ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 163
บทที่ 163 ความคิดเห็นคนละระดับ
น้องชายสามตระกูลหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลินชิงเหอที่คิดจะโน้มน้าวเขาว่าอย่ามีลูกบ่อยนักถึงกับลืมเรื่องนี้ไปเสีย
ต่อให้เธอเป็นพี่สาวของเขา แต่เรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถพูดได้
เธอไม่อาจเอาตัวเองไปตัดสินสะใภ้สามตระกูลหลินที่มีลูกสาวสามคนติดต่อกันได้ ดังนั้นคงดีกว่าหากพูดให้น้อยและปล่อยให้คนทั้งคู่ตัดสินใจกันเอง
หลินชิงเหอสร้างความสุขใจให้กับน้องชายและหลานสาวทั้งสองอย่างที่คิดไว้ เธอทำให้พวกเขากลับบ้านไปอย่างมีรอยยิ้มทุกคน
ในวันที่สองของวันปีใหม่ หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็พาเด็ก ๆ เข้าไปในอำเภอ
เหมือนกับปีก่อน ๆ ที่พวกเขาพาเด็กชายทั้งสามไปกิน ดื่ม และเที่ยวเล่น
และที่แน่ ๆ ก็คือพวกเขายังแวะมาที่บ้านของโจวเสี่ยวเม่ยด้วย
โจวเสี่ยวเม่ยกำลังตั้งครรภ์และสภาพของหล่อนในตอนนี้ก็ดูดีอย่างเห็นได้ชัด หล่อนดูอวบอ้วนมีน้ำมีนวลเหมือนบ๊ะจ่างห่อหนึ่งเลยทีเดียว
เห็นหล่อนแล้วหลินชิงเหอก็รู้สึกถึงคลื่นอารมณ์ในใจ โชคดีที่เธอไม่ต้องมีลูกเหมือนอย่างหล่อน เธอจำได้ราง ๆ ว่าผู้หญิงยามตั้งครรภ์และมีลูกจะสูญเสียรูปร่างของตนเองไป
แม้แต่ในยุคนี้ รูปร่างของพวกหล่อนก็ยังเผละหนักกว่าเดิม
หลินชิงเหอมีรูปร่างเดิมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หลังจากที่ทะลุมิติมาแล้วเธอก็เอาใจใส่ที่จะดูแลรักษารูปร่างของตัวเองอย่างมาก เธอจึงไม่ดูอ้วนขึ้นแต่อย่างใด
“เขาได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่มากที่สุดแล้วสินะ” หลินชิงเหอมองซูเฉิงน้อยและเอ่ยขึ้น
แม้เขาจะถูกคุณย่าเลี้ยงดูมา แต่มันก็ไม่ดีเท่าการได้อยู่กับพ่อแม่ของเขา เป็นเวลาเพียงไม่กี่วันก็ไม่เห็นความแปลกแยกแต่อย่างใดแล้ว เขายังคงจำหลินชิงเหอกับลูก ๆ ของเธอได้อยู่ แต่เหมือนจะมีระยะห่างกับพวกเขาอยู่บ้าง
แต่ท้ายที่สุดเด็กก็คือเด็ก หลังเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็เข้ากันได้ดีราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นจึงไม่มีอะไรอื่นต้องกังวล ซูต้าหลินดูแลเอาใจใส่โจวเสี่ยวเม่ยได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่จำเป็นที่จะให้ใครมาดูแลอย่างละเอียด
“ในวันที่หิมะตกแบบนี้เธอต้องระวังหน่อยนะ” หลินชิงเหอเตือน
“ฉันรู้ค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้าและดูทรมานใจนิดหน่อย
หล่อนคุยกับหลินชิงเหอสองต่อสองและเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้สี่คะ ไม่ว่าฉันจะคลอดลูกชายหรือลูกสาว ฉันก็ไม่คิดที่จะมีลูกอีกหลังจากคนนี้แล้วนะคะ”
“สองคนก็พอแล้วล่ะ” หลินชิงเหอไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้และเอ่ยต่อ “ส่วนความเห็นของคุณแม่ก็รับไว้พิจารณาก็ได้ เธอไม่จำเป็นต้องฟังท่านทุกครั้งหรอก การใช้ชีวิตของเธอเองต้องมองไปที่ความปรารถนาของพวกเธอสองคนเป็นหลัก”
“ฉันรู้ว่าต้าหลินก็อยากมีอีกคนหนึ่งด้วย ฉันเลยเต็มใจมีลูกคนนี้ แต่หลังจากนั้นฉันไม่คิดที่จะมีอีกคนหนึ่งแล้วค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
ซูต้าหลินเป็นลูกชายคนเดียวในตระกูลซู นับตั้งแต่ตอนนั้นเขาจึงเหงาอยู่เสมอ ลูกชายคนเดียวนับว่าเหงาจริง ๆ มันจึงเป็นเรื่องดีที่จะมีลูกชายอีกคนหนึ่ง
ความจริงแล้วในยุคนี้มีครอบครัวที่มีลูก 2 คนนั้นไม่มากนัก เพราะมันดูน้อยเกินไป มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่มีลูก 4 หรือ 5 คนล่ะ?
