ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 291 ถือเป็นพ่อทูนหัว
บทที่ 291 ถือเป็นพ่อทูนหัว
คุณลุงหวังผู้ไม่ขาดแคลนเงินทองกำลังนั่งกินเกี๊ยวอยู่ในหอสมุด
“พ่อเธอทำเกี๊ยวลูกใหญ่ขนาดนี้ได้กำไรมั่งไหมเนี่ย?” คุณลุงหวังถาม
“ป๊าบอกว่าเขาอยากให้ลูกค้าอิ่มท้องน่ะครับ ถึงจะทำเงินได้ไม่มากก็ไม่เป็นไร” โจวข่ายตอบ
“ร้านเป็นของเธอแล้ว งั้นไม่เป็นไรหรอก” คุณลุงหวังพยักหน้า
เพราะร้านค้าแห่งนี้เป็นของพวกเขาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มเติมอีก ไม่ว่าจะขายได้มากหรือได้น้อยก็ไม่เป็นไร ถือว่ามีงานให้ทำ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเบื่อจนเกินไป
คุณลุงหวังเองก็เป็นแบบนั้น
เขาไม่ได้ขัดสนเงินทอง แต่กลับมาช่วยงานบรรณารักษ์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เพื่อตัวเขาเองจะได้ไม่รู้สึกเบื่อเหงานัก
“คุณตากินให้อร่อยนะครับ ผมจะออกไปเล่นบาสล่ะ คุณตาไม่ต้องล้างกล่องให้นะครับ ผมจะเอากลับไปล้างทีหลัง คุณตาล้างคราบน้ำมันที่นี่ไม่ได้หรอก” โจวข่ายเอ่ยเตือน
“งั้นไปเถอะ” คุณลุงหวังพยักหน้า
โจวข่ายออกไปเล่นบาสเกตบอล ส่วนคุณลุงหวังก็กินเกี๊ยวในกล่องและดูเด็กคนนี้เล่นบาสเกตบอลไปด้วย
เขาเป็นชายหนุ่มเปี่ยมด้วยพลังกาย ไม่นานนักโจวข่ายก็กลับมาเก็บกล่องอาหารไป “คุณตา ผมกลับก่อนนะครับ”
“ฉันยังไม่ได้จ่ายเงินเลย” คุณลุงหวังเรียก
“ไม่ต้องให้เงินหรอกครับ คราวหน้าถ้าคุณตาไปเห็นหนังสือดี ๆ ก็ซื้อมาให้ผมแล้วกันครับ” คุณลุงหวังเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
ส่วนเรื่องที่คุณป้าหม่าแนะนำว่าให้รับคุณลุงหวังเป็นพ่อทูนหัว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ได้คุยถกกันในคืนนั้น
“คุณลุงหวังใจดีกับเจ้าใหญ่มากนะคะ เขามักจะนำหนังสือดี ๆ จากข้างนอกมาส่งให้กับเขาอยู่ตลอดเลยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยเจื้อยแจ้ว
เขาปฏิบัติกับเด็กชายราวกับหลานคนหนึ่งเลยทีเดียว
เขาทำให้เรื่องต่าง ๆ ของครอบครัวพวกเขาเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงถ่ายโอนสถานที่แห่งนี้ไปให้มหาวิทยาลัยก็เพื่อที่ครอบครัวของเธอจะได้มาอยู่อาศัยในที่แห่งนี้
และยังมีร้านเกี๊ยวอีกที่คุณลุงหวังช่วยเลือกให้พวกเขา
“ติดที่ว่าเขารวยออกปานนั้น คนทั่วไปจะพากันคิดว่าเราอยากเอาเปรียบเขาน่ะสิคะ” หลินชิงเหอบอก
การอยู่ห่างไกลบ้านเกิดแบบนี้ มีญาติสักคนในเมืองหลวงก็น่าจะดีมากทีเดียว
“เราคอยดูต่อไปแล้วกัน” โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไร
เขาเจอคุณลุงหวังแล้ว ช่วงแรกที่เปิดร้าน คุณลุงหวังก็มาหาบ่อย ๆ
เรื่องที่นับถือชายชราเป็นพ่อทูนหัวถูกพับเก็บไป
วันเวลาผ่านไปตามปกติ แต่ทันทีที่คิดถึงหนี้บุญคุณที่มีต่อคุณลุงหวัง หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้หากว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับเขา
คุณป้าหม่าเคยบอกไว้แล้ว แต่หลังจากนั้นยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้เมื่อใด เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าเกิดคุณลุงหวังได้เป็นพ่อทูนหัวจริง เขาก็จะได้รับการคุ้มครองในวันข้างหน้า
พูดถึงความกังวลใจของหลินชิงเหอแล้ว เธอยังจะกังวลอะไรได้อีก? พวกเขาจะสนับสนุนเฒ่าหวังไปตลอดชีวิตของเขา เพราะสิ่งที่เฒ่าหวังทำให้กับเธอนั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว
แล้วเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ?
