ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 121
ทุกคนได้ฟังจบก็แตกตื่น มีผู้ลี้ภัยบางส่วนถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้นปาดน้ำตา
รู้สึกไม่พอใจ น้อยเนื้อต่ำใจ
บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ทหารกองหนุน เมื่อก่อนพวกเขาเป็นเพียงชาวไร่ชาวนา เป็นอาชีพที่มีฐานะ ตอนนี้กลับให้พวกเขาไปเป็นคนชั้นล่างสุด หรือแม้แต่ชั้นล่างสุดก็เป็นไม่ได้ ที่ไหนต้องการตัวก็ต้องไปอยู่ที่นั่น เอาชีวิตของพวกเขาไปสร้างเมือง สร้างแหล่งน้ำ
อย่าว่าแต่พวกลี้ภัยที่กังวลใจกัน แม้แต่ซ่งฝูเซิงก็มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เขาหันมามองป้ายประกาศอีกครั้ง
คิดในใจ
แบบแรก เป็นกรรมกรใช้แรงงาน ในสังคมยุคสมัยใหม่ของพวกเขาก็ไม่ต่างกับการอยู่ในคุก
เมื่อถึงเวลาก็ตื่นนอน ถึงเวลาให้กินอาหาร เสร็จแล้วก็ใช้แรงงาน ทำงานทุกวัน เงินที่หามาได้ก็ไม่ใช่ของตนเอง เหมือนทำงานฟรี
บนหน้าก็สักตัวอักษรไว้ เจ้าจะหนีไปไหนไม่พ้น เสมือนเป็นคำสั่งนำจับที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย
อยู่ข้างนอก ขอเพียงมีคนเห็นใบหน้าของเจ้าที่มีตัวอักษร ไม่ต้องตรวจสอบ ไม่ต้องถามก็สามารถจับกุมตัวได้ทันที
แบบที่สอง ดูที่เขียนไว้ข้างบน ทหารกองหนุน ห้ามออกจากพื้นที่เกินหนึ่งลี้ เข้าออกตามเวลา จะทำงานหรือพักผ่อนก็ต้องรายงานให้รู้
หมายถึงอะไร ให้ทุกคนต่างตรวจสอบกัน ดีที่สุดคือทำกิจกรรมแถวหน้าบ้าน ห้ามเดินพลุกพล่าน อย่ามัวแต่คิดจะออกไปข้างนอกเพื่อทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้หวังว่าจะได้ไปเยี่ยมเยือนบ้านคนอื่นที่อยู่ต่างถิ่นได้
การเป็นทหารกองหนุนก็ไม่ได้ดีไปกว่าการเป็นกรรมกรใช้แรงงาน เทียบเท่ากับการควบคุมและเฝ้าระวังที่อยู่อาศัยในสังคมยุคใหม่
ไปไหนก็ต้องรายงาน ต้องทำไร่ไถนาให้คนอื่น เพาะปลูกเสร็จแล้วส่วนหนึ่งก็ต้องส่งให้ทางการ เมื่อยามสงคราม ชายฉกรรจ์ที่อยู่ในบ้านก็ต้องออกไปรบ
สิ่งสำคัญสุดคือ เมื่อคนรุ่นที่หนึ่งเป็นทหารกองหนุนแล้ว หากไม่มีผลงานในการรบก็จะไม่ได้เป็นนายกอง ไม่ได้เลื่อนยศ คนทุกรุ่นต่างก็มีฐานะเช่นนี้ ลูกชายและลูกสาวได้แต่แต่งงานกับทหารกองหนุนรุ่นหลัง ลูกออกมาจะก็มีสถานะเช่นนี้
ไม่ว่าจะคลอดลูกเป็นชายหรือหญิง หากออกมาก็จะถูกกำหนดสถานะไว้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเมื่อคลอดออกมาจะมีประโยชน์อะไร? มีลูกหลายคนไปจะทำอะไรได้ ทั้งหมดต่างก็เปล่าประโยชน์ อยากเรียนหนังสือก็ไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ อะไรก็ทำไม่ได้ เกิดมาก็ถูกกำหนดให้ใช้ชีวิตกับคมดาบคมหอก เจ้ายังจะมีลูกทำไม? อยากให้ลูกต้องมาลำบากหรือ?
ซ่งฝูเซิงมีอาการปวดฟันกรามหลัง เมื่อเขาหันไปมองซ่งฝูหลิงก็ปวดฟันจนเส้นเลือดในสมองเต้นตุบตับ
โบกมือ “ไป ไปเข้าแถวก่อน ระหว่างเข้าแถวก็ค่อยคิด ให้ท่านหมอตรวจชีพจรก่อนแล้วเอาแท่งไม้ไปรับข้าวต้ม”
พวกซ่งหลี่เจิ้งรีบหันรถเข็นเปลี่ยนทิศทางและเดินตามหลังซ่งฝูเซิง
คนชรา ผู้หญิง และเด็ก ทุกคนต่างถอนหายใจ แต่ไม่มีใครร้องไห้สักคน พวกเขามีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงป้ายประกาศมาก
ไม่น้อยใจหรือ? ทำไมถึงจะไม่น้อยใจ หนีอพยพกันมาจนถึงที่นี่ นี่คือผลที่ได้รับแบบนี้หรือ?
พวกเขาไม่รู้เรื่องของคนอื่น แต่พวกเขาเป็นชาวนาอย่างแท้จริง
แต่ว่า ได้รับการฝึกฝนมาก่อนหน้านี้แล้ว
พวกเขาร่วมทุกข์กันมาครั้งแล้วครั้งเล่า และในแต่ละครั้งจะมีการประชุมพร้อมสรุปผล สอนให้พวกเขารู้ว่า การร้องไห้ การบ่น และการสาปแช่งเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด อย่าว่าแต่การด่าเลย ต่อให้เจ้าตายอยู่ข้างทางก็ไม่มีใครสนใจ ดังนั้นเข้าแถวต่อคิวเพื่อตรวจชีพจรแล้วไปกินข้าวต้มเถอะ การดื่มข้าวต้มได้ถือเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด
อยากเข้าแถวก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปได้
ทหารนำทางถาม “อ่านประกาศแล้วหรือยัง?”
“อ่านแล้ว”
“อ่านเข้าใจแล้ว?”
“เข้าใจแล้ว”
อ่านเข้าใจแล้วถึงสามารถเข้าไปได้ เข้าไปเถอะ
รถเข็นแต่ละคัน เข็นผ่านเนินเขาสองข้างทางอันขรุขระ รถเข็นของผู้ลี้ภัยไม่สามารถจอดทิ้งไว้ได้ทุกที่ อย่างน้อยต้องไม่ขวางด้านหน้าเต็นท์
ซ่งหลี่เจิ้งกำลังสั่งการ “รีบตรวจดูสิ มีเด็กเป็นไข้หรือไม่ ถ้ามีรีบพูดออกมา ข้ามียาแก้ไข้ ป้อนให้กินก่อนได้เม็ดหนึ่ง”
เถียนสี่ฟาเข้ามาจัดการแทนซ่งฝูเซิงที่มีอาการปวดฟัน “พวกเราจำเป็นจะต้องแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไปตรวจชีพจร เสร็จแล้วรับข้าว แต่จะต้องมีคนส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่คอยเฝ้าดูรถ”
กัวคนโตตอบกลับด้วยน้ำเสียงดัง “ให้พวกผู้หญิงกับเด็กไปก่อนเถอะ ฝูเซิงเจ้าพาพวกเขาไป พวกข้าสามารถรอได้”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ดังจนเกินไป คนที่เข้าแถวต่อคิวรับข้าวต้มก็ได้ยิน ในกลุ่มนั้นมีคนตะโกนเรียกอย่างดีใจ “จื่อเจิน จื่อเจิน!”
