ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 123
ครอบครัวเกษตรกร มีเงินร้อยกว่าตำลึงก็กล้าพอที่จะพูดกับคนอื่นว่าบ้านของตนมีฐานะมั่นคง
ลองคิดดู ถ้าไม่นับรวมทองคำสองก้อนนั้น มีเพียงธนบัตรแลกเงินหนึ่งพันตำลึงความสามารถในการซื้อมีมากขนาดไหน
ในตอนนี้ซ่งฝูหลิงเข้าใจดีแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนนางอาจจะไม่เข้าใจนัก
มิน่า ในตอนนั้นมีโจรมาขโมยกระบอกน้ำของนาง หมี่โซ่วมีอาการตื่นตระหนกอย่างมาก ร้องไห้อย่างหนักเหมือนถูกผีเข้าก็ไม่ปาน พร่ำบอกแต่ว่าคนพวกนั้นต้องการขโมยก้อนข้าวเหนียวของเขาไป พออีกวันหนึ่งก็ไข้ขึ้นสูง
เฮ้อ ทำไมจิตใจเขาต้องมาแบกรับภาระหนักขนาดนี้
มิน่า ยามที่นางนอนหนุนก้อนข้าวเหนียวนี้ ถ้านางตื่นสาย หมี่โซ่วจะยอมกลั้นฉี่นั่งเฝ้านางอยู่ข้างๆ จนกว่านางจะตื่น หลังจากนั้นเขาจะเก็บก้อนข้าวเหนียวแล้วสะพายไว้ด้านหลัง ก่อนเดินออกไปฉี่
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางโกรธและพูดว่า “ถ้าข้าหิวแล้วเผลอกัดไปสองคำจะทำยังไง เจ้าต้องคอยเฝ้าดูขนาดนี้เลยหรือ? ข้าเป็นพี่สาวของเจ้านะ”
หมี่โซ่วเห็นสีหน้าของนางก็กลัวว่านางจะโกรธ เขานิ่งไปสักพักใหญ่ถึงเอาก้อนข้าวเหนียวก้อนหนึ่งยื่นออกมาให้ “พี่สาว ท่านจะกินก็ได้ไม่มีปัญหา ถ้าท่านอยากกินก็กัดไปคำ สองคำเถอะ ข้าแค่กลัวว่าท่านกินแล้วจะโยนทิ้งไว้ข้างทางจนลืม”
ตอนนั้นนางยังพูดว่า “ใครจะไปกัดกินก้อนข้าวเหนียวนั่นของเจ้า”
ตอนนี้เฉียนเพ่ยอิงวิ่งออกไปทางทิศที่บ้านเกิดของนางอยู่แล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น
โขกหัวในตอนนั้น น้ำตากับน้ำมูกก็ไหลลงมาพร้อมกัน หัวนางสัมผัสกับพื้นดินก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ตั้งแต่รู้เรื่องมา ก็ยุ่งวุ่นวายมาตลอด ข้าไม่ได้มีโอกาสโขกหัวให้ท่านเลย ตอนนี้ข้าจะโขกหัวให้ท่าน”
ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่บนพื้น ขอบตาแดงก่ำ
เขากวักมือเรียกเฉียนหมี่โซ่ว เขากอดเฉียนหมี่โซ่ว สายตาก็จ้องมองเด็กน้อย “เจ้าทำไมถึงไม่บอกกับพวกข้าก่อน?”
“ท่านปู่บอกไว้ว่า ให้หิวจนทนไม่ไหวก่อนค่อยพูดออกมา แต่ตลอดทางก็ไม่ได้หิวจนถึงขั้นทนไม่ไหว”
“ปู่ของเจ้ายังพูดอะไรอีกไหม?”