แต่สำหรับโจวเสี่ยวเม่ยแล้ว สองคนก็ถือว่ามาก ยิ่งกว่านั้นการมีลูกยังกินเวลาเยอะมากด้วย
โจวเสี่ยวเม่ยจึงไม่คิดที่จะมีลูกอีก หากหล่อนเลี้ยงดูพวกเขาดี หล่อนก็ไม่เชื่อว่าในอนาคตลูกชายของหล่อนจะด้อยกว่าคนอื่น ๆ
ลูกของหล่อนคนเดียวก็สู้ลูกทั้งครอกของครอบครัวอื่นได้!
“เธอคุยเรื่องนี้กับต้าหลินเถอะ” หลินชิงเหอไม่กล้ากล่าวอะไรอีก มีเพียงคู่รักเท่านั้นที่จะคุยเรื่องนี้ได้
ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าตอนนี้เธอเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ซูต้าหลินจะไม่ว่าเธอเหรอ?
มันเป็นการฉลาดที่จะไม่ผสมเรื่องเหล่านี้
หลังอยู่ที่นี่มากกว่าหนึ่งชั่วโมง โจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอก็พาเด็ก ๆ จากไป
ซูเฉิงน้อยอิดออดไม่ยอมจะห่างจากเจ้าสาม ตอนที่เขาอยู่บ้านคุณย่าเขาก็ชอบเล่นกับเจ้าสามมากที่สุด เขาเอาแต่เรียก เกอเกอ* หลังจากที่เจ้าสามออกไป
*เกอเกอ หมายถึง พี่ชาย
หลังกลับถึงบ้าน เจ้าสามก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าผมมีน้องชายหรือน้องสาวเป็นของตัวเองได้ก็ดี”
เขาชอบเป็นพี่ชายมากแต่ไม่มีโอกาสจะได้เป็น เนื่องจากเขาเป็นน้องเล็กสุดของบ้าน แม้จะมีลูกพี่ลูกน้องแต่ก็ติดเหตุผลที่ว่าพวกเขาไม่ได้เกิดจากครอบครัวของเขาเอง อย่างไรมันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างอยู่ดี
หลินชิงเหอเงียบไป
สุดท้ายโจวชิงไป๋ก็หยุดเอ่ยถึงหัวข้อนี้ แต่เด็กคนนี้กลับยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเสมอ ๆ
ที่แน่ ๆ คือตอนที่หลินชิงเหอเงยหน้าขึ้นแล้วก็สบกับดวงตาล้ำลึกของโจวชิงไป๋
เอาล่ะ เธอยอมแพ้
“วันนี้เหนื่อยมากเลยนะคะ เรากินมื้อเย็นกันง่าย ๆ เถอะค่ะ จากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัวแล้วเข้านอนกัน” หลินชิงเหอเอ่ยฉับไว
เรื่องนี้เลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ
พวกเขาออกไปเที่ยวนอกบ้านกันทั้งวันและเหนื่อยล้ากลับมา ทั้งครอบครัวจึงอยากเข้านอนหลังล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้ว
โจวชิงไป๋ไม่ได้ไล่ต้อนเธอต่อ
ในวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ทุกปีเป็นประเพณีที่ครอบครัวของเธอจะเข้าไปเที่ยวเล่นในอำเภอ
แม้ในสายตาของชาวบ้านจะถือว่าเรื่องนี้ดูฟุ่มเฟือยไร้ประโยชน์ แต่พวกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าโจวชิงไป๋ที่มีจิตวิญญาณของผู้นำในเรื่องอื่น ๆ กลับไม่ยุ่งในเรื่องของภรรยาหรือการที่วิถีชีวิตของพวกเขาล้วนขึ้นอยู่เพราะเธอ
ชั่วพริบตาเดียวเจ้าใหญ่ก็มีอายุ 9 ขวบ คนชนบทจะพิจารณาเรื่องแต่งงานกันตอนอายุ 15 ปี หลายคนแต่งงานกันตอนอายุ 17 หรือ 18 ปี ลองนับดูแล้วมันกี่ปีกันล่ะ?
เวลาผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น และถ้าพวกเขาไม่เก็บเงินให้เด็ก ๆ ไว้ใช้แต่งงานตอนนี้ก็จะเก็บไม่ทันแล้ว ยังมีเจ้ารองกับเจ้าสามที่ต้องแต่งงานตามมาหลังจากที่เจ้าใหญ่แต่งงานแล้วในอนาคตอีกนะ
เห็นชัดว่าภรรยาของชิงไป๋ไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก
ความจริงแล้วมีบางคนในหมู่บ้านกำลังจับตามองเจ้าใหญ่อยู่
ถ้าไม่นับหลินชิงเหอผู้เป็นแม่ที่พึ่งพาไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรต้องตำหนิเกี่ยวกับโจวชิงไป๋และลูกชายทั้งสาม
โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ที่เหมือนกับโจวชิงไป๋ผู้เป็นพ่อมาก แม้เขาจะมีอายุเพียง 9 ขวบหลังวันปีใหม่ แต่เขาก็ตัวสูงเร็วมาก ในอนาคตเขาจะต้องตัวสูงใหญ่เหมือนกับพ่ออย่างแน่นอน
แล้วบ้านที่มีลูกสาวจะไม่หมายตาเขาได้อย่างไร?
ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าครอบครัวไหนในสิบลี้แปดหมู่บ้านมีลูกสาวที่ดีหรือลูกชายที่แข็งแรง
ดูจากเจ้าใหญ่ก็รู้ว่าเขานั้นดูไม่เลวเลย
แต่เขามีหลินชิงเหอเป็นแม่นี่สิ คน ๆ นี้เหมือนจะรับมือไม่ง่ายเลย
หลินชิงเหอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่เคยกังวลกับชีวิตระยะยาวของลูกชายทั้งสาม
ต่อให้เด็กชายทั้งสามซนกว่าเด็กคนอื่น ๆ แต่ในแง่ของรูปลักษณ์แล้วพวกเขานับว่าหน้าตาดีที่สุดในบรรดาเด็กในหมู่บ้าน พวกเขาทั้งหมดล้วนได้ส่วนผสมที่ดีทั้งจากตัวเธอและโจวชิงไป๋
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาอายุเท่าไหร่ล่ะ? การกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวที่จะเกิดในอีก 10 ปีข้างหน้าในตอนนี้มันจะไม่เป็นเรื่องตีตนไปก่อนไข้มากเกินไปเหรอ?
เรื่องนี้เป็นช่องว่างระหว่างวัยสำหรับตัวเธอและผู้คนในยุคนี้
ในความคิดของหลินชิงเหอ มันไม่สายไปหรอกที่อายุ 30 ปีแล้วถึงจะได้แต่งงาน แต่ในสังคมของคนยุคนี้ หากอายุ 30 ปีแล้วยังไม่มีลูกก็จะได้รับสายตาแปลก ๆ แล้ว
อย่างเช่นน้องชายสามตระกูลหลินที่อายุ 28 ปีในตอนนี้ ก็มีภรรยาที่ตั้งครรภ์ลูกคนที่สี่แล้ว
และถ้าเธอเดาถูก เขาก็คงจะมีลูกต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคต…
ความคิดของพวกเขาอยู่คนละระดับกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอถึงไม่คิดที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับหมู่บ้านหลังจากอยู่ที่นี่มาหลายปี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนเข้าไปในกรอบของพวกเขา
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
แต่ละคนก็มีเงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน ดังนั้นอย่าเอาความคิดของเราเข้าไปตัดสินคนอื่นจะดีกว่า…แม่คิดดีมากค่ะ
ใครอยากเป็นสะใภ้บ้านแม่ต้องคิดหนักหน่อยล่ะค่ะ เดาว่าแม่มาตรฐานสูงแน่นอน