ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 256 ข้าคือหัวหน้า ตอนที่ 257 หวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี
- Home
- ทะลุมิติทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 256 ข้าคือหัวหน้า ตอนที่ 257 หวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี
ตอนที่ 256 ข้าคือหัวหน้า
ภายในบ้านของครอบครัวหนึ่ง
เวลานี้เก่อเอ้อร์นิว ป้าสะใภ้ใหญ่ของซ่งฝูเซิงกำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น บนหลังแบกเข่งที่ยืมมาจากบ้านหลังนี้ ภายในเข่งบรรจุก้อนอิฐเก่าๆ
ใส่ก้อนอิฐไปเกินครึ่งเข่งแล้ว นางยังสั่งให้ท่านยายกัวเอาใส่ลงไปอีก
“แบบนั้นเจ้ายังจะยืนไหวรึ ระวังเอวเคล็ด”
เก่อเอ้อร์นิวพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าพวกเรายังไม่แก่
“หลบไปให้หมด ย้าก!” เก่อเอ้อร์นิวดึงเชือกเข่งให้กระชับแล้วแบกเข่งยืนขึ้น
ชายเจ้าของบ้านหลังนี้ยังถึงกับตะลึง “…”
ในเวลาเดียวกัน ท่านย่าหม่าดวงดีสุดๆ นางพาลูกสาวคนโตไปบรรทุกอิฐได้ครึ่งรถเสร็จนานแล้ว ตอนนี้กำลังต่อรองอยู่ในร้านผ้าย้อม
“ผงย้อมแค่นี้จะเอาเงินข้าขนาดนี้เชียวรึ ตักออกมาแค่นิดเดียว ลดหน่อยน่า ลดให้สักสิบเหวินก็ยังดี เถ้าแก่ไม่ลดให้หน่อยข้าไม่สบายใจ นี่มันจะแพงเกินไปแล้ว เห็นแก่ที่ข้าอายุปูนนี้หน่อยเถอะนะ”
เถ้าแก่เดินออกมาจากในร้านรีบส่ายมือให้ไป
เมื่อครู่อยู่ข้างในก็ได้ยินหญิงชราเอาแต่พูดเพราะเงินสิบเหวิน พูดอย่างต่อเนื่องไม่หยุด พูดมากเสียจนน่าปวดหัว
ไม่ต้องต่อแล้ว เงินสิบเหวินแลกกับให้ท่านหุบปาก ลดให้ก็ได้ ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
ณ ใต้สะพานชื่อดังในถงเหยาเจิ้น
สตรีโพกผ้าหกคนกลับมารวมตัวกันครบ
ย่าหม่ามองบนรถเข็นสองคันที่เต็มไปด้วยก้อนอิฐมากกว่าครึ่ง มีทั้งอิฐเขียว อิฐแดง อิฐเก่าที่ยังพอใช้งานได้ และยังมีหัวไชเท้าแดงกับหัวไชเท้าส้มสามถุง รู้สึกประทับใจที่พี่ๆ น้องๆ ทำงานกันอย่างตั้งใจและขยันขันแข็งขนาดนี้
นางพูด “หิวกันหรือยัง เดี๋ยวข้าเลี้ยงปัวปัว ปัวปัวร้อนๆ ตรงนั้นเพิ่งออกมา ข้าเห็นมีไอร้อน ถึงไม่หิวแต่กินสักหน่อย จะได้รู้สึกอุ่น”
นางบอก “ไม่เป็นไร แค่นี้เอง ใช้เงินไม่เท่าไร ไม่ต้องเสียดาย เมื่อครู่ข้าเขียมมาได้สิบเหวิน เถ้าแก่ขายผงย้อมลดราคาให้ข้าสิบเหวิน ข้าเพิ่มเงินอีกสองเหวินก็พอให้พวกเรากินปัวปัวกันได้คนละอันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”