“บอก บอก…” เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกลำบากใจ เขาจับนิ้วมือไปมา กลัวที่จะบอกว่า ท่านปู่รังเกียจท่านลุง เพราะกลัวท่านลุงจะเสียใจ
ซ่งฝูเซิงเห็นท่าทีลังเลของเฉียนหมี่โซ่วแล้ว เขาก็ยิ้มทั้งน้ำตา
ข้างหูเสมือนมีคำพูดของท่านเฉียนที่เขียนด่าเขาในจดหมาย
“เมื่อปีก่อนเจ้าสอบได้อั้นโส่ว ข้าถึงได้ยกลูกสาวที่มีคนอยากจะขอแต่งงานมากมายด้วยให้แต่งงานกับเจ้า…
…แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปหลายปี เป็นเพราะความโชคร้ายของเจ้าหรือเพราะสมองเจ้าที่โง่เง่าก็ไม่รู้ เจ้าจึงสอบไม่ผ่าน ข้าเสียใจนัก…
…ถึงแม้ข้าจะผิดหวัง แต่ก็ปฏิบัติกับเจ้าและคนในครอบครัวตระกูลซ่งอย่างดีตลอดมา เพราะอะไรหรือ?…
…เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะมีจิตสํานึกที่ดีขึ้นบ้าง…
…หนุ่มน้อย ช่วงนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะมีจิตสำนึกที่ดีแล้ว…”
จดหมายฉบับนั้นท่านเฉียนใช้คำพูดค่อนข้างแข็งกร้าว แต่เขียนออกมาเป็นคำพูดที่อ่อนโยน
หนึ่ง ขอร้องให้ดูแลลูกสาวของเขาให้ดี สอง เลี้ยงหมี่โซ่วจนถึงอายุสิบสองปี
นี่เป็นคำสั่งเสียสุดท้ายที่เขาเขียนไว้
เอ่ยตั้งแต่เรื่องที่ซ่งฝูเซิงสอบไม่ผ่าน เขาก็ไม่เคยเชื่อมั่นลูกเขยคนนี้อีกเลย สามารถสอบอั้นโส่วหลายรอบได้ แต่สอบไม่ได้ซิ่วไฉ นี่โง่ขนาดไหนกัน
แต่ครั้งนี้เขาคิดที่จะเชื่อใจลูกเขยอีกสักครั้ง พ่อตาขอร้องเจ้าอยู่สองเรื่อง ถ้าทำไม่ได้อย่างที่ขอร้องไว้ คนอย่างข้า ต่อให้เป็นผีก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป
ซ่งฝูเซิงใช้ฝ่ามือปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เมื่อเห็นท่าทางของหมี่โซ่วเขาก็สามารถเดาได้ ท่านพ่อตาของเขาอยู่ต่อหน้าหมี่โซ่วก็ยังรังเกียจเขา
จะรังเกียจก็ถูกต้องแล้ว เป็นความสนิทสนมที่คุ้นเคยกัน นี่ถึงเป็นบุคลิกของท่านพ่อตา
ซ่งฝูเซิงโอบกอดหมี่โซ่วแน่น เขาตบที่ท้องของเด็กน้อยเบาๆ “มีคนกล่าวว่า เป็นคนต้องมีจิตใจกว้างขวาง ทำสิ่งใดต้องมีน้ำใจและเมตตาต่อผู้อื่น เจ้าเพิ่งจะอายุห้าขวบ เจ้าก็สามารถทนเก็บเรื่องพวกนี้ได้ ต่อไปต้องมีอนาคตที่ดีแน่ ลุงจะบอกเจ้าว่าลุงไม่ต้องใช้ของพวกนี้ ของพวกนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ต่อไปจะได้มีเงินส่งเจ้าไปเรียนหนังสือ สอบจอหงวน ปลูกเรือนหลังใหญ่ให้เจ้า ไปสู่ขอสาวให้กับเจ้า”
เมื่อพูดถึงอนาคต ท่านลุงก็สามารถพูดไปเรื่อยเปื่อย เฉียนหมี่โซ่วถลึงตาใส่ท่านลุงของเขา “ข้าเพิ่งจะห้าขวบเอง ห้าขวบจะแต่งงานมีภรรยาไปทำไมกัน”
ซ่งฝูหลิงที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะขึ้นมา
เฉียนเพ่ยอิงก็หัวเราะทั้งน้ำตา นางไม่มีโอกาสตอบแทนคุณท่านพ่อเฉียน ได้แต่คอยดูแลหมี่โซ่วแทนท่านพ่อ ให้หมี่โซ่วเติบใหญ่สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลเฉียน นางพูดต่อ “เจ้าเก็บไว้เถอะ”
ความคิดเห็นของทั้งสามคนเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้ว่ามีเงินจำนวนมากอยู่ แต่ก็ไม่อยากแตะต้อง ไม่อยากใช้ ยังคงจะทำตามแผนการเดิมที่หารือกันไว้
ซ่งฝูเซิงหันไปถามซื่อจ้วง เจ้าก็รู้?
