ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 226 มีลูกไม่ได้
บทที่ 226 มีลูกไม่ได้
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าลูกชายคนโตมีแผนจะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อหางานทำและเก็บเงินไว้ซื้อบ้าน
หากดูตามเงื่อนไขของนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านเลย หน่วยงานที่เขาทำงานอยู่จะเป็นคนยกบ้านให้เขาเอง นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยที่มีมาตรฐานยอดเยี่ยมอีกด้วย
เจ้าใหญ่ยังไม่ได้รับการจ้างงาน เขาจึงไม่รู้เรื่องนี้
ปีนี้หิมะตกช้ากว่าปีก่อน กว่ามันจะเริ่มตกก็เป็นปลายเดือนพฤศจิกายนแล้ว
หลินชิงเหอใช้เวลาช่วงนี้ไปกับการเรียนรู้และจดจำศัพท์และประโยคภาษาอังกฤษในตอนว่างงาน
หลังปีนี้ผ่านไป มันก็จะเป็นปี 1976 หลังอีกปีหนึ่งผ่านไป ก็จะถึงปีที่มีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
นับดูเวลาแล้วมันก็ใกล้จะถึงแล้วในไม่ช้า
หลินชิงเหอเพิ่งมองหนังสือ ซึ่งโจวชิงไป๋ก็กลับมาพร้อมกับเจ้ารองและเจ้าสาม พ่อและลูกชายทั้งสองออกไปวิ่งมาจนใบหน้ากลายเป็นสีแดงเมื่อกลับมาถึงบ้าน
หลินชิงเหอเดินออกมาดูแล้วก็เอ่ยขึ้น “พวกคุณไม่รู้จักทาครีมบำรุงก่อนจะออกไปเหรอคะ?”
จากนั้นเธอก็หยิบครีมมาทาให้ผู้เป็นพ่อและลูกชาย เจ้ารองกับเจ้าสามคว้ากระจกและละเลงครีมบนหน้า ส่วนโจวชิงไป๋มีหลินชิงเหอเป็นคนทาให้
“แม่ คุณน้าสามเพิ่งมาหาและถามพ่อว่าจะไปล่าไก่ฟ้าหรือเปล่าน่ะครับ ผมอยากไปกับพ่อ” เจ้ารองเอ่ย
“ถ้าพี่ไปงั้นผมไปด้วย!” เจ้าสามรีบเอ่ยตาม
“นายรออยู่ที่บ้านให้เราล่าไก่ฟ้ากลับมากินก็พอ” เจ้ารองรีบแย้ง
เขากลัวว่าเจ้าสามจะพาติดร่างแหไปด้วยจนไม่ได้ไปพร้อมกับพ่อ
“ผมล่าเองได้ ผมจะต้องการพี่ทำไม?” เจ้าสามแย้ง
เจ้ารองมีท่าทางโมโห ส่วนเจ้าสามก็เมินพี่ชายและมองตรงมาที่พ่อแม่ของเขา
“พรุ่งนี้แม่จะทำจ้านโถวเปา และคงจะยุ่งมาก ทั้งคู่มาอยู่ช่วยแม่ดีกว่า” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างเคือง ๆ
“แม่ คราวที่แล้วพี่ใหญ่ยังได้ไปเลยนะครับ” เจ้ารองยกเหตุผล
“หลังจากครั้งนั้น แค่คิดถึงมันแม่ก็หวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ลูกสองคนอยู่ที่นี่แหละ ลูกไม่อยากอยู่กับบ้านอุ่น ๆ ในวันหิมะตกแต่กลับอยากออกไปเดินท่อม ๆ ข้างนอกแบบนี้แสดงว่าว่างมากสินะ” หลินชิงเหอเอ่ย
วันต่อมาโจวชิงไป๋ก็ออกไปล่าไก่ฟ้ากับน้องชายสามตระกูลหลิน ส่วนหลินชิงเหอให้เจ้ารองกับเจ้าสามอยู่ที่บ้านเพื่อมาช่วยทำจ้านโถวเปา
ท่านแม่โจวเองก็มาช่วยทำด้วย
จ้านโถวเปาเป็นของที่กินกันตามปกติในฤดูหนาว พวกมันยังมีรสชาติอร่อยมาก เป็นของโปรดอย่างหนึ่งของครอบครัวนี้เลยทีเดียว
แล้วท่านแม่โจวก็พูดให้หลินชิงเหอฟังในเรื่องที่นางไปได้ยินมา “ที่ยุ้งฉางมีรอยโหว่เป็นรูใหญ่เลยล่ะ ไม่รู้ว่าตัวเชื้อโรคที่ทำนี่มาจากไหน”
ตอนนั้นหลินชิงเหอยังต้องไปสอนหนังสือ เธอจึงไม่รู้เรื่องนี้ พอท่านแม่โจวพูดขึ้นเธอจึงรู้สึกประหลาดใจ “มีคนแตะต้องยุ้งฉางด้วยเหรอคะ? พวกเขาอยากตายเหรอ?”
ในยุคนี้ หากมีใครกล้าแตะต้องสถานที่อย่างยุ้งฉางข้าว พวกเขาจะถูกยิงทิ้งโดยไม่ลังเล
“ใช่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ยังจับใครไม่ได้เลย” ท่านแม่โจวบอก
ในความคิดของนาง การกระทำแบบนี้มันเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ
หลินชิงเหอย่นคิ้ว ในยุคนี้ถึงกับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอแทบจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าหากในอนาคตมีมาตรการผ่อนปรนแล้วมันจะวุ่นวายขนาดไหน ถึงตอนนั้นเหล่าปีศาจก็คงออกมาเริงร่าเต็มไปหมดแน่ ๆ
“ในวันหน้าหากฉันออกไปข้างนอกบ้านแล้ว คุณแม่ต้องหมั่นเข้ามาดูบ้านบ่อย ๆ นะคะ” ต่อให้พวกเขามีเฟยอิงอยู่ มันก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี
“ในหมู่บ้านเราไม่ต้องกังวลนักหรอก เรามีเพื่อนบ้านขนาบทั้งซ้ายขวา เมื่อไหร่ที่เฟยอิงเห่า พวกเขาก็ได้ยิน” ท่านแม่โจวเอ่ยปลอบ “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็จะมาดูแลบ่อย ๆ นะ”
หลินชิงเหอพยักหน้า
โจวชิงไป๋กับน้องชายสามตระกูลหลินกลับมาในตอนเย็น พวกเขาแบกไก่ฟ้าจำนวนหนึ่งมาด้วย
น้องชายสามตระกูลหลินนำไก่ฟ้ากลับไป 2 ตัว ส่วนที่เหลือเป็นของครอบครัวของเธอ
ทุกคนในครอบครัวควรได้รับการบำรุงร่างกายสักหน่อย ฤดูหนาวปีที่แล้วท่านพ่อโจวป่วยหนัก ทำให้ปีนี้เขาทำงานรับแต้มค่าแรง 6 แต้ม
เมื่อตัดความจริงที่ว่าเขาไม่อยากหักโหมทำงานแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำงานหนักกว่านี้ได้ต่อให้อยากทำก็ตาม เพราะตัวเขาอายุมากขึ้นแล้ว
วันเวลาผ่านไปจนเข้าสู่เดือนธันวาคม
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็พบว่าลานบ้านปกคลุมไปด้วยหิมะหนา แสดงว่าหิมะตกหนักมากทีเดียว จากนั้นคุณป้าหวงที่เป็นเพื่อนบ้านก็มาขอน้ำตาลทรายแดงไปในตอนที่ทั้งครอบครัวกำลังกินอาหารเช้า
เมื่อคืนนี้สะใภ้ของนางคลอดเด็กชายตัวอ้วนจ้ำม่ำอีกคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ช่างหาซื้อน้ำตาลทรายแดงได้ยากเหลือเกิน
นางจึงมาขอกับหลินชิงเหอที่บ้าน
“เรามีอยู่ 1 ชั่ง แต่หลังจากนั้นฉันต้องใช้แล้วน่ะค่ะ ดังนั้นฉันให้คุณป้าได้แค่ครึ่งชั่งนะคะ” หลินชิงเหอบอก
หลินชิงเหอตักน้ำตาลทรายแดงให้นางไปครึ่งชั่ง ซึ่งคุณป้าหวงก็จ่ายเงินมากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่หลินชิงเหอก็รับไว้ในราคาท้องตลาด ถึงอย่างนั้นคุณป้าหวงก็ยังคงยืนกราน “คุณครูหลินอย่าเกรงใจกับฉันนักเลยค่ะ ฉันรู้ว่าเป็นเพราะฉันคุณครูหลินถึงยอมให้ ฉันจึงต้องให้เงินกับคุณเป็นจำนวนเท่านี้น่ะค่ะ”
“มันเป็นเรื่องมงคลที่ได้ต้อนรับเด็กนะคะ เราไม่ถือหรอกค่ะ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ฉันก็ต้องบอกว่าในอนาคตฉันจะไม่ให้คุณป้าแล้วนะคะ” หลินชิงเหอบอก
เงิน 2 เหมาถูกจ่ายเพิ่มมาเพื่อเป็นค่าน้ำตาลทรายแดงครึ่งชั่ง หลินชิงเหอจะรับเงิน 2 เหมานี้ไว้ได้อย่างไรล่ะ? พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกันนะ เธอยอมเสียประโยชน์แทนที่จะปล่อยให้ผู้คนมีโอกาสใส่ร้ายป้ายสีเธอดีกว่า