ที่ใต้สะพาน สตรีโพกผ้าหกคน สองมือถือปัวปัว อันที่จริงก็คือหมั่นโถวที่เพิ่งออกจากเตา กินกันพร้อมรอยยิ้ม
กินอิ่มเรียบร้อย
เดินทางกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับยังต้องไปเอาของตามสถานที่ที่เคยคุยไว้ก่อนหน้านี้ แวะรับของระหว่างทาง
เมื่อครู่ ท่านย่าหม่ารับเงินก้อนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา และหอนางโลม เวลานี้นางก็กำลังใช้เงินก้อนใหญ่เช่นกัน
เงินทองแดงถูกจ่ายออกไปไม่หยุด
เหล่าสตรีโพกผ้า หอบกระดาษพับแล้วพับเล่าขึ้นรถ ซื้อกระดาษไขไปทั้งหมดสิบพับ
ที่หน้าร้านตีเหล็ก หลังจากมีเก่อเอ้อร์นิวก่อนหน้านี้ ยายหวังก็แสดงความแข็งแกร่งกับเขาด้วยเช่นกัน คนเดียวหอบแผ่นเหล็กที่ใช้คุมไฟจำนวนสิบสองแผ่นไปวางบนรถ
ที่หน้าร้านขายของชำสานเข่ง ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะต้องเอาเข่งใส่ขนมเค้กขนาดสิบหกนิ้วไปข้างนอก ยังต้องเอาเข่งขนมเค้กวันเกิดหนึ่งชั้นที่สั่งทำพิเศษไปขึ้นรถอีกด้วย
เข่งแบบนี้จะสูงกว่าเข่งขนมเค้กทั่วไปหนึ่งเท่าตัว
รวมไปถึงที่ใหญ่กว่านั้น เข่งเค้กวันเกิดสามชั้น
เข่งของขนมเค้กวันเกิดต้องสานให้สูงกว่า เพราะอนาคตต้องใส่ขนมเค้กวันเกิดที่วางซ้อนกัน มีตั้งแต่ขนมเค้กวันเกิดที่ซ้อนกันขนาดสิบนิ้ว แปดนิ้ว หกนิ้ว ขนมเค้กวันเกิดสิบสี่นิ้ว สิบสองนิ้ว แปดนิ้ว ขนมเค้กวันเกิดสิบหกนิ้ว สิบสองนิ้ว แปดนิ้ว
สตรีโพกผ้าทั้งหก หอบเข่งพวกนี้อยู่จนมองทางข้างหน้าไม่เห็น
ออกจากเมืองแล้ว
ย่าหม่าหันกลับไปมองอาคารร้านค้าในเมืองพลางคิดในใจ ลาก่อนถงเหยาเจิ้น วันหน้าข้าคงไม่มาบ่อยขนาดนี้แล้ว สิ่งที่รอข้าอยู่ข้างหน้าคือเมืองเฟิ่งเทียนที่ใหญ่ยิ่งกว่า
ขณะที่เดินไปได้ครึ่งทาง ซ่งอิ๋นเฟิ่งก็หอบพลางถามพวกป้าๆ น้าๆ ว่าเหนื่อยหรือไม่ ต้องทราบก่อนว่าวันนี้ขนของกันเยอะเป็นพิเศษ
คำตอบที่ได้คือ ไม่เหนื่อย
พวกนางกับย่าหม่ามีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างก็คือ ชีวิตนี้เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดก็คือความเหน็ดเหนื่อย ส่วนเรื่องที่กลัวที่สุดก็คือเหนื่อยแล้วไม่ได้เงิน รู้สึกดื่มด่ำกับเรื่องที่ว่าคนอื่นอยากเหนื่อยแบบนี้แต่พวกเขาก็ยังหาเงินแบบนี้ไม่ได้
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
รวมตัวกันในห้องทำขนมเค้ก เตาผนังมีแสงสะดุดตาสั่นไหว
เหล่าคนทำขนมเค้กตั้งแถวหนึ่งแถว
เหล่าคนส่งขนมเค้กตั้งแถวอีกหนึ่งแถว
