ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 253 การเรียนการสอน
บทที่ 253 การเรียนการสอน
สะใภ้รองถึงกับงงงวยหลังผ่านการสนทนาทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็รู้สึกชื่นชม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสะใภ้สี่ถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศได้
แม้หล่อนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยังเอ่ยออกมา “ถ้าอย่างนั้น เธอคิดว่ามันดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?”
“การได้เรียนวิชาช่างไม้นับว่าดีไม่น้อยนะคะ อย่างน้อยก็ดีกว่าและสะดวกสบายกว่าการพึ่งพาทุ่งนาเพื่อผลิตอาหาร แน่นอนว่าการเป็นเด็กฝึกงานนั้นไม่ง่าย แต่คน ๆ หนึ่งจะไม่สามารถเรียนรู้งานฝีมือได้เลยโดยไม่ผ่านความยากลำบาก ความสำเร็จน่ะมันไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้าหรอกนะคะ ใช่ไหมคะพี่สะใภ้รอง?” หลินชิงเหอบอก
เธอหวังว่าสมาชิกที่เหลือในครอบครัวแต่ละสาขาตระกูลจะก้าวหน้าได้ ทุกคนสามารถร่ำรวยด้วยกันได้ เมื่อเป็นแบบนั้นถึงจะเป็นเรื่องดีและครอบครัวก็จะแข็งแกร่ง
“นั่นก็ถูก แต่พี่ไม่รู้ว่าเขาจะเรียนงานฝีมือนี้ได้จากที่ไหนน่ะสิ” สะใภ้รองเอ่ยอย่างลังเล
“ให้พี่รองคุยเรื่องนี้กับชิงไป๋แล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอบอก เธอไม่รู้เรื่องนี้มากนักจึงได้แต่เสนอแนะไปแบบนั้น
สะใภ้รองเดาว่าน้องชายสี่โจวชิงไป๋คงจะมีเส้นสายอยู่ จึงตอบอย่างดีใจ “ก็ได้ พี่จะให้พี่รองมาคุยกับน้องสี่นะ”
หลังจากนั้นเอง พี่ชายรองก็มาหาโจวชิงไป๋
โจวชิงไป๋ชะงักไปเมื่อได้ยินดังนี้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ในอำเภอมีงานช่างไม้อยู่ครับ ที่นั่นมีโรงงานแปรรูปไม้อยู่ ถ้าเซี่ยเซี่ยอยากไปผมจะไปคุยเรื่องนี้กับสหายในกองทัพให้นะครับ”
“ได้สิ ได้” พี่ชายรองเอ่ยซ้ำ ๆ
“แต่ทำไมพี่ถึงอยากส่งเซี่ยเซี่ยไปเรียนเป็นช่างไม้ล่ะครับ?” โจวชิงไป๋ถาม
“สะใภ้สี่เสนอมาน่ะ” พี่ชายรองตอบ
โจวชิงไป๋รู้สึกประหลาดใจ เขาจึงกลับมาถามเรื่องนี้กับภรรยา
หลินชิงเหอจึงบอกความจริงกับเขา “การเป็นช่างไม้นี่ค่อนข้างก้าวหน้านะคะ”
อีก 1 ปีก็จะเป็นปี 1979 ซึ่งการเป็นเด็กฝึกงานต้องใช้เวลานาน ยิ่งกว่านั้นตอนนี้โจวเซี่ยอายุเท่าไรแล้วล่ะ?
จึงเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่จะให้เขาไปที่โรงงานแปรรูปไม้เพื่อหาอาจารย์ผู้สอนและเรียนรู้ทักษะงานฝีมือ
ส่วนเรื่องในอนาคตไว้ค่อยคุยกันทีหลัง แต่ไม่อาจปล่อยให้เขากลายเป็นคนว่างงานและทำงานในสิ่งที่เรียกว่าเก็บแต้มค่าแรงได้หรอก ปีหนึ่ง ๆ เขาจะได้เงินสักเท่าไรกันเชียว? ในไม่ช้ามันจะมีระบบสัญญาว่าจ้างงานแล้ว
หลินชิงเหอรู้สึกว่าจนกระทั่งถึงปี 1990 อาชีพช่างไม้ก็ยังไม่หายไปไหนไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ตาม แต่แน่นอนว่าพวกเขาต้องสามารถจัดการอาชีพของพวกเขาได้
เส้นทางถูกปูไว้ให้แล้ว ส่วนที่เหลือย่อมขึ้นกับโจวเซี่ยที่จะใช้สมองของเขาใคร่ครวญ
หรือเปลี่ยนอาชีพ หรือไม่ก็ตั้งกิจการขึ้นมาเอง
เป็นเพราะเรื่องนี้เอง โจวชิงไป๋จึงเดินทางไปยังกรมตำรวจประจำอำเภอเพื่อไถ่ถามสหาย ซึ่งสหายในกรมของเขาก็มาดูงานที่โรงงานแปรรูปไม้กับเขาด้วยตัวเอง และพบว่าพวกเขากำลังมองหาเด็กฝึกงานอยู่
โจวชิงไป๋พูดถึงเรื่องนี้เมื่อกลับมาถึง ตอนนี้ช่างเป็นเวลาเหมาะเจาะนัก หากโจวเซี่ยอยากไป เขาก็จะต้องไปที่นั่นในทันทีที่ถึงวันที่ 1 กรกฎาคมปีหน้า
ที่โรงงานแปรรูปไม้มีอาหารและที่อยู่อาศัยให้ การเป็นเด็กฝึกงานในปีแรกจะต้องทำงานจิปาถะทั่ว ๆ ไปก่อน เมื่อขึ้นปีที่สองพวกเขาถึงจะได้ช่วยงาน มีเพียงปีที่สามเท่านั้นที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ทักษะงานช่างไม้อย่างแท้จริง ซึ่งตอนนี้โจวเซี่ยยังเด็กเกินไป
หลังจากนั้น 3 ปีเขาจะมีอายุเท่าไรกัน?
