที
แต่ในขณะที่พวกอาจารย์กำลังรายงานจำนวนคนแก่หนิงรุ่ย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นจากระยะไกล
มันเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน พวกลูกศิษย์ต่างยกมือขึ้นป้องตาขณะที่มองไปทางแสงสีส้มอันอบอุ่นที่สาดส่องลงมา รถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาภายใต้ท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง ทุกคนเฝ้ามองมันวิ่งมาหยุดลงที่หน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัว
รถม้าคันนั้นเป็นรถม้าที่ธรรมดามาก คนขับร่างสูงกำยำไม่ใช่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับทุกคน พวกศิษย์ที่รวมตัวกันหน้าประตูสำนักศึกษา อดไม่ได้ที่จะชะเง้อคอมองดูอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีรถม้าโผล่มาที่หน้าประตูของพวกเขาในเวลาเช่นนี้
รถม้านั้นดูไม่เหมือนของสำนักศึกษาเฟิงหัวเลย ตัวรถมีขนาดใหญ่กว่าของสำนักศึกษาเฟิงหัว และไม่มีตราของสำนักศึกษาติดอยู่ที่ประตูด้วย
หนิงรุ่ยหันหน้ากลับมามอง พวกเขากำลังจะออกเดินทางไปที่ผาสุดขอบฟ้า เขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นตอนนี้
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่รถม้ากันเป็นตาเดียว ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งก้าวออกมาจากรถม้าช้าๆ เมื่อทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ศิษย์ทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัวก็พากันอ้าปากค้างอย่างตกใจโดยพร้อมเพรียงกัน!
ผู้ที่ก้าวออกจากรถม้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือคนที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ ฟ่านจัวนั่นเอง!