ท่านย่าหม่ายืนอยู่หน้าสุด หันหน้าเข้าหาทุกคน ก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว
นางยืดตัวตรง เงยหน้าอกผายพลางพูด “ข้าขอแนะนำตัวกับทุกคนใหม่อีกครั้ง ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าท่านแม่ ห้ามเรียกข้าว่าท่านย่า ห้ามเรียกข้าว่าท่านพี่ พวกเราทำงานก็ต้องมีระเบียบ ข้า นับจากนี้ไปก็คือหัวหน้าของพวกเจ้า ให้เรียกข้าว่าหัวหน้า”
“หัวหน้า”
จากนั้นซ่งฝูหลิงก็ยิ้มพลางก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดแนะนำตัวเอง “ข้าเป็นคนคุมงานของทุกคน คอยดูแลเรื่องการผลิต”
ที่ด้านนอกห้องทำขนมตอนนี้ มีผู้ชายหลายคนมาแอบดูเหตุการณ์ข้างใน
ตอนที่ 257 หวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี
เหล่าบุรุษต่างรู้สึกแปลกใจ
หลักๆ คือมีกันอยู่แค่สิบสี่ครอบครัว ก็มีแม่ๆ ของแปดบ้านที่อยู่ในนั้นแล้ว
อยากดูว่าแม่ๆ อยู่ข้างในทำอะไรกัน ดูจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว แถมยังมีผ้าโพกที่ศีรษะ
ผ้าโพกศีรษะของคนทำขนมเค้ก เป็นเหมือนหมวกใบใหญ่ เก็บผมไว้ในนั้น เป็นรูปดอกไม้สีขาวเจือสีเขียวอ่อน ดูสิ แบ่งกันไปถือคนละใบแล้ว
อย่างผ้าโพกศีรษะของแม่พวกเขาเป็นรูปดอกไม้สีชมพู ข้างในบุด้วยดอกฝ้าย เพื่อที่ว่าเวลาออกไปส่งสินค้าจะได้ไม่ต้องหนาวหู ไอ๊หยา ดูสิ แต่ละคนถืออยู่ในมือ กำลังลูบคลำอย่างทะนุถนอม
“ใครน่ะ อย่ามาเบียดสิ” กัวคนรองตวาดใส่ด้านหลัง
หวังจงอวี้กระโดดอยู่ด้านหลังผู้ชายเจ็ดแปดคนพลางพูด “ขอที่ให้ข้าดูด้วยสิ ข้ามองไม่เห็นเลย”
ซ่งฝูสี่ก็เลิกทำงานไม้แล้ว โต๊ะกลมที่หลานสาวคนเล็กรีบใช้อีกประเดี๋ยวค่อยว่ากัน ขอดูแม่กับลูกสาวสองคนก่อน เขาเองก็เขย่งเท้าชะโงกหน้ามองอยู่ด้านหลังหวังจงอวี้
ข้างนอกไม่ได้มีแค่พวกผู้ชายที่มามุงดู ต้องทราบก่อนว่าพวกผู้หญิงต่างหากที่เป็นกลุ่มหลักในเรื่องสอดรู้สอดเห็น
ทว่าพวกนางเบียดเข้าไปด้านหน้าไม่ได้ ห้องทำขนมเค้กก็เข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงจับกลุ่มล้อมวงกัน ทำงานที่อยู่ในมือต่อ แต่ปากก็ไม่หยุด แต่ละคนกำลังนินทาหลี่ซิ่ว
ในที่นี้ คนที่ไม่ชอบหน้าหลี่ซิ่วที่สุดก็คือจูซื่อ
นางรู้สึกงง แม้แต่หลี่ซิ่ว ท่านแม่ยังให้เข้าไป แล้วทำไมถึงไม่ให้นางเข้า
สะใภ้ใหญ่อยู่ในนั้น ลูกสาวสองคนก็อยู่ในนั้น มีแค่นางที่เข้าไปไม่ได้อย่างนั้นรึ
ไม่พอใจ ทว่าจูซื่อก็ไม่กล้าเปิดเผยความคิด กลัวว่าถ้ารู้ไปถึงหูย่าหม่าแล้วจะซวย ยิ่งไปกว่านั้นกลัวถูกตี