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญหรอก แค่ไปที่นั่นและฝึกฝนวิชาก็ถือว่าถูกทางแล้ว
ที่นี่ไม่มีค่าแรงให้ เพราะมีอาหารและที่พักให้อยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่ได้เพิ่มค่าแรงหรือแต้มค่าแรงให้ครอบครัว อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดอาหารของครอบครัวไปได้
ทั้งพี่ชายรองกับสะใภ้รองรู้สึกว่าการฟังหลินชิงเหอพูดคือเรื่องที่ถูกต้อง
“อาสนับสนุนเซี่ยเซี่ยนะ แต่ถ้าเซี่ยเซี่ยไปถึงที่นั่นแล้ว หนูต้องสังเกตเรียนรู้ให้มากกว่าคนอื่น ๆ ไม่ใช่แค่ฝีมือของอาจารย์ช่างทั้งหลาย แต่รวมไปถึงการที่อาจารย์ช่างมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย หนูต้องรู้ว่าเครื่องเรือนไม้ที่นิยมในยุคอดีตเป็นแบบไหนบ้าง เพราะในอนาคตรูปแบบของมันจะเปลี่ยนไป เรื่องพวกนี้หนูต้องเรียนรู้อย่างละเอียดและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การเรียนรู้ไม่มีจุดสิ้นสุดหรอก หนูจะต้องไม่ก้าวร้าวอวดดี ต้องให้ความเคารพอาจารย์ เขาถึงจะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้หนู”
“ผมจะทำตามนั้นครับ!” โจวเซี่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“เมื่อหนูโตขึ้นและอยากเริ่มต้นธุรกิจด้วยตัวเอง หนูต้องบอกอาจารย์ให้รู้ล่วงหน้าก่อนนะ อาสะใภ้สี่จะสนับสนุนหนูถ้าหนูคิดจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยตัวเองในทันทีที่สำเร็จการเรียนวิชาชีพแล้ว” หลินชิงเหอบอก
โจวเซี่ยหัวเราะ “ผมยังไม่ได้เรียนเลยครับ รอจนกว่าผมจะได้เรียนรู้ก่อนนะครับ ถ้าผมเรียนจบแล้วผมค่อยตัดสินใจ”
หลินชิงเหอพยักหน้า “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปล่ะ ถ้าหนูไม่สามารถเรียนรู้ได้และกลับมาที่บ้านเกิด ก็ยังมีโอกาสทำเงินอีกหลายอย่างรอหนูอยู่นะ”
“มีทางที่จะทำเงินทางไหนบ้างเหรอครับ?” โจวเซี่ยถาม
“เรื่องนั้นค่อยคุยกันทีหลังจ้ะ” หลินชิงเหอโบกมือ
โจวเซี่ยเห็นด้วยและกลับบ้านไป
แม้เขาจะไม่อยากเรียนหนังสืออีกแล้ว แต่พูดตามตรงเขาก็ไม่อยากไปทำงานในทุ่งนาเหมือนกัน ตอนนี้เขากำลังรู้สึกปิติยินดีที่จะได้เรียนงานฝีมือช่าง
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามรู้เรื่องนี้แล้ว พวกหล่อนก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก
เพราะทั้งคู่วางแผนให้ลูกชายของตนเองได้เรียนหนังสือ ต่อให้พวกเขาไม่เข้าใจบทเรียนนักก็ต้องเรียนต่อ
ทั้งคู่มาหาที่บ้านพร้อมกับถั่วและงาอย่างละถุง พลางรู้สึกกระดากเล็กน้อยที่จะขอให้หลินชิงเหอสอนบทเรียนให้ลูก ๆ ของพวกหล่อน
หลินชิงเหอรับของไว้และเอ่ยตอบ “ให้พวกเขามาหาตอนแปดโมงครึ่งนะคะ แล้วฉันจะสอนพวกเขาให้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สิบโมงเช้าฉันต้องเตรียมทำกับข้าวแล้วค่ะ”
สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองมีความสุขที่ได้ยินดังนี้