ซื่อจ้วงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ เขาเป็นคนซื่อ เขาไม่เคยคิดเอะใจว่าก้อนข้าวเหนียวนั่นจะเป็นก้อนทองคำหรือเป็นเพียงก้อนข้าวเหนียวธรรมดา นั่นเป็นสิ่งของสุดท้ายที่นายท่านมอบให้ไว้กับหลานชาย ต้องดูแลรักษามันอย่างดี
ซ่งฝูเซิงไม่คาดคิดว่า เขาที่เพิ่งจะเช็ดน้ำตาไปแล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอีก
หลังจากซ่งหลี่เจิ้งจับชีพจรเสร็จแล้ว เขาก็นำไม้แท่งเล็กให้กับเถียนสี่ฟาไปช่วยเขาต่อแถวรับข้าว จากนั้นเดินมาหาซ่งฝูเซิง
เขาคลำเงินที่ซุกอยู่ในอก กัดฟันควักถุงเงินออกมา “ฝูเซิง เอานี่ไป”
ซ่งฝูเซิงเปิดออกมาดูก็ถึงกับนิ่งไป
ข้างในมีเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ มีทั้งที่เป็นเหรียญแล้วใช้ด้ายแดงร้อยรวมกันไว้ “ท่านลุง นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“นี่เป็นเงินที่พวกเรารวบรวมกันจำนวนสี่สิบกว่าตำลึง เจ้าถือไว้ซะ ฟังข้า ไปหาลู่ทาง ถ้าสามารถพูดคุยกันได้ก็ยื่นเงินนี่ให้พวกเขาไป…
…สี่สิบกว่าตำลึงอาจจะเป็นเงินไม่เยอะ เขาอาจจะไม่อยากได้และไม่สามารถทำให้พวกเราสองร้อยกว่าคนกลายเป็นชาวนาได้ทั้งหมด…
…แต่ทุกคนตกลงกันแล้วว่า อย่างน้อยก็ต้องให้ครอบครัวเจ้าได้เป็นชาวนา…
…เจ้าเป็นบัณฑิต เมื่อเป็นทหารกองหนุนแล้วก็ไม่สามารถจะไปสอบเพื่อรับราชการได้อีก นั่นเป็นการตัดอนาคต ส่วนพวกเราจะอยู่ที่ไหนก็ทำไร่ไถ่นาเหมือนกัน”
“ท่านลุง นี่? นี่คงไม่เหมาะสม”
“ฝูเซิง เจ้าจงฟังที่ลุงบอก ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัว พูดตามตรงนะ พวกเราเชื่อใจเจ้าเพียงคนเดียว…
…ในบรรดาครอบครัวพวกเราทั้งหมด ขอเพียงปกป้องเจ้าให้ได้ก่อน มีเพียงเจ้าที่มีความสามารถ หรือสามารถอยู่ข้างนอกคอยใช้เส้นสายช่วยพวกเด็กๆ ในอนาคต…
…ยังไม่ต้องพูดถึงการยกเว้นพวกเด็กๆ จากสถานะทหารกองหนุน อย่างน้อยเจ้าก็สามารถเรียกพวกเขามาพบพวกข้าได้ และถ้ามีโอกาสสามารถหาเจ้าหน้าที่มาคุยกันได้ ส่งพวกเขาไปอยู่พื้นที่อันรกร้างและในบ้านที่อยู่อาศัย ที่ไม่ทรุดโทรมจนเกินไป…
…คนอื่น? ใช้เงินพวกนี้ช่วยคนอื่น? ไม่มีประโยชน์! พวกเราแทบจะไม่มีความหวังเลย เจ้ารีบถือไว้เถอะ รีบไปตรวจชีพจร ถ้าไม่ตรวจชีพจร ไม่มีไม้แท่งเล็กนี้ ข้าสืบข่าวมาแล้วว่าใครก็เข้าไปในเมืองไม่ได้ หลังจากเจ้าตรวจชีพจรเสร็จแล้วก็นำเงินไปหาดูลู่ทาง พวกเราก็ไปเข้าแถวรอรับข้าว”
ซ่งฝูเซิงปฏิเสธบอกว่า ท่านลุง ข้ามีเงิน ท่านรีบนำเงินพวกนี้กลับไปคืนทุกคนเถอะ