คุณป้าหวงยิ้มแล้วรับเงินคืนไป “ขอบคุณคุณครูหลินนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ถ้าฉันต้องใช้ด่วนและคุณป้ามีอยู่ คุณป้าจะไม่ตักให้ฉันบ้างเหรอคะ?” หลินชิงเหอยิ้ม
เมื่อคุณป้าหวงกลับไปแล้ว หลินชิงเหอจึงกลับมากินข้าวต่อ
ท่านแม่โจวไม่เอ่ยอะไรต่อหน้าหลาน ๆ ของนาง แต่เมื่ออยู่ในที่ลับตา นางก็บ่นพึมพำกับหลินชิงเหอ “จริง ๆ เลย พวกเขาก็รู้ว่าสะใภ้ตัวเองกำลังจะคลอดลูกแต่ก็ไม่หัดขยันเดินทางไปซื้อที่ร้านค้าสหกรณ์แต่กลับมาขอแลกกับเรา”
แม้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณป้าหวง แต่ท่านแม่โจวก็ไม่เห็นด้วยในเรื่องที่นางมาเพื่อเอาเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ร้านค้าสหกรณ์อาจมีของอยู่จำกัด แต่ถ้าไม่กลัวความลำบากและเดินทางเข้าไปซื้อในอำเภอ พวกเขาก็ซื้อมาได้แลกกับการเดินทางไม่กี่ครั้งถูกไหมล่ะ?
“แค่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อยเองค่ะ” หลินชิงเหอไม่ถือสา
ยิ่งกว่านั้นเธอยังได้ของมาง่าย ๆ มีเสิ่นอวี้อยู่ หญิงสาวก็สามารถซื้อทุกอย่างที่ต้องการได้หากไปถึงที่นั่น อย่างเช่นนมผงที่มีจำนวนจำกัด ถึงกระนั้นเธอก็ยังจองไว้กับเสิ่นอวี้ได้ เมื่อไหร่ที่มีสินค้าอยู่ในคลัง หล่อนก็จะกันไว้ให้เธอก่อน 2 ถุง
แค่ 2 ถุงนับว่าเป็นจำนวนไม่มาก
น้ำตาลทรายแดงเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เธอนำมา ซึ่งมันถูกใช้หมดแล้ว เนื่องจากเธอนำมาแค่ 20 ชั่ง ซึ่งถือว่าไม่มาก ดังนั้นน้ำตาลทรายแดงในครั้งนี้จึงเป็นของที่เธอซื้อมาจากร้านค้าสหกรณ์
เธอมีจักรยานเป็นของตัวเอง จึงสามารถเดินทางไปกลับได้อย่างรวดเร็ว
ท่านแม่โจวบ่นพึมพำอีก 2-3 ประโยค แต่นางก็ไม่เก็บมาใส่ใจ และโดยไม่รู้ว่าอะไรดลใจ นางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “มีเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ก็พอแล้ว เมื่อไหร่ที่พวกเขาโตขึ้น หนึ่งในนั้นก็จะน่าจะได้แต่งงานมีลูกแล้วนะ”
หลินชิงเหอได้ฟังก็เข้าใจในทันที นี่เป็นการปลอบเธอในเรื่องมีลูกใช่ไหมนะ?
ตั้งแต่มีเจ้าสามเธอก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกเลย
ถ้าท่านแม่โจวพบว่าเป็นตัวเธอเองที่ไปทำหมัน เรื่องนี้คงจะไม่จบแน่ กลัวว่าเรื่องนี้จะติดอยู่ในใจของท่านแม่โจวไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว
แต่โจวชิงไป๋กลับโทษตัวเขาเอง เขาอธิบายว่าตัวเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขามีลูกไม่ได้
เป็นดังนี้แล้วท่านแม่โจวก็รู้สึกผิดต่อเธอเล็กน้อย
ต้องบอกว่าหลินชิงเหอแทบจะยกนิ้วโป้งให้โจวชิงไป๋กับสิ่งที่เขาทำ
บางครั้งในความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ คนที่เป็นลูกชายต้องแบกรับความผิดไว้ เป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาถึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
“ฉันรู้สึกว่าลูกชายของฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีนะคะ พวกเขาเทียบได้กับการมีพี่ชายน้องชายเจ็ดหรือแปดคนเลยทีเดียว”
ท่านแม่โจวได้ฟังก็พอใจ