ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 158
บทที่ 158 การสนทนายามว่าง
แม้การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงทั้งหมด 45 วันจะเป็นงานที่ใช้กำลังมหาศาล แต่ความปิติหลังจากการเก็บเกี่ยวกลับทวีเพิ่มขึ้นในใจของผู้คนไม่ว่าพวกเขาจะเหนื่อยแค่ไหน
แม้การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนจะเพิ่งเกิดขึ้นก็ตาม
แต่มันเป็นเพราะการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ต่อชีวิตของผู้คนให้ผ่านพ้นปีนี้ไปได้
ผลผลิตอันบริบูรณ์จากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงนั้นหมายความว่าพวกเขาจะมีปีใหม่ที่ดี หากผลผลิตการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงไม่ดี พวกเขาก็จะต้องอดอยาก
สำหรับคนรุ่นเก่าแล้ว ไม่มีอะไรที่สุขมากไปกว่าการได้กินอิ่มท้องจริง ๆ
หลังการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ผลผลิตก็จะถูกแบ่งให้กับส่วนแบ่งสาธารณะ จากนั้นถึงเป็นการแจกจ่ายอาหาร
แล้วหลินชิงเหอก็คว้าโอกาสจากการแจกจ่ายอาหารนี้
ไม่ว่าจะเป็นธัญพืชชนิดใดก็ตาม เธอจะซื้อมันในปริมาณมาก การซื้อธัญพืชหลายชนิดทำให้เธอรวมรวมมันได้มากกว่า 100 ชั่งเลยทีเดียว
ถ้ามีใครบางคนมาถาม หลินชิงเหอก็จะบอกว่าที่บ้านมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และถ้าพวกเขาต้องการกินให้อิ่มท้อง เธอจะไม่ซื้อผลผลิตพวกนี้ไปในปริมาณมากได้อย่างไร?
เพียงประโยคเดียว เธอก็ทำให้คนเหล่านั้นปิดปากเงียบได้
ทุกคนล้วนคุ้นชินกับการใช้ชีวิตของภรรยาโจวชิงไป๋แล้ว และไม่ตั้งคำถามล้วงลึกเกินไป
ในยุคนี้ที่คนทุกคนกินกันอิ่มอย่างมากหกส่วนถึงเจ็ดส่วน มันเป็นเรื่องปกติที่เธอจะซื้ออาหารไปมากขึ้นหากครอบครัวของเธอต้องการกินให้อิ่มเต็มร้อย
มีแค่โจวชิงไป๋กับท่านแม่โจวเท่านั้นที่รู้ว่าธัญพืชเหล่านี้เอาไว้ขาย ไม่ได้เอาไว้ให้คนในบ้านกิน
ถึงแม้ว่าหลินชิงเหอจะฟุ่มเฟือย แต่เธอก็ไม่เคยกินทิ้งกินขว้าง
อาหารแต่ละมื้อมีปริมาณมากก็จริง ทว่าแต่ละคนจะได้กินกันอิ่มราวแปดส่วนเท่านั้น มีแค่ช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกับการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงที่เธอยอมให้ทุกคนได้กินกันอิ่มเต็มร้อย
ส่วนเวลาอื่นก็กินกันแค่พออิ่ม พวกเขาไม่อาจกินมากเกินขนาดได้
และนอกจากอาหารจานหลักแล้วก็ยังมีอาหารว่างอีก
ในบางโอกาส หลินชิงเหอมักจะทำซุปงา ถั่วเขียวต้มน้ำตาล โจ๊กข้าวบาร์เลย์ โจ๊กถั่วแดง และโจ๊กพุทราจีน
คนในครอบครัวจึงไม่มีทางหิวเลย
เมื่อมีเวลาว่าง หลินชิงเหอก็มาหาน้องชายสามตระกูลหลิน ซึ่งเขาก็ได้เก็บอาหารไว้ให้เธอ แต่เก็บไว้ไม่มากนัก แค่ 200 ชั่งเท่านั้น
“พี่ครับ ปีนี้เราเก็บเงินได้ราว 30 หยวนแล้ว ผมจะเก็บมันไว้และใช้คืนพี่ทีหลังนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินบอก
หลินชิงเหอได้ฟังแล้วก็ไม่สนใจ “นายเก็บไว้เถอะ รอจนกว่าจะเก็บได้ 100 หยวนแล้วค่อยมาพูดนะ”
หลังเอ่ยดังนี้ เธอก็ขนอาหารที่เก็บไว้และจากไป
ช่วงนี้หลินชิงเหอยุ่งมากอย่างไม่ต้องสงสัย
อาหารทั้งหมดไม่อาจแบ่งมาได้ในคราวเดียว
การเก็บเกี่ยวผลผลิตหมายถึงเมื่อใดที่ธัญญาหารแต่ละชนิดได้รับการเก็บเกี่ยว มันก็จะถูกตากแห้งและส่งส่วนแบ่งสาธารณะให้กับทางการ จากนั้นธัญพืชชนิดนั้นก็จะถูกแจกจ่ายก่อน
ส่วนที่เหลือจะถูกเก็บสะสมและนำมาแจกจ่ายทีหลัง
ดังนั้นหลังจากที่หลินชิงเหอขนธัญพืชชุดแรกออกไปแล้ว เธอก็เริ่มขายธัญพืช