เฉียนเพ่ยอิงก็พูดโน้มน้าว ท่านลุง ท่านรีบนำกลับไปเถอะ ทุกคนต่างก็ไม่ค่อยจะมีเงิน ไม่ว่าจะเป็นชาวนาหรือทหารกองหนุน มีเงินไว้ที่บ้านถึงจะอุ่นใจ
ยิ่งโน้มน้าว ซ่งหลี่เจิ้งยิ่งยืนยันในการตัดสินใจในครั้งนี้ เขาคิดได้ “ถ้าเป็นทหารกองหนุน ข้าไปสอบถามมาแล้ว ที่ดินไม่มีสิทธิ์ซื้อ ต้องปลูกพืชบนที่ดินของคนอื่น แต่บ้านมีให้อยู่ จะใช้เงินไปทำอะไร? ครอบครัวหนึ่งเหลือติดตัวแค่สองสามตำลึงก็พอ การเดินทางครั้งนี้ถ้าไม่มีฝูเซิง อย่าว่าแต่เงินเลย แม้แต่ชีวิตก็ไม่รอด เอาแบบนี้แหละ!”
ซ่งฝูเซิงกำถุงเงินไว้แน่น เขาเอ่ยตามหลังซ่งหลี่เจิ้ง “ท่านลุง ท่านเชื่อข้า ถ้าสำเร็จ ข้าจะพยายามให้สุดความสามารถ จะพาทุกคนเข้าไปให้ได้”
ซ่งหลี่เจิ้งที่หันหลังให้ มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาตอบกลับในใจ พูดมากจริง
……
ประตูเมืองเปิดออกแล้ว
ผู้ลี้ภัยทั้งหมดที่อยู่สองข้างทางที่มารับข้าว มาตรวจชีพจร ต่างหันไปมองประตูเมือง
มองเข้าไปเห็นพวกใต้เท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังมอบป้ายแดง ป้ายขาว ป้ายดำ ป้ายพวกนั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของผู้ลี้ภัยที่อยู่นอกประตูเมืองทั้งหมด
เมื่อมีคนได้รับป้ายดำ ทหารจะดึงตัวคนนั้นไปอยู่อีกด้านหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่คอยสักตัวอักษรเดินเข้ามาปั๊มอักษรกลางหน้าผาก หน้าผากของคนนั้นจะมีรอยปั๊มเพิ่มขึ้นมา ทั้งชีวิตไม่สามารถจะลบรอยออกไปได้
ถ้ามีคนได้รับป้ายขาว คือทหารกองหนุน ครอบครัวที่มีผู้หญิง หากกล้าร้องไห้ออกมาเสียงดัง เจ้าหน้าที่จะเข้าไปโบยด้วยแส้
เฉียนเพ่ยอิงบ่นพึมพำกับซ่งฝูหลิง “บ้านเรามีกำไลทอง ลูกปัดทอง แหวนทอง ต่างหูทอง ของพวกนี้เมื่อนำมารวมกันน่าจะมีมูลค่าเยอะ และยังมีเงินที่ลุงหลี่เจิ้งให้มาอีกสี่สิบสองตำลึง บ้านเราก็มีหลายสิบตำลึงแล้ว ท่านย่าของเจ้าอีกสี่ตำลึง ลูกรัก แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนะ? ไม่รู้ว่าพ่อของเจ้าจะทำสำเร็จไหม คนพวกนั้นจะโลภมากหรือไม่”
ซ่งฝูหลิงส่ายหน้า
“พูดยาก ต้องดูว่าพ่อของข้าจะสามารถหาเส้นสายคนที่มีอำนาจได้หรือไม่…
…ข้าเดาว่า พวกเจ้าหน้าที่ก็คงรู้ว่าควรจัดสรรคนอย่างไร…
…ยกตัวอย่างเช่น จะต้องใช้กรรมกรเท่าไร ไปสร้างอะไรที่ไหน ต้องใช้คนอย่างน้อยเท่าไหร่ ทหารกองหนุนที่นั่นต้องการคนเท่าไร จะได้ส่งคนไปถูก…
…คนที่เป็นชาวนา พวกเขาก็คงรู้ว่าจะต้องส่งไปเท่าไร หมู่บ้านไหนสามารถรองรับชาวบ้านคนใหม่เข้าไปได้เท่าไร อย่างน้อยก็ต้องมีการแบ่งสัดส่วนกันอยู่ในใจ…
…ยังมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งที่พิเศษ พวกพ่อค้าใหญ่ เข้าเมืองไปก็มีประโยชน์กับพวกเขา และพวกผู้ลี้ภัยที่รู้จักคนในหน่วยงานราชการในเมือง และพวกที่เป็นญาติทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งของคนในหน่วยงาน…
…ท่านอ๋องเยี่ยนมีเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองหลายเมือง พวกเราอพยพกันมาก็เยอะ คนตระกูลใหญ่มีใครบ้างที่ยังไม่ได้แต่งงาน ใครที่ไม่มีความสัมพันธ์ก็ต้องติดสินบนกันอีกเยอะ…
…ถ้าท้ายสุดคนทำเรื่องพิเศษแบบนี้กันมาก ต้องกินพื้นที่สัดส่วนนั้นไป คนเยอะเกินก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีสำหรับเรา เจ้าหน้าที่จะต้องหาวิธีการทำให้เป็นเรื่องเล็กลง คนที่ควรจะเป็นชาวนากลับต้องกลายเป็นทหารกองหนุน”
ซ่งฝูหลิงก็คาดไม่ถึงว่าครอบครัวของนางจะราบรื่นด้วยดี นางคุยกับแม่ของนางเกี่ยวกับเรื่องใช้วิธีพิเศษนั้น อาศัยความสัมพันธ์
หน้าประตูเมือง ซ่งฝูเซิงมีอารมณ์ทั้งดีใจ ประหลาดใจ ตกตะลึง จนเขาเริ่มรู้สึกมึนงงแล้ว
ใต้เท้าที่มีตำแหน่งใหญ่สุดของที่นี่ซักถามเขา “ซ่งฝูเซิง ชื่อเรียกจื่อเจิน?”
“ใต้เท้า ข้าน้อยเอง”
ใต้เท้าส่งป้ายแดงให้เขาหนึ่งป้าย ไม่เหมือนกับป้ายแดงที่หวังเจ๋อฟาได้รับ อันนี้เป็นสีแดงสด
ใต้เท้านั่งอยู่บนเก้าอี้จิบน้ำชา เขาครุ่นคิดสักพักก่อนจะสอบถามซ่งฝูเซิง “ท่านซุ่นจื่อมาก่อนหน้านี้ เขาพูดถึงเจ้าเป็นพิเศษ”
ซ่งฝูเซิงพบว่าดวงตาของเขาคนนั้นฉายแววความสงสัย จึงรีบเก็บความรู้สึกประหลาดใจ
ท่านซุ่นจื่อ ซุ่นจื่อ ท่านแม่ทัพลู่ ซ่งฝูเซิงทำความเคารพ “เมื่อสองสามวันก่อนมีโอกาสได้พบเจอท่านแม่ทัพ”
“ฮะ? ไม่ใช่ท่านซุ่นจื่อ แต่เป็นท่านแม่ทัพ? ท่านแม่ทัพ ท่าน…”
ซ่งฝูเซิงส่งสายตาให้ท่านใต้เท้า มองไปบริเวณใกล้เคียงรอบๆ ก่อนส่ายหัวแล้วก้มหัวลง
ท่านใต้เท้าไอสองทีก็รีบเปลี่ยนทีท่าดูเป็นทางการขึ้นมาทันที เขาโบกมือ “ไปเถอะ รีบพาครอบครัวของพวกเจ้าเข้ามาเถอะ”
ซ่งฝูเซิงเดินกลับไปรู้สึกตัวเบาหวิว
ไม่ต้องจ่ายเงินสักอีแปะเดียว ก่อนหน้านั้นที่ครุ่นคิดแผนการไว้ก็เปล่าประโยชน์ ท่านแม่ทัพลู่ยังช่วยเหลือเขา ส่งซุ่นจื่อมาบอกคนที่นี่ก่อน
เพราะอะไรนะ
หรือว่าเป็นเพราะเขาใช้คำพูดของลูกสาวกับของเขา เล่าเรื่องราวช่วงเหตุการณ์การอพยพได้อย่างมีอรรถรส? ท่านแม่ทัพจึงชื่นชอบถ้อยคำของเขา?
“ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งหลี่เจิ้งก็ถือชามข้าวไว้ เขาใช้ไม้เท้าพยุงตัว ถามด้วยความร้อนใจ “รับแล้ว? ตกลงแล้ว?”
“ไปๆ รีบไปบอกทุกคนว่าเราเข้าเมืองได้แล้ว”
“กำลังต่อแถวเข้าคิวรับข้าวด้านหน้า”
“เวลาแบบนี้ยังจะห่วงกินข้าวต้มอีกนะ ท่านลุง! สักพักพวกใต้เท้าจะเปลี่ยนเวรกันแล้ว รีบหน่อย เอาของเก็บเข้าที่ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทีหลัง”
หน้าประตูเมือง ใต้เท้ามองเห็นคนกลุ่มใหญ่ก็ถึงกับอึ้ง
“ซ่งฝูเซิง คนในครอบครัวเจ้าไม่ดูเยอะไปหน่อยหรือ?”
ซ่งฝูเซิงตอบกลับ “นี่เป็นตระกูลที่อยู่มาเก้าชั่วอายุคน”
ทำผิดประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร สามารถรู้ได้ว่าพวกเขาเก้าชั่วโคตรมีความสนิทผูกพันกันขนาดไหน เจ้าไม่สามารถจะมีความสุขไปคนเดียวโดยที่ไม่แบ่งปัน แล้วเวลามีปัญหาจะให้พวกเขามาร่วมทุกข์ด้วย
เขาชี้ไปที่ซ่งหลี่เจิ้ง “นี่เป็นลุงของข้า”
เขาชี้ไปที่ลุงใหญ่ “นั่นเป็นท่านลุงใหญ่ของข้า”
ลุงใหญ่ยิ้มอย่างจริงใจ “พวกเราหน้าตาเหมือนกัน ใต้เท้าท่านคงมองออก เขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของข้า”
ซ่งฝูเซิงชี้ไปยังคนแซ่ซ่งทุกคนพร้อมกับอธิบาย “พวกนี้ทั้งหมดเป็นญาติทางฝั่งพ่อของข้า”
ท่านยายหวังก็กล้าแนะนำครอบครัวของตนเอง “พวกข้าเป็นญาติทางฝั่งแม่ของเขา ข้าเป็นน้ารองของเขา”
ท่านยายกัว “ข้าเป็นน้าใหญ่ของเขา”
เกาถูฮู่ “ข้าเป็นน้าเขยของเขา น้าสามของเขาเสียไปแล้ว”
ท่านย่าหม่าก็พยักหน้า “ข้าเป็นแม่ของเขา พวกนี้เป็นพี่น้องของข้า ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน”
ซ่งฝูเซิงบอก “ท่านดูนี่ นี่คือญาติทางฝั่งแม่ ”
แล้วชี้ไปทางหนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วง “พวกเขาเป็นญาติทางฝั่งภรรยา”
ใต้เท้าที่ตอนนี้อยากจะสบถเป็นประโยคออกมาว่า พวกเจ้าอพยพพากันออกมาทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย ตอนนั้นในบ้านคงจะจัดงานนัดรวมญาติเก้าชั่วอายุคนกันหรือเปล่า?