แต่ตอนนี้เธอยุ่งกับงาน จึงไม่มีเวลาไปตามหาคุณลุงหวัง
ยิ่งกว่านั้นคุณลุงหวังยังมาที่ร้านไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่เขาจะใช้เวลาอยู่ในหอสมุด จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมาคุณป้าหม่าถึงได้เห็นคุณลุงหวังออกมาเดินเล่น
“อ้า เฒ่าหวัง” คุณป้าหม่าเผยรอยยิ้มเมื่อเห็นคุณลุงหวัง
“ทำไมคุณมาล้างจานที่นี่ได้ล่ะ?” คุณลุงหวังไม่ได้มาที่นี่นานเหลือเกิน จึงไม่รู้ว่าคุณป้าหม่าได้รับเงินเดือนไป 1 เดือนแล้ว
“ฉันมาทำงานที่นี่ได้เดือนหนึ่งแล้วค่ะ” นับตั้งแต่ที่คุณป้าหม่าได้ทำงาน นางก็ดูร่าเริงขึ้นในทุกวัน
แม้ชั่วโมงทำงานจะดูยาวนาน แต่เวลาทำงานจริงที่ใช้ในหนึ่งวันกลับน้อยกว่า 3 ชั่วโมง
เมื่อทำงานเสร็จแล้วนางก็นั่งบนเก้าอี้ การช่วยล้างจานให้พวกเขาเป็นงานที่ง่ายมาก
เมื่อวานนี้เองคุณป้าหม่าก็เพิ่งได้รับเงินเดือนไป 20 หยวน ทำให้นางมีความสุขมาก
“ขนาดเกี๊ยวร้านนี้ใส่ไส้แน่นมากแล้วคุณยังจ้างคนได้อีกเหรอ” คุณลุงหวังเอ่ยหยอกโจวชิงไป๋
โจวชิงไป๋ยิ้มก่อนเอ่ยขึ้น “คุณลุงรับแตงกวาหรือมะเขือเทศดีครับ?”
“เอามะเขือเทศแล้วกัน” คุณลุงหวังเอ่ยขออย่างไม่เกรงใจ
โจวชิงไป๋หยิบมะเขือเทศที่ล้างใส่ตะกร้าเรียบร้อยแล้วยื่นให้กับชายชรา
คุณลุงหวังนั่งคุยกับคุณป้าหม่าอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่คุณลุงหวังกำลังจะไปนั่นเอง คุณป้าหม่าก็มาเรียกเขาไว้ “เฒ่าหวัง รอฉันก่อนสิ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” คุณลุงหวังถามอย่างงุนงง
“เฒ่าหวัง คุณเคยคิดที่จะเป็นพ่อทูนหัวของพ่อเสี่ยวข่ายไหมคะ?” คุณป้าหม่าเอ่ยเข้าประเด็น
“ใครเสนอเรื่องนี้น่ะ?” คุณลุงหวังอึ้งไปขณะจ้องมองคุณป้าหม่า
“ฉันนี่แหละค่ะ” คุณป้าหม่าตอบ “ฉันคิดว่ามันลงตัวดีนะคะ คุณกลายเป็นพ่อทูนหัวของพ่อเสี่ยวข่าย นับจากนี้ไปเสี่ยวข่ายกับน้อง ๆ ก็จะได้เป็นหลานชายคุณ”
คุณลุงหวังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่พอคุณป้าหม่าบอกแบบนี้หัวใจของชายชราก็บังเกิดความสนใจขึ้นมา
เขาปฏิบัติกับโจวข่ายเหมือนหลานชายแท้ ๆ คนหนึ่ง หากลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาในตอนนั้นไม่ได้หนีไปต่างประเทศ หลานชายของเขาก็คงมีอายุเท่านี้แล้ว
แต่นานมากแล้วก็ไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาถึงเขา
เขาได้ยินว่าเรือลำนั้นเหมือนจะอับปางกลางทะเล
คุณลุงหวังรู้ว่าลูกชายและลูกสะใภ้คงจะประสบเคราะห์ร้ายนั่นแล้ว ไม่อย่างนั้นเหตุใดผ่านมาหลายปีพวกเขาถึงไม่ส่งจดหมายกลับมาสักฉบับ?
“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะคะ? ฉันคิดว่ามันเข้าท่าเลยนะ แต่อาจารย์หลินเหมือนจะไม่ยอม หล่อนกลัวว่าคนอื่นหาว่าหล่อนคิดจะปอกลอกคุณน่ะค่ะ” คุณป้าหม่าอธิบาย
“ปอกลอกผมนี่นะ? หล่อนมีอนาคตก้าวไกลไร้ที่สิ้นสุดในฐานะอาจารย์ภาษาอังกฤษ แถมลูกชายทั้งสามยังมีเหตุผลและสามียังเป็นคนมีความรับผิดชอบแบบนี้น่ะเหรอ” คุณลุงหวังพูด
คุณป้าหม่าเห็นด้วย “นั่นไม่ถูกเหรอคะ? ถ้าคนทั้งคู่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ คุณก็จะได้มีคนมาดูแลในอนาคต ไม่ใช่แค่ฉันที่พูดแบบนี้นะคะ ต่อให้คุณยกสมบัติทั้งหมดให้พวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกค่ะ ไม่ให้คนที่จะดูแลคุณจนถึงบั้นปลายชีวิตแล้วจะยกให้ใครล่ะคะ?”
คุณลุงหวังพยักหน้า
จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอก แค่มีเงินเก็บเกิน 10,000 หยวน และได้ทำงานในหอสมุดกับมีบ้านพักที่มีลานบ้านหลังหนึ่งเท่านั้นเอง
“ถ้าคุณคิดว่าเข้าท่า ฉันก็จะไปคุยให้นะคะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะคะที่จะเป็นพ่อทูนหัวให้ใคร ถ้าคุณคิดดีแล้ว คุณก็มาบอกให้ฉันทราบนะคะ” คุณป้าหม่าพูดต่อ
“ตกลง” คุณลุงหวังพยักหน้าและเดินกลับไป
คุณป้าหม่าจึงเข้ามาในร้านและบอกเรื่องนี้กับโจวชิงไป่ “พ่อเสี่ยวข่าย ป้าคิดว่าเรื่องมีพ่อทูนหัวนับว่าเป็นเรื่องดีนะจ๊ะ ป้าได้ยินอาจารย์หลินพูดว่าเสี่ยวข่ายจะเข้ากองทัพในอนาคตไม่ใช่เหรอ? เฒ่าหวังมีเส้นสายอยู่เยอะนะ และยังเป็นสหายเก่ากับอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วย อนาคตข้างหน้าของคุณครูหลินก็จะพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุดทีเดียว”
“เรายังไม่คุยเรื่องนี้กันเลยครับ” โจวชิงไป๋ส่ายหน้า
“ป้ารู้ แต่อย่างที่ป้าบอกแหละว่าอาจารย์หลินกังวลเกินไป มันจำเป็นต้องกลัวว่าคนอื่นจะว่าอย่างไรด้วยเหรอ? ถ้าป้าเป็นเฒ่าหวัง ป้าก็จะเหลือตัวคนเดียวในครอบครัวป้า ใครที่ดูแลป้ายามแกชราก็จะได้รับสิ่งของของป้าในอนาคต เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ” คุณป้าหม่าเอ่ยโน้มน้าว
โจวชิงไป๋ยิ้มและเอ่ยตอบ “เรื่องนี้ยังอีกนานน่ะครับ คุณลุงหวังยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ คงไม่มีปัญหาหากเขาจะอยู่ต่ออีก 30 ปีหรอกครับ”
“ในช่วงหนุ่ม ๆ เขาได้รับความลำบากมามากแล้ว คงจะดีหากเขาอยู่ได้อีก 10 ปีน่ะ” คุณป้าหม่าส่ายหน้า
“แล้วคุณลุงหวังว่าอย่างไรกับเรื่องนี้เหรอครับ?” โจวชิงไป๋ถาม
“เฒ่าหวังจะแย้งอะไรได้ล่ะ เขาก็ดีใจน่ะสิ ป้าให้เขากลับไปคิดทบทวนเรื่องนี้แล้วน่ะจ้ะ” คุณป้าหม่าตอบ