ซ่งฝูเซิงหรี่ตามองออกไป โอ้ นี่คนรู้จักนี่นา เพื่อนเก่ากัน
เขารีบจัดการให้เถียนสี่ฟาพาคนไปเข้าแถวต่อคิวก่อน เขาจะต้องไปพบเพื่อนเก่าเพื่อสอบถามข่าวคราว เห็นเพื่อนเก่าคนนั้นมาถึงขั้นที่สองคือมารับข้าวต้มแล้ว แสดงว่าพวกเขามากันก่อน หรืออาจจะรู้อะไรมากกว่านี้
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ซ่งฝูเซิงก็เข้าไปทักทาย “เจ๋อฟา สบายดีไหม?”
เมื่อก่อนหวังเจ๋อฟากับซ่งฝูเซิงเคยเรียนด้วยกัน ตอนนี้มีท่อนไม้อันหนึ่ง สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ในมือถือชามที่ปากบิ่น
เขายกชายเสื้อบังหน้า ทำทีท่าเป็นชายหนุ่มผู้มีการศึกษา
เฉียนเพ่ยอิงถามลูกสาว “พ่อของเจ้าทำไมกลายเป็นจื่อเจินแล้ว”
“เป็นชื่อเรียกของพ่อข้า ชื่อจริงซ่งฝูเซิง ชื่อเล่นจื่อเจิน”
“พวกเขาสองคนกำลังคุยอะไรกัน แต่ละคนพูดประโยคหนึ่ง ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ ใช้ถ้อยคำซะสวยหรู”
ซ่งฝูหลิงใช้ภาษาพูดธรรมดาๆ อธิบายให้แม่ของนางฟัง ชายคนนั้นดูเหมือนจะพูดว่าเขาเป็นบัณฑิต ควรจะมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ต้องมาตกอับ กลับมามีสภาพเหมือนขอทาน ไม่มีหน้าไปพบคนในครอบครัว พ่อของข้าก็พูดว่า โอ้ว สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ มันไม่ใช่ความผิดของพวกเราสักหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องละอายใจ
เฉียนเพ่ยอิงขมวดคิ้วและถลึงตาใส่ลูกสาว รังเกียจที่ลูกสาวใช้น้ำเสียงร่าเริงมากจนเกินไป “ฝูหลิง เจ้าทำไมถึงไม่กังวลเลยนะ พ่อของเจ้าเห็นเจ้าตอนนี้จะต้องโมโหแน่”
ซ่งฝูหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย “ทำไมข้าจะไม่กังวลล่ะ ข้ากำลังครุ่นคิดว่าจะใช้เส้นสายอย่างไรดี ไม่รู้ว่าจะต้องส่งของขวัญเท่าไร”
ขณะเดียวกัน ซ่งฝูเซิงก็กำลังซักถามเพื่อนเก่า
หวังเจ๋อฟากระซิบส่งข่าวสารให้กับซ่งฝูเซิง
ได้ยินมาว่า หากให้เงินสองร้อยตำลึงขึ้นไปจะสามารถใช้เส้นสายได้ เจ้ามีสักสองร้อยไหม? ต้องเป็นเงินสด หรือไม่ก็ต้องเป็นตั๋วแลกเงินที่สามารถแลกกับมณฑลอื่นได้ คนที่มีตั๋วเงินหลายคนเมื่อมาถึงที่นี่กลับใช้ไม่ได้ เมื่อไม่ให้แลกก็ไร้ค่าไปหมด!