เวลานี้เหล่าแม่บ้านกำลังคุยเรื่องที่เมื่อครู่หลี่ซิ่วคำนับพื้น คำนับโขกหัวเสียจนพวกนางที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงแล้วยังรู้สึกเจ็บหัวไปด้วย
ประเด็นสำคัญคือ ท่านย่าหม่าไม่ให้นางคุกเข่า ให้นางรีบตามไปประชุมที่ห้องทำขนม แต่นางกลับจะคุกเข่าเสียให้ได้ ทั้งยังขอให้ทุกคนเป็นพยาน บอกว่าหากชาตินี้นางลืมกำพืด ก็ให้ไล่นางไปได้เลย
เสี่ยวเป่าจื่อ ลูกชายของหลี่ซิ่วที่เพิ่งจะอายุไม่เท่าไร วิ่งตามมาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ด้วย คุกเข่าในหิมะ กอดขาท่านย่าหม่า เล่นเอาท่านย่าหม่าโมโห บอกว่าถ้ายังทำอย่างนี้อีกจะไม่ให้ทำงานแล้ว อย่ามาขอบคุณด้วยวิธีแบบนี้ ตั้งใจทำงานย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้น
และก็เป็นเพราะแบบนี้ พวกเขาทุกคนถึงได้รู้ว่าท่านย่าหม่ายอมรับหลี่ซิ่วให้เข้าห้องทำขนม ไม่ใช่แค่ให้ออกไปขายขนม นี่ให้ทำขนมเลยเชียวนะ
ถูกต้อง ย่าหม่าคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจให้โอกาสหลี่ซิ่ว
เรื่องเกี่ยวกับหลี่ซิ่ว จ้าวฝูกุ้ย ชุนฮวา แม่ชุนฮวา รวมถึงเรื่องที่ยายจ้าวไล่ภรรยาคนแรกของลูกชายไป จะเก็บหลี่ซิ่วไว้ให้ช่วยมีลูกหลานสืบสกุลจ้าวให้ได้ หลี่ซิ่วมีความผิดมากจริงๆ หรือ ตอนนั้นหลี่ซิ่วแค่อยากมีที่อาศัยเพื่ออยู่รอด เป็นใครก็ต้องเลือกสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง คนที่ผิดยิ่งกว่าควรเป็นท่านยายจ้าวหรือเปล่า ชุนฮวาควรเกลียดท่านย่าของนางมากกว่าหรือเปล่า จ้าวฝูกุ้ยเองก็ถูกบุตรสาวสร้างเรื่องปวดหัว อยู่กับคนนี้คิดถึงคนนั้น หลี่ซิ่วเองก็เกลียดชุนฮวา
ใครถูกใครผิดในเรื่องนี้ ท่านย่าหม่าคิดว่าล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
ถูกหรือ ผิดหรือ ใช่ว่าจะเกิดจากคนๆ เดียว หากจะให้ตัดสินคนจากเรื่องนี้ก็ยังตัดสินไม่ได้
ซึ่งก็หมายความว่า สิ่งที่ทำให้ท่านย่าหม่าตัดสินใจจะเลือกหรือไม่เลือกหลี่ซิ่ว ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น แต่เป็นเพราะนางเห็นใจ
หลี่ซิ่วเป็นหญิงสาวอายุยังน้อย ต้องเลี้ยงลูก ตอนนั้นนางก็ไม่อยากหาผู้ชายใหม่อีกแล้ว ต่อให้การเลี้ยงลูกตามลำพังชีวิตจะลำบากมากก็ตาม แต่นางก็ไม่อยากให้ลูกตัวเองมีพ่อเลี้ยง จากนั้นยังต้องมีลูกให้สามีใหม่อีก
