ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 296 แสวงโชค
บทที่ 296 แสวงโชค
หลินชิงเหอสลัดความคิดของคนตระกูลจางออกจากใจในทันทีที่เธอหันหลังจากไป
ลูกชายทั้งสามคนที่เธอเลี้ยงดูมาไม่ได้โง่ หวังจะจับลูกชายของเธอน่ะเหรอ เธอไม่เปิดประตูให้หรอก แม้แต่หน้าต่างก็ไม่ให้เข้า
ทำตัวอ่อนแอบอบบางน่าสงสารแล้วมีประโยชน์อะไร? ไม่มีประโยชน์หรอก
หลินชิงเหอเตรียมใจเผื่อในตอนที่ลูกชายทั้งสามเลือกเดินเส้นทางของตัวเองแล้ว ส่วนคู่ครองของลูกชายนั้นเธอจะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจของพวกเขา
หากเธอไม่พอใจเธอก็จะพูด ถ้าพวกเขายังยืนกรานที่จะแต่งงานอยู่เธอก็จะไม่หยุดยั้งพวกเขา ในอนาคตทุกคนควรมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก
แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ พวกเขายังเด็กกันอยู่
หลินชิงเหอสวