ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 271 ชีวิตที่โชคดีหลังจากนี้
บทที่ 271 ชีวิตที่โชคดีหลังจากนี้
ผลการสอบของเจ้ารองยังมาไม่ถึง แต่ฝนระลอกใหญ่ก็ได้มาเยือนก่อนแล้ว
ฝนตกหนักอยู่ถึง 7 วันจึงหยุดตก พร้อมกับผลสอบของเจ้ารองที่ออกมา
ที่ 1 ของอำเภอ
ทั้งคะแนนคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษของเขาทิ้งห่างจากที่สองของอำเภอไปไกล ห่างกันถึง 50 คะแนน
ทั้งสมาคมโรงเรียนมัธยมปลายในอำเภอและทางโรงเรียนมัธยมต้นประจำตำบลต่างมอบทุนการศึกษาให้เขา
หลินชิงเหอยึดเงินทุนการศึกษานี้ไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเธอให้เจ้ารองนำไปจัดสรรใช้จ่ายด้วยตัวเอง
เจ้าสามเห็นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมา “พี่รอง พี่ซื้อลูกฟุตบอลให้ผมได้แล้วน่ะสิ!”
ลูกฟุตบอลลูกเก่ามีสภาพขาดเยินจนไม่สามารถเตะเล่นได้อีกแล้ว เขารู้สึกอยากได้ลูกฟุตบอลใหม่ใจจะขาด จึงพยายามเก็บเงินเพื่อที่จะซื้อมัน
เขามีเงินเก็บอยู่บ้าง อย่างเช่นก่อนที่แม่ของเขาจะเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็ให้เขาไว้ 3 หยวน ซึ่งเขาก็เก็บไว้ทั้งหมด
บางครั้งเขาก็เก็บขยะไปแลกเงินนิด ๆ หน่อย ๆ หลอดยาสีฟันสามารถแลกเป็นเงินได้เหมือนกัน แต่เขาก็เก็บได้ไม่มาก
“ไม่มีเงินแล้ว ฉันต้องเอาไปซื้อเครื่องเขียน แล้วยังจะเอาไปซื้อลูกบาสเก็ตบอลไว้เล่นเวลาอยู่ที่นั่นด้วย” เจ้ารองตอบ
“พี่มีเงินตั้งเยอะแยะนะ ผมต้องการไม่เยอะหรอก แค่ให้ผมสัก 10 หยวนก็พอ!” เจ้าสามยังคงยืนกราน
ท้ายที่สุด เจ้ารองก็ฝืนให้เงินกับน้องชายไป 5 หยวน เจ้าสามจึงนำเงินที่เขาเก็บสะสมไว้ไปหาแม่
หลินชิงเหอรับเงินไว้และเอ่ยตกลง “ครั้งหน้าแม่จะซื้อให้นะ”
เจ้าสามได้ยินก็พอใจ
แม้หลินชิงเหอจะไม่เข้มงวดกวดขันในเรื่องเงินทองกับลูกชาย แต่เธอก็ไม่ได้ใจดีมากเหมือนกัน หลาย ๆ ครั้งพวกเขาต่างถูกขอให้ใช้สมองของตัวเองหาวิธีสร้างรายได้
ตราบใดที่พวกเขาไม่ใช้วิธีหาเงินแบบทุจริต เธอก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
พวกเด็กผู้ชายต้องถูกเลี้ยงมาให้ลำบากเป็นเสียบ้าง
ในสายตาของคนในหมู่บ้าน เธอนับว่าเป็นแม่ที่ตามใจลูกคนหนึ่ง
เมื่อวันเวลาผันผ่านไป เจ้ารองก็เริ่มเรียนในระดับสูง
โรงเรียนมัธยมปลายตอนนี้กำลังเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิด ตอนที่เจ้ารองเข้าโรงเรียน มันเพิ่งจะเป็นวันที่ 15 สิงหาคมเท่านั้น
หลินชิงเหอพาเขาไปอยู่ที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมย ในตอนนั้นเธอก็นำเสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวมาให้เขา
“ปีหน้าแม่จะเอาพัดลมไฟฟ้ามาให้ใช้นะ” หลินชิงเหอบอก
“ไม่เป็นไรหรอกครับ อดทนอีกนิดเดียวผมก็จะจบแล้ว ผมเรียน 2 ปีเท่านั้นเอง แม่ไม่ต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นซื้อมันหรอกครับ” เจ้ารองไม่สนใจ
ในบรรดาลูกชายทั้งสาม เด็กคนนี้ดูเหมือนเธอมากที่สุดและยังเป็นคนที่ฉลาดที่สุดด้วย
หลินชิงเหอยิ้ม เธอไม่ได้ถกเถียงกับเขาในเรื่องนี้ หลังมาส่งของถึงบ้านของโจวเสี่ยวเหมย เธอก็พาเจ้ารองออกไปเดินเล่น
เจ้ารองไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับอำเภอนี้ แม้เขาจะไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก แต่ก็มาเยี่ยมพี่ชายคนโตตอนที่เขาเรียนอยู่ที่นี่อยู่บ่อย ๆ
บ้านของโจวเสี่ยวเหมยอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ใช้เวลาเดินไปราว 15 นาที เธอจึงปล่อยให้เจ้ารองได้เดิน
ครั้งนี้เธอร่วมกินอาหารที่บ้านของโจวเสี่ยวเหมยด้วย ซูต้าหลินทำอาหารได้อร่อยนัก เจ้าใหญ่เคยเอ่ยปากชมอยู่ตลอด แสดงว่าเงินค่าใช้จ่ายที่ให้เขาไปนั้นเพียงพอ
“คุณน้า เจ้ารอง!”
ทั้งแม่และลูกชายที่กำลังเดินเล่นอยู่ถึงกับหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากด้านหลัง
หลินชิงเหอกับเจ้ารองหันไปแล้วก็พบกับคนคุ้นเคยคนนั้น
เอ่อ นี่ไม่ใช่หานสวี้เจี๋ยหรอกเหรอ?
นับได้ว่าหลินชิงเหอเลิกระแวงต่อหานสวี้เจี๋ยไปนานแล้ว ลูกชายคนโตของเธอเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยและในอนาคตก็จะได้เข้าร่วมกองทัพ เขาจึงไม่เดินทางสายเดิมเหมือนชีวิตชาติที่แล้วอีก
ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย
“สวี้เจี๋ย” หลินชิงเหอรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหานสวี้เจี๋ย พระเอกของเรื่องเดิม
“พี่สวี้เจี๋ย” เจ้ารองเองก็ร้องออกมา
“คุณน้า เจ้ารอง พวกคุณมาที่นี่ได้ยังไงครับเนี่ย?” หานสวี้เจี๋ยเดินมาหาและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พรุ่งนี้เขาจะเริ่มเข้าเรียนแล้วน่ะ เราเลยมาเดินดูรอบ ๆ ให้คุ้นเคยกับสถานที่ก่อนไม่ได้เหรอ?” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
“ผมไม่ทันคิดเรื่องนี้เลยครับ ว่าปีนี้เจ้ารองกำลังจะเรียนชั้นมัธยมปลายปีแรกแล้ว” หานสวี้เจี๋ยนึกขึ้นมาได้ในตอนนี้
“เธอว่างกลับมาในปีนี้ไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอถาม
“ผมกลับมาทุกปีเลยครับ แล้วปีนี้โจวข่ายได้กลับมาไหมครับ?”
“เขาไม่ได้กลับมาหรอก กำลังสำรวจเมืองหลวงอยู่น่ะ เขาเคยบอกกับน้าอยู่นะว่าอยากจะมาหาเธอในเสิ่นหยาง”
ในฐานะพระเอกของเรื่องแล้ว เขาก็เก่งสมกับเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิ และยังได้รับคัดเลือกเข้ากรมตำรวจที่ดีที่สุดในเสิ่นหยางด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าหานสวี้เจี๋ยได้ดีเพราะครอบครัวของเขา
ในอนาคตเขาเองก็จะกลับมาที่บ้านเกิดของเขาด้วย
หากเขาดำเนินชีวิตเป็นปกติ เขาจะจบการศึกษาในปี 1981 และได้รับความไว้วางใจอย่างมากในช่วงการปราบปรามปี 1983 หลังจากนั้นเขาก็จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานและเป็นบุคคลมีเชื่อเสียงระดับเทศบาลเมือง
ต่อให้เป็นแค่ระดับเทศบาลเมือง แต่ก็ไม่ใช่ยศเล็ก ๆ เลย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นความสำเร็จที่เขาได้รับเมื่อมีอายุได้ 30 ปี หลังจากอายุ 30 ปีแล้ว เขาก็จะเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนสำคัญระดับมณฑลไป
หลินชิงเหอมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เธอรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์ท่วมท้นขณะเอ่ยขึ้น “โจวข่ายจะเข้ากรมทหารในอนาคต ขณะที่เธอเองก็เชี่ยวชาญในด้านนี้เหมือนกัน พวกเธอช่างเป็นพี่น้องที่ดีกันจริง ๆ นะจ๊ะ”
พระเอกของเรื่องเป็นคนสุจริต พวกเขาคงติดต่อกันมากขึ้นได้ เด็กหนุ่มสูง 180 เซนติเมตรคนนี้ช่างยอดเยี่ยมไม่แพ้บุตรชายคนโตของเธอเลย
แต่หลินชิงเหอก็ยังหวาดหวั่นกับนางเอกของเรื่องที่ยังไม่ปรากฏตัว