สะใภ้ใหญ่ส่งโจวหยางลูกชายของหล่อนมา ขณะที่สะใภ้สามส่งอู่นีลูกสาวคนโตมาหา
คนที่เหลือถัดจากนั้นยังเล็กนัก พวกเขาจึงไม่ต้องได้รับการสอนพิเศษ เมื่อใดที่ลูกคนโตได้เรียนรู้วิชาแล้ว พวกเขาก็สามารถถ่ายทอดให้น้อง ๆ ได้
การได้เรียนกับสะใภ้สี่ผู้ได้รับคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยชั้นยอดของประเทศคงทำให้ผลการเรียนของพวกเขาดีขึ้นอย่างแน่นอน
หลินชิงเหอมองการบ้านของหลานชายและหลานสาวผ่าน ๆ แล้วก็รู้สึกสิ้นหวัง
พื้นฐานของพวกเขาธรรมดาเกินไป
แต่เนื่องจากเด็กทั้งคู่ขยันเรียน หลินชิงเหอจึงยังสอนพวกเขาอยู่
เธอสอนสองวิชาได้แก่คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ทั้งคู่ได้รับการสอนในระดับง่ายที่สุด อย่าประมาทพื้นฐานง่าย ๆ พวกนี้เชียว มันสามารถรับประกันได้ว่าเด็กทั้งคู่จะได้เลื่อนชั้นสูงขึ้นได้
โจวชิงไป๋ไม่รู้สึกอะไรมากนักกับการช่วยให้โจวเซี่ยได้รับคัดเลือกเป็นเด็กฝึกงานช่างไม้ แต่เขารู้สึกทนอยู่ไม่ได้เมื่อเห็นหลานชายกับหลานสาวมาหาที่บ้านและยุ่งอยู่กับภรรยาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งในทุกวันแบบนี้
ภรรยาของเขากว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่บ้านก็ยากแล้ว การกลับมาบ้านหนึ่งครั้งเธอจะมีเวลาอยู่ได้สักกี่วันกัน?
เขารู้สึกว่าเวลาช่างไม่เพียงพอ และในทุกวันเด็ก ๆ พวกนี้ก็มาก่อกวนอยู่เรื่อย
เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น ทุก ๆ วันหลินชิงเหอจะฝากการบ้านไว้ให้พวกเขาและเอ่ยเตือนให้พวกเขาทำให้เสร็จ เธอเองก็ให้ลูกชายคนโตช่วยทำเครื่องหมายเนื้อหาจุดสำคัญให้พวกเขาได้นำไปทบทวน เพื่อที่พวกเขาจะได้จำได้ จากนั้นเธอจะมาตรวจด้วยตัวเอง
วันหยุดฤดูหนาวอันแสนผ่อนคลายนี้จึงไม่ใช่เวลาที่น่าผ่อนคลายสำหรับโจวหยางและอู่นีเลย
หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่สะใภ้สามยังให้ลูกสาวคนโตเรียนต่อ เนื่องจากลูกสาวคนโตของสะใภ้ใหญ่ไม่ได้เรียนต่อแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงอู่นีผู้เป็นลูกสาวของบ้านโจวเท่านั้นที่ได้เรียน ซึ่งหล่อนมีพรสวรรค์ในระดับกลาง ผลการเรียนของหล่อนจึงอยู่ในระดับกลาง หล่อนเรียนซ้ำชั้นหนึ่งปีในขณะที่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้า แต่หลังจากนั้นที่เจ้ารองมาสอน หล่อนถึงสามารถสอบผ่านและเลื่อนชั้นได้ ซึ่งปีหน้าหล่อนจะได้เรียนภาคการศึกษาที่สองของระดับมัธยมต้นปีแรก
แต่พื้นฐานความรู้ของหล่อนช่างย่ำแย่เหลือเกิน…
วันหยุดฤดูหนาวยังอีกยาวไกล เธอทำได้เพียงทบทวนบทเรียนให้หล่อนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ชิงไป๋ บ่ายนี้เราไปเดินเล่นบนภูเขากันดีไหมคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยเรื่องนี้กับสามีหลังกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วและเข้าไปนอนพักผ่อนในห้อง
…………………………………………………………………………………