ซ่งฝูเซิง เขา? เขาไม่มี เขาอยากขายเหล้ายุโรป ขายบุหรี่ ขายแจกัน แต่ก็ต้องให้เขาเข้าเมืองไปได้ก่อน
“แล้วเจ้าล่ะ เจ๋อฟา สองพี่น้องไปเป็นกรรมกรกองหนุนไม่ได้ แต่ เฮ้อ หรือว่าจะให้เป็นทหารกองหนุน? ลูกสาวลูกชายแต่ละรุ่นก็ต้องเป็นทหารกองหนุนสืบต่อกัน ไม่มีวันกลับตัวได้แล้ว ”
หวังเจ๋อฟายิ้มออกมาเห็นฟันเหลือง “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน ข้าเป็นซิ่วไฉ ตั้งแต่ซิ่วไฉเป็นต้นไป เข้าเมืองมาก็เป็นเกษตรกร แม่ของข้ากับพี่ชายกำลังต่อแถวอยู่หน้าประตูเมือง ส่วนข้า” พูดได้สักพักก็หยุดชะงัก ยื่นมือให้เห็นชามข้าว
“ข้ามารับข้าวต้ม ข้าเป็นป้ายสีแดง สีแดงคือชาวนา ป้ายสีขาวคือทหารกองหนุน ป้ายสีดำกรรมกร ส่วนข้าป้ายสีแดง ได้มาอยู่ในมือก่อนแล้ว รอแค่เปิดประตูเมืองเข้าไปเท่านั้น”
ซ่งฝูเซิงปวดใจขึ้นมาทันที ให้ตายเถอะ!
พยายามหน้าหนาถามต่อ “เจ๋อฟา คนเรียนหนังสือมีไม่เยอะ คงจะเห็นความสำคัญของคนมีความสามารถ บางทีอาจลดขั้นลงมาถึงถงเซิง? ท่านมาก่อน พอจะได้ยินบ้างไหม?”
ยังไม่ทันที่ซ่งฝูเซิงจะพูดจบ หวังเจ๋อฟาก็ตัดบท ประมาณว่าเจ้าอย่าได้ฝันไปเลย ซ่งจื่อเจิน
เขาได้ยินมากับหูว่ามีถงเซิงคนหนึ่งเพราะตอนอพยพมีเพียงเขาคนเดียว คนของทางการคิดว่าเขาไม่มีบ้าน ไม่มีงาน เป็นคนเสเพล จะเป็นทหารกองหนุนได้อย่างไร? เรื่องดีแบบนั้นไม่มีหรอก โดนสักตัวอักษรที่หน้าให้ไปเป็นกรรมกรใช้แรงงานแล้ว มีเพียงซิ่วไฉขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถทำได้
“จื่อเจิน ปีนั้น เจ้า เฮ้อ ช่างน่าเสียดายนัก”
ซ่งฝูเซิงไม่อยากจะคบกับหวังเจ๋อฟาแล้ว ต่อไปก็จะไม่ไปมาหาสู่กับคนผู้นี้ นี่อะไรกัน? เหมือนโรยเกลือบนบาดแผลของเขา ความหมายแบบนั้น พูดอ้อมค้อมหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร? คิดในใจ ไปกินข้าวต้มของเจ้าเถอะ บ๊ายบาย!
ซ่งฝูเซิงเล่าเรื่องที่เขาได้รู้มาให้กับเฉียนเพ่ยอิงและซ่งฝูหลิงฟัง
เฉียนเพ่ยอิง “เฮ้อ ฟังเจ้าพูดสิ เจ้าทำไมถึงเรียนไม่เก่งนะ”
ซ่งฝูหลิง “เฮ้อ ท่านพ่อ ข้ามองการณ์ไกลไว้ หากพวกเราโชคดีสามารถใช้เส้นสายเป็นชาวนาได้ ต่อไปท่านต้องตั้งใจเรียนให้มากน่ะ”
“ข้าปวดฟัน พวกเจ้าสองแม่ลูกช่วยพูดเรื่องที่มันมีสาระหน่อยได้ไหม อย่างเช่นเงินสองร้อยตำลึงอะไรเนี่ย!”
เป็นจังหวะเดียวกับที่เฉียนหมี่โซ่วเดินมาเพื่อเรียกพวกเขาไปเข้าแถว เขาได้ยินก็รีบถาม “ท่านลุง เงินอะไรกัน?”