เธอรู้สึกกลัวเป็นพิเศษเพราะหล่อนเป็นหญิงสาวเสน่ห์ร้ายกาจที่ดึงดูดทั้งลูกชายคนที่สามของเธอและพระเอกของเรื่อง เธอเลยไม่อยากให้มีปฏิสัมพันธ์กันใกล้ชิดเกินไปนัก
คงจะดีหากมีธูปเหลือให้จุดขออธิษฐาน
หานสวี้เจี๋ยหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ถ้าเขาออกจากกรมแล้ว ผมจะแลกจดหมายกับเขานะครับ”
เพราะยังมีอะไรบางอย่างต้องทำ พวกเขาจึงสนทนากันไม่นานนักก่อนที่เขาจะกลับไป
หลินชิงเหอปล่อยให้เขากลับไป หลังพาเจ้ารองเดินดูรอบโรงเรียนและสถานที่ใกล้เคียงแล้ว เธอก็มาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อลูกฟุตบอลให้เจ้าสาม
นอกจากนั้นเธอยังซื้อลูกอม 2 ห่อและให้เจ้ารองห่อหนึ่ง จากนั้นบอกให้เขานำไปแบ่งกับน้อง ๆ และเหลืออีกห่อหนึ่งให้เจ้าสาม
“ลูกจงเรียนให้หนักทุกวันเพื่อจะก้าวหน้านะ ตอนนี้แม่กลับล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางโบกมือ
“แม่กลับดี ๆ นะครับ” เจ้ารองโบกมือ จากนั้นก็กลับเข้าไปในบ้านของคุณอา
หลินชิงเหอมาถึงบ้านและให้ลูกฟุตบอลกับเจ้าสามพลางเอ่ยขึ้นว่า “แม่จะทิ้งลูกอมไว้ที่บ้านนะ ลูกไปหยิบมากินเองได้เลย”
“ทราบแล้วครับ” เจ้าสามตอบ เขากำลังจะวิ่งออกจากบ้านพร้อมกับลูกฟุตบอล
“ตอนนี้เขามีลูกบอลแล้ว ฉันล่ะกลัวว่าเขาจะไม่อยู่บ้านทั้งวันเลยจริง ๆ” ท่านแม่โจวเอ่ย
“พวกเขาโตขึ้นก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ เราเป็นแม่ก็ทำแค่เลี้ยงดูพวกเขา ไม่ต้องคอยกังวลไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ ปล่อยให้พวกเขาได้เดินบนเส้นทางที่เหลือด้วยตัวของพวกเขาเอง ถึงตอนที่พวกเขาต้องการเราก็จะมาหาเราเองแหละค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
แม้เธอจะรู้สึกอ่อนไหวกับเจ้าพวกหัวผักกาดเจ้าปัญหาที่เติบใหญ่ในชั่วพริบตาพวกนี้บ้าง แต่นี่ก็คือชีวิต
บางครั้งเมื่อรู้สึกมีอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา เธอก็จะระลึกถึงช่วงเวลาที่สวยงาม
ท่านแม่โจวยิ้มและเอ่ยขึ้น “คุณพ่อกับฉันเคยกังวลมากเกินไปจริง ๆ”
“กังวลว่าฉันจะผลาญเงินจนหมด? แล้วเด็กชายพวกนั้นจะไม่มีเงินไว้แต่งภรรยาในอนาคตเหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนั้นฉันเคยกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งฉันกับคุณพ่อเลยคิดที่จะหาเงินเก็บไว้ให้มาก ๆ ในตอนที่เรายังทำอะไรได้อยู่” ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม
“ตอนนั้นฉันเดาว่าจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะค่ะ แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ ฉันก็เลยไม่ได้พูดอะไร” หลินชิงเหออธิบาย
“ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นแล้ว ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก” ท่านแม่โจวเห็นด้วย
“อนาคตจะมีการพัฒนาดีขึ้นยิ่งกว่านี้นะคะ มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณแม่กับคุณพ่อต้องดูแลสุขภาพให้ดี ๆ นะคะ แล้วจะได้มีความสุขกับชีวิตที่โชคดีหลังจากนี้” หลินชิงเหอเอ่ย
……………………………………………………………………………………