ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 127
บทที่ 127 การแจกจ่ายเนื้อ
ผ้านวมผืนนี้ช่างอุ่นและทนทานอย่างมาก หลินชิงเหอลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็พบว่าไม่ขาดไปแม้แต่กรัมเดียว
แล้วมันก็มีเศษเหลือจากผ้าพับนั้นเป็นจำนวนมากด้วย
“มันยังมีเศษผ้าเหลืออยู่อีกนะ ป้าจะเอามาให้หนูแล้วกัน” หญิงชราตัวเล็กดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแล้วก็เอ่ยขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า ป้าเก็บไว้เถอะ” หลินชิงเหอตอบ
จากนั้นเธอก็ยื่นตะกร้าเนื้อในมือให้นางเห็น
ครั้งนี้เธอมาที่อำเภอและขายเนื้อไปได้บางส่วน สิ่งที่เหลืออยู่ก็นับว่าเป็นเนื้อคุณภาพดีเหมือนกัน และในบรรดาเนื้อพวกนี้ก็มีเนื้อติดมันชิ้นใหญ่น้ำหนักราวครึ่งชั่งชิ้นหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งในยุคนี้มันถือว่าเป็นเนื้อชั้นยอดเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีเนื้อชนิดอื่น ๆ ที่รวม ๆ แล้วน้ำหนักราว 2 หรือ 3 ชั่ง
เห็นว่าหลินชิงเหอนำเนื้อมาให้จริง ๆ แล้วแถมยังเป็นของชั้นยอดทั้งหมดอีก หญิงชราตัวเล็กก็ยินดีปรีดาอย่างมาก ทั้งคู่แลกเปลี่ยนของกัน จากนั้นหลินชิงเหอก็ปั่นจักรยานออกจากตรอกเล็ก ๆ ไปพร้อมกับผ้านวมที่ผูกยึดไว้บนเบาะหลัง
ทันทีที่เลี้ยวเข้าไปในตรอกว่างเปล่า เธอก็รีบหยิบผ้านวมยัดเข้าไปในมิติและรีบปั่นจักรยานกลับหมู่บ้านทันที!
ผ้านวมผืนใหญ่ผืนนี้ถูกแบกกลับมาไว้ที่บ้าน ท่านแม่โจวเห็นแล้วก็ตกใจ นางไม่คิดเลยว่าสะใภ้สี่จะสามารถทำผ้านวมผืนใหญ่ขนาดนี้ให้นางกับสามีชราได้!
“นี่มัน…ใช้ฝ้ายไปทั้งหมดกี่ชั่งน่ะ?” ท่านแม่โจวอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“เจ็ดชั่งค่ะคุณแม่” หลินชิงเหอบอก “ถ้านำกลับไปตอนนี้มันจะสร้างความวุ่นวายมากเกินไป เดี๋ยวรอให้มืดก่อนนะคะ ฉันจะบอกให้ชิงไป๋แบกไปให้แม่
“ผ้านวมผืนใหญ่ขนาดนี้ ตอนที่เธอขนมาระหว่างทางจะมีใครเห็นบ้างไหมเนี่ย?” ท่านแม่โจวถามรัวเร็ว
“มีคนเห็นอะไรเหรอคะ? พวกเขาไปทำงานกันหมดและฉันเองก็ลุยป่าละเมาะกลับมาด้วย ฉันไม่เห็นใครเลยค่ะ คุณแม่วางใจเถอะนะคะ” หลินชิงเหอขยายความ
“ป่าละเมาะแถวนั้นไม่ค่อยปลอดภัย ทีหลังเธอไม่ต้องเสี่ยงถึงขนาดนั้นก็ได้นะ ให้ชิงไป๋ไปรับมาตอนกลางคืนเถอะ” ท่านแม่โจวบอก
“เป็นความคิดที่ดีเลยค่ะ ครั้งหน้าฉันจะทำแบบนั้นนะคะ” หลินชิงเหอแสดงท่าทีเห็นด้วย
แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก เธอขอให้โจวชิงไป๋มาติดกับเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ได้
เห็นว่าเธอทำตัวเข้าท่าขึ้นแล้ว ท่านแม่โจวก็ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่ว่าผ้านวมผืนใหญ่ขนาดนี้มันราคาเท่าไหร่กันเนี่ย?
“เธอไม่ต้องทำผืนใหญ่ขนาดนี้ก็ได้นะ” ท่านแม่โจวบอก
“ในเมื่อเราสั่งทำแล้วก็ทำผืนใหญ่ไปเลยสิคะ มันคงสภาพอยู่ได้อีกหลายปีเลยค่ะ แล้วคุณแม่ก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าในวันข้างหน้าจะหนาวตายอีก” หลินชิงเหอบอก
โดยไม่จำเป็นต้องบอก ท่านแม่โจวก็รู้ว่าผ้านวมแบบนี้มันต้องอุ่นสบายแน่ ผ้านวมเจ็ดชั่งเชียวนะ
ในปีนี้แต่ละบ้านเริ่มสะสมฝ้าย แต่ทั้งครอบครัวก็แบ่งกันได้เพียงครึ่งชั่งหนึ่งชั่งเท่านั้น ฝ้ายจำนวนนี้จะไปพออะไรกันล่ะ?
หลินชิงเหอส่งฝ้ายที่ทางครอบครัวได้รับไปให้โจวซี เธอเองยังตัดแบ่งผ้าไปให้เด็กสาวเพื่อใช้ทำสิ่งของอันนุ่มอุ่นสบายของตัวเองด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง โจวต้งจึงนำคูปองผ้าของปีนี้ที่มีอยู่ในบ้านมาให้ และนำเงินมาให้เช่นกัน
“อารับแค่คูปองไว้แล้วกันนะ ส่วนเงินน่ะไม่ต้องหรอก ถ้านายว่างก็มาช่วยอาดูว่าตอนนี้มีปลาหนีชิวหรือปลาไหลอยู่ไหม ถ้ามีก็จับกลับมาให้อา” หลินชิงเหอหยิบคูปองผ้าไปแล้วก็บอกเขาดังนี้
โจวต้งพยักหน้าและออกไปจับปลาไหลนากับปลาหนีชิว
ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว ปลาไหลนากับปลาหนีชิวเริ่มซ่อนตัว แต่เมื่อพวกเขามีเวลาพอที่จับมันก็ยังจับมาได้บางส่วนอยู่
ในเวลาไม่กี่วัน โจวต้งก็รวบรวมปลาไหลมาได้หม้อหนึ่งและส่งมาให้เธอ
ซึ่งหลินชิงเหอก็รับไว้อย่างไม่เกรงใจ
สำหรับสองพี่น้องโจวต้งกับโจวซี ปลาไหลหม้อนี้มีค่าไม่อาจเทียบได้กับฝ้ายที่เธอให้มาเลย แต่ในสายตาของหลินชิงเหอแล้ว ปลาไหลหม้อนี้มีค่ามากกว่าฝ้ายเสียอีก
มันเป็นเพราะฝ้ายที่คนในทุกวันนี้ต้องการเป็นของหายากยิ่ง
โดยเฉพาะยามที่ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง
ความจริงแล้วฝ้ายครึ่งชั่งที่ให้โจวซีไปเพียงพอที่จะทำเสื้อโค้ทฤดูหนาวบาง ๆ ได้หนึ่งตัวเท่านั้น
ฝ้ายครึ่งชั่งที่เธอให้ไปเมื่อรวมกับส่วนแบ่งฝ้ายที่พวกเขาได้มาก็ยังไม่สามารถทำเสื้อผ้าหนา ๆ ได้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
คราวที่แล้วโจวซีขอให้เธอซื้อไหมพรมมา เพื่อที่สองพี่น้องจะได้สวมเสื้อกันหนาวไหมพรมในฤดูหนาวนี้ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี
ปลาไหลหนึ่งหม้อที่โจวต้งให้มาถูกหลินชิงเหอใช้ทำปลาไหลตุ๋นได้ทั้งหมดสองจาน รสชาติของมันกลมกล่อมโอชาเป็นพิเศษ
ส่วนโจวชิงไป๋ก็แบกผ้านวมไปที่บ้านพ่อแม่ของเขาหลังสี่ทุ่ม นับว่าเป็นการทำงานที่ไร้ร่องรอยอย่างหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นแล้ว ผ้านวมหนักเจ็ดชั่งจะต้องเป็นที่สะดุดตาคนแน่ ๆ
แต่ครอบครัวของเขามีผ้านวมผืนใหญ่ขนาดนี้สองผืนแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าภรรยาของเขาขนพวกมันกลับมาได้อย่างไร แต่ต้องบอกว่าพวกมันอุ่นสบายจริง ๆ
หลังปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวเสร็จ อากาศก็เย็นลงอย่างมาก
หลินชิงเหอถักเสื้อกั๊กให้โจวชิงไป๋เสร็จแล้ว เมื่อเขาสวมเสื้อเชิ้ตกับใส่เสื้อกั๊กนี้ทับด้านนอกมันก็ทำให้เขาดูดีขึ้นมา
เสื้อกั๊กของเจ้าสามถักเสร็จแล้ว ของเจ้าสองเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขณะที่ของเจ้าใหญ่ยังไม่ได้ลงมือถัก ส่วนเสื้อไหมพรมของเธอเองนั้นไม่จำเป็นต้องถักในปีนี้ เนื่องจากตัวของเมื่อปีที่แล้วยังใส่ได้อยู่
โจวชิงไป๋ออกไปรวบรวมฟืนตั้งแต่เช้าตรู่ ฟืนที่บ้านถูกใช้จนเกือบหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีฟืนไว้เผาให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว
“แม่ครับ ฝ่ายผลิตจะเชือดหมูในวันพรุ่งนี้แหละครับ เราไปเอาไส้หมูมากินกันเถอะ” เจ้าใหญ่บอก
“ถ้าพ่อกลับมาแล้วก็ลองไปบอกพ่อสิ แต่แม่ไม่รู้วิธีทำความสะอาดไส้หมูนะ” หลินชิงเหอตอบเรียบเฉย
“ทำไมต้องถามพ่อด้วยล่ะครับ? พ่อต้องไปเก็บฟืนคงไม่มีเวลาหรอก งั้นผมไปถามคุณย่าแล้วกันครับ” เจ้าใหญ่ตอบแล้วก็มุ่งหน้าไปที่บ้านตระกูลโจวในทันที
ไม่นานนักท่านแม่โจวก็มาที่บ้านพร้อมกับอุ้มซูเฉิงน้อยมาด้วย “เจ้าใหญ่บอกว่าอยากจะกินไส้หมู แต่เขาบอกฉันว่าเธอล้างไส้หมูไม่เป็นเหรอ?”
“ฉันล้างไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“งั้นฉันจัดการเอง” ท่านแม่โจวพยักหน้า
“คุณแม่รู้วิธีล้างกระเพาะหมูไหมคะ?” หลินชิงเหอถามอีกครั้ง
“รู้สิ” ท่านแม่โจวยิ้ม
“งั้นฉันจะไปเอากระเพาะหมูมาด้วยค่ะ”
กระเพาะหมูก็เป็นเครื่องในส่วนที่อร่อยเหมือนกัน กระเพาะหมูตุ๋นโรยพริกไทยก็เป็นอาหารที่ให้ความอบอุ่นและบำรุงร่างกายไม่น้อย
เมื่อปล่อยให้หน้าที่แบ่งเนื้อเป็นของหลินชิงเหอและเด็ก ๆ ก็ตกลงเช่นนั้นแล้ว ท่านแม่โจวก็ร่วมการแบ่งเนื้อด้วยเช่นกัน โจวชิงไป๋ไม่จำเป็นต้องไปเพราะเขายังคงต้องเก็บฟืนต่อ
การมีโจวชิงไป๋อยู่ที่บ้านทำให้พวกเขาได้แต้มค่าแรงจำนวนมาก บวกกับเจ้าใหญ่เองก็ไปเก็บผักขม แถมตอนนี้มีแต้มค่าแรงของท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเพิ่มมาอีก พวกเขาจึงได้ส่วนแบ่งเนื้อเป็นปริมาณมหาศาล
โดยไม่ต้องจองใด ๆ หลินชิงเหอก็ขอเนื้อติดมันชิ้นใหญ่เพื่อมาสกัดน้ำมันหมูได้
ส่วนที่เหลือคือเนื้อสามชั้น เนื้อแดง ซี่โครงหมู กระดูกชิ้น กระเพาะหมู ลำไส้ใหญ่หมู ซึ่งหลินชิงเหอเองก็หมายตาลำไส้เล็กไว้เหมือนกันแล้วก็ขอมาได้
เธอได้ยินเพื่อน ๆ เล่าให้ฟังว่ามันอร่อยมาก ต่อให้เธอเองจะไม่ชอบกินก็ตาม
เมื่อรวมของเหล่านี้เข้าไปแล้วมันก็เป็นปริมาณมหาศาล พวกมันบรรจุได้เต็มหนึ่งถังใหญ่พอดี!
กลุ่มผู้หญิงในหมู่บ้านพากันอิจฉาริษยาเมื่อได้เห็น
หวังหลิงพูดกับสะใภ้รองด้วยความอิจฉา “แม่สามีเธอลำเอียงจริง ๆ ด้วย ส่วนแบ่งเนื้อมากขนาดนี้กลายเป็นของบ้านน้องชายสี่ของเธอหมดเลย ขณะที่อีกสามครอบครัวของบ้านเธอไม่ได้สักอย่าง”
“ต้องบอกว่าครอบครัวเราแยกบ้านกันแล้ว ใครได้เท่าไหร่ก็ขึ้นกับแต้มค่าแรงของพวกเขา คุณพ่อคุณแม่ของฉันตอนนี้ก็มากินข้าวบ้านน้องชายสี่ ซึ่งเนื้อก็ถูกส่งไปที่นั่นตลอดอยู่แล้ว แล้วเราเกี่ยวอะไรด้วยล่ะจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนี้ก็พูดขึ้นมา
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เค้าแยกบ้านกันนานแล้วจ้ะหวังหลิง…วู้ เจ็บหน้าไหมคะ ทามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงเยอะๆ นะคะผิวหน้าจะได้ไม่แตกง่าย
ไหหม่า (海馬)