หญิงสาวขายอาหารส่วนใหญ่ไปจนกระทั่งสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง เธอรู้สึกเหนื่อยแต่ก็ได้เงินมาเกือบ 100 หยวน ต่อให้เธอจะอ่อนล้าลงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร
ในยุคนี้คนอย่างน้องชายสามตระกูลหลินสามารถหาเงินได้ 10 กว่าหยวนในวันสิ้นปีเท่านั้น หักลบกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปแล้วก็เหลือเงินเก็บไม่มาก
ดังนั้นมันจึงเป็นความจริงที่ว่าม้าที่ปราศจากหญ้าราตรีจะไม่มีทางอ้วนท้วน คนที่ปราศจากเงินทองนอกรีตจะไม่มีวันรวย
แต่เป็นเพราะหลินชิงเหอมีมิติส่วนตัวอยู่เลยโกงได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ยังเป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างมาก
มีคนจำนวนหนึ่งที่กระโจนเข้าสู่อันตรายแบบนี้
โดยเฉพาะยามที่การเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นไปด้วยดีในไม่กี่ปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงไม่หิวโหย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนหนึ่งคว้าความเสี่ยงนี้ไว้
หลินชิงเหอไม่ได้ขายธัญพืชที่สะสมไว้ให้กับเม่ยเจี่ย ราวกับไม่มีวันขายให้หล่อน
ธุรกิจขายเนื้อหมูนับว่าเพียงพอแล้ว และถือว่าเป็นความลับระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเพิ่มเรื่องขายอาหารเข้าไปด้วย มันจะถือว่าล้ำเส้นเกินไป
ดังนั้นด้านของเม่ยเจี่ยจะได้รับคูปองอาหารจากหลินชิงเหอ มีคูปองอาหารแล้ว เม่ยเจี่ยก็สามารถซื้ออาหารในส่วนของตัวเองได้
วันนั้นเองหลินชิงเหอได้มาหาเม่ยเจี่ยเพื่อรับเนื้อ แล้วเม่ยเจี่ยก็กระซิบอะไรบางอย่างให้เธอฟัง “ทุกวันนี้การตรวจสอบเข้มงวดขึ้นมาก ตอนนี้เราอย่าเพิ่งทำธุรกิจกันเลยนะ ไว้ค่อยทำอีกทีตอนพายุผ่านไปแล้วดีกว่า”
“ตกลงค่ะ” หลินชิงเหอตกลงและถามถึงเวลาที่จะทำธุรกิจอีกครั้งโดยคร่าว ๆ หลังจากนั้นเธอก็ไม่อยู่ต่อ
แม้การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงจะสิ้นสุดไปแล้วในตอนนี้ โจวชิงไป๋ก็ยังยุ่งอยู่ เพราะเขาต้องไถพรวนดินเพื่อปลูกข้าวสาลีฤดูหนาว
เจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็ไปโรงเรียนอีก ส่วนเจ้าสามไม่ได้อยู่ที่บ้านตลอดวัน แม้ท่านแม่โจวจะพาซูเฉิงน้อยมาด้วยบ่อย ๆ มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี
หลินชิงเหอจึงเข้าไปในอำเภอเพื่อเดินเล่นเป็นบางครั้งบางคราว
เสิ่นอวี้กับเฉินเจี๋ยช่างเหมาะสมกันดีจริง ๆ พวกเขารวมเงินกันเพื่อซื้อบ้านที่เธอแนะนำแล้ว
และทั้งสองก็แต่งงานกันเร็วมากด้วย จนหลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจเมื่อมาเยี่ยมอีกครั้ง
เสิ่นอวี้รู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาวดูประหลาดใจเต็มประดา “มันออกจะเร็วไปหน่อยน่ะค่ะ แต่เราทั้งคู่ต่างงานยุ่งและไม่มีเวลามากนัก ยิ่งแต่งเร็วก็ยิ่งดีน่ะค่ะ”
“นั่นก็จริงนะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพี่สาวที่ช่วยเหลือนะคะ ถ้าพี่ไม่ได้ยื่นมือช่วย เราสองคนก็คงจะไม่ได้ลงเอยกันเร็วแบบนี้” เสิ่นอวี้ยิ้ม
“ต่อให้พี่จะช่วยน่ะนะ พวกเธอทั้งคู่ก็ต้องมีเงินด้วย ไม่อย่างนั้นพี่ก็ไม่ยอมช่วยหรอก” หลินชิงเหอพูดตรงไปตรงมา
แต่ทั้งเสิ่นอวี้กับเฉินเจี๋ยต่างเป็นคนที่ค่อนข้างกล้าได้กล้าเสีย
คนในยุคนี้ไม่ค่อยมีความคิดจะซื้อบ้านกันนัก ไม่ใช่แค่ในยุคนี้เท่านั้น แต่คนในยุค 1980 ถึงต้น 1990 ก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน
ทำไมน่ะเหรอ?