ท่านย่าหม่าคำนึงถึงจุดนี้เป็นข้อแรก นางถึงได้พูดกับหลี่ซิ่วว่า “ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริง แค่อยากเลี้ยงลูกให้ดี ไม่อยากมีครอบครัวอีก อยากเลี้ยงลูกให้มีความสามารถอนาคตแต่งงานมีครอบครัว ข้าก็จะช่วยเจ้าสักครั้ง”
หลังจากย่าหม่าพูดจบ ตอนนั้นยังคิดในใจอีกว่า ทำไมนางถึงไม่ดวงดีแบบนี้บ้าง ทำไมตอนนั้นไม่มีคนช่วยนางบ้าง
ข้อที่สอง ย่าหม่าเองก็คำนึงถึงสถานการณ์ความเป็นจริง พูดให้ถูกก็คือ อยากช่วยลูกชายคนที่สามของนางแก้ปัญหายากๆ
เพราะถ้าวิเคราะห์ตัวหลี่ซิ่วในวันนั้น ก็ต้องคิดมาเป็นลำดับแรก
หากวันหน้ามีการสร้างบ้านตอนต้นฤดูใบไม้ผลิหรือแบ่งที่ดินทำกิน อย่างไรเสีย ขอเพียงแต่ต้องร่วมกันออกเงิน แต่ละบ้านก็ต้องแบ่งเงินออกมาส่วนหนึ่ง หลี่ซิ่วคงลำบากน่าดู
ยกตัวอย่างที่แบ่งเงินค่าแรงกันคราวก่อน
หนึ่งครอบครัวรวมกันมีสิบสี่ครอบครัว แต่ละบ้านแบ่งเท่าๆ กันก็ได้ประมาณสี่ถึงห้าตำลึง ส่วนหลี่ซิ่ว ท่านย่าหม่าคำนวณในใจ อย่างมากก็ได้แค่ครึ่งตำลึงกว่า มากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นางทำงานคนเดียว แต่ก็ยังได้เงินตั้งสี่แรงของผู้หญิง
หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่กี่เดือนก็ถึงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ต้องสร้างบ้าน หลี่ซิ่วไม่มีเงินจะควักออกมา อีกทั้งในบรรดาสิบสี่ครอบครัวนี้ไม่มีทางที่จะมีบ้านไหนให้หญิงสาวที่มีลูกติดไปอาศัยบ้านตัวเอง ต่อให้เป็นห้องเล็กหรือห้องเก็บของก็คงไม่ได้อยู่ดี ไม่มีทางให้ใช้ชีวิตแบบนั้น
ทุกคนยิ่งไม่มีทางช่วยหลี่ซิ่วสร้างบ้านให้เปล่าๆ หรือช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องเงินส่วนนี้
สร้างไม่ได้ ย้ายเข้าก็ไม่ได้ ดูทุกคนมองก็แล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะจับหลี่ซิ่วผู้หญิงตัวคนเดียวพร้อมลูกสองขวบโยนเข้าไปอยู่ในบ้านหลังเล็กที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ไม่มีความปลอดภัยสักนิด ทนดูไม่ไหว นั่นก็หมายความว่า จะช่วยก็ไม่ใช่ธุระ ไม่ช่วยก็ไม่ได้
เว้นเสียแต่หลี่ซิ่วจะหาเงินเอง ไม่เป็นตัวถ่วง
ท่านย่าหม่าคิดแค่ว่า ตอนนี้นางขายแค่ขนมเค้กจำนวนไม่มาก ดูแลคนแค่ไม่กี่คน ปัญหายังมากขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับลูกชายคนที่สามของนางที่ต้องดูแลคนมากขนาดนั้น นางพอช่วยแก้ปัญหาไหนได้ก็ช่วยกันไป
ถึงแม้ปัญหาของทุกคนไม่ใช่หน้าที่ของลูกชายคนที่สามของนางต้องมาช่วยแก้ แต่เป็นผู้นำไปแล้วก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
เพราะว่ายังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทุกคนช่วยกันทำงานหาเงิน เอาแค่เรื่องที่ระหว่างทางทุกคนช่วยกันปกป้องลูกชายของนางก่อนถึงสองครั้ง
ตอนอยู่ที่เมืองโยวโจว ทุกคนรวมเงินกันให้ซ่งฝูเซิงไม่ต้องไปเป็นทหาร อันที่จริงท่านย่าหม่าจดจำน้ำใจครั้งนี้ได้แม่นยิ่งกว่าซ่งฝูเซิง แค่นางไม่พูดออกไป ไหนจะตอนที่อำเภออู่เฉวียน ที่ทะเลาะกับคนอื่น ทุกคนก็ได้ช่วยปกป้องลูกชายของนางในช่วงเวลาสำคัญไว้
ดังนั้นข้อที่สอง ท่านย่าหม่าทำเพื่อซ่งฝูเซิงทั้งนั้น อนาคตอย่าได้ลำบากเพราะหลี่ซิ่วอีก ไม่อยากให้ลูกชายของนางต้องมากลัดกลุ้มเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้
ข้อที่สาม และก็เป็นข้อที่สำคัญที่สุด
ท่านย่าหม่าพูดกับหลี่ซิ่วว่า นางสงสารเป่าจื่อ
เพราะเด็กที่ต้องอยู่กับแม่ม่ายแบบนี้ ชีวิตก็คงลำบาก
เหมือนกับฝูไฉ ฝูสี่และฝูเซิงของนาง
ตอนนั้นอายุยังน้อย ฝูไฉลูกชายคนโตก็รู้ว่าต้องตามนางออกไปทำงาน ต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัว ฝูสี่ช่วยนางหาบน้ำตัดฟืน ตอนนั้นอิ๋นเฟิ่งที่เป็นผู้หญิงก็ยังต้องไปรับจ้างทำอาหารให้แต่ละหมู่บ้าน ได้เงินมาสี่ห้าเหรียญทองแดง พอเริ่มจับเข็มเป็นก็รับหน้าที่เย็บปะเสื้อผ้าให้พวกน้องๆ
ฝูเซิงของนางมีชีวิตลำบากยิ่งกว่า
ตอนนั้นลูกชายบ้านอื่นขอแค่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ เรียนให้ดี จะกินนอนขับถ่าย คนในบ้านก็แทบจะดูแลให้ทุกอย่าง แต่ลูกชายของนาง โดยเฉพาะปีนั้น ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ต้องออกไปคัดลอกตำรา หาเงินซื้ออาหารเข้าบ้าน
ลูกชายคนที่สามของนางเป็นบัณฑิตเชียวนะ ระหว่างผู้มีความรู้ด้วยกัน ถึงแม้นางจะเป็นหญิงบ้านนอกไม่เข้าใจมากนัก แต่ก็รู้ว่าลูกชายยังดูด้อยกว่าคนอื่น ในสายตาของเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน จะต้องดูถูกลูกชายของนางแน่นอน
ดังนั้น ท่านย่าหม่าคิดว่า นางไม่ได้กำลังให้โอกาสหลี่ซิ่ว แต่นางกำลังให้โอกาสเป่าจื่อ
นางพูดกับหลี่ซิ่วว่า ‘ถ้าข้าเป็นเจ้า สมัยสาวๆ ข้ามีโอกาสแบบนี้ ข้าจะคิดว่า ตอนนี้ข้าลืมตาอ้าปากไม่ได้ หรือบางทีอาจต้องก้มหน้าก้มตาทำงานไปตลอดชีวิต แต่ข้าไม่กลัว ข้าทำเพื่อลูกชายของข้า วันข้างหน้าต้องลืมตาอ้าปากได้แน่’
แค่คำพูดนี้ได้ทำให้หลี่ซิ่วร้องไห้น้ำตานองหน้า ไม่ให้นางคุกเข่านางก็จะคุกเข่าให้ได้