เพราะพวกเขาทั้งหมดต่างรอคอยให้สถานที่ทำงานเป็นฝ่ายจัดหาบ้านให้ ทำไมพวกเขาต้องซื้อบ้านเองด้วยล่ะ?
มีคนน้อยมากที่เต็มใจจะซื้อบ้านด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม หากซื้อบ้านหลังหนึ่งในยุคนี้ พวกเขาก็จะไม่เสียใจเลย
เสิ่นอวี้มีความรู้สึกดี ๆ ต่อหลินชิงเหอมากนัก คนใจดีมีเมตตาคนนี้ไม่เคยรับผลประโยชน์ใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำคู่ครองให้หล่อนหรือช่วยหล่อนหาบ้านใหม่ เธอก็ไม่รับซึ่งผลประโยชน์ใด ๆ
“คราวที่แล้วฉันเห็นลายมือพี่สาว มันสวยมากเลยค่ะ พี่เรียนจบระดับไหนมาคะ?” เสิ่นอวี้ถาม
“เรียนจบอะไรล่ะ! พี่ได้เรียนแค่พออ่านออกเขียนได้ระยะหนึ่งแหละ แต่พี่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนอยู่บ้างเท่านั้น ครอบครัวพี่เห็นผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง ก็เลยได้เรียนช้า” หลินชิงเหอระบายลมหายใจเบา ๆ
เธออวดเก่งนิด ๆ แต่ก็พอหอมปากหอมคอ การโอ้อวดมากเกินไปจะทำให้เธอดูด้อยค่า
เสิ่นอวี้ส่งสายตาสงสารมาให้
“ตอนนี้พี่เรียนด้วยตัวเองอยู่ ลูกชายสองคนก็เรียนหนังสือแล้ว พี่เลยเรียนหนังสือกับพวกเขา” หลินชิงเหอบอก
เสิ่นอวี้มีสีหน้าชื่นชมในทันที “พี่สาวช่างมีแรงจูงใจเยอะเหลือเกินนะคะ”
“ไม่มากหรอก คนเราอยู่เพื่อที่จะแก่ และเรียนเพื่อที่จะแก่น่ะ” หลินชิงเหอกลั้วหัวเราะ
“แล้วการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?” เสิ่นอวี้ถาม
“ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ดี หมู่บ้านใกล้เคียงอีกหลายที่ก็ได้ผลผลิตดีเยี่ยมเหมือนกัน ในอำเภอคงจะได้อาหารชุดใหม่ในช่วงนี้แล้วใช่ไหม?” หลินชิงเหอกล่าว
“ได้แล้วค่ะ แต่ก็ยังจำกัดปริมาณมากอยู่ดี” เสิ่นอวี้ตอบรับ
ทุกคนในเมืองต่างได้อาหารในปริมาณที่กำหนด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ปริมาณเกินจากนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีสถานที่ที่เรียกว่าตลาดมืดเหรอ
ด้วยสาเหตุหลักจากปริมาณของที่ไม่พอต่อความต้องการนี่เอง ตลาดมืดจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
“พวกเธอทั้งคู่กินอาหารกันที่โรงอาหาร ดังนั้นมันก็ยังสะดวกอยู่นะ” หลินชิงเหอบอก
เสิ่นอวี้ยิ้ม ในยุคนี้ความได้เปรียบที่พวกเขาทั้งคู่ได้เป็นพนักงานก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัด เงื่อนไขการใช้ชีวิตต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ล้วนอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม
“ฉันแค่กังวลนิดหน่อยน่ะค่ะ ว่าถ้าในภายภาคหน้าฉันมีลูกแล้วควรจะทำอย่างไรดี” เสิ่นอวี้พูดต่อ
แม้ผลดีของการย้ายออกจากบ้านเดิมจะมีมาก แต่มันก็มีข้อจำกัดบางอย่างเหมือนกัน อย่างการที่ไม่มีคนมาช่วยดูแลเด็กหลังคลอดออกมาแล้ว
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วิชามารของแม่ช่างล้ำลึก แต่ก็เป็นเพราะแม่มีไอเทมช่วยอย่างมิติเก็บของล่ะนะ ไม่งั้นคงไม่รอด
ปล.ของว่างแม่แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลยค่ะ ผู้อ่านเคยทำอะไรจากในลิสต์ไปบ้างแล้วคะ ผู้แปลทำเป็นแต่ถั่วเขียวต้มน้ำตาลน่ะค่ะ ๕๕๕
ไหหม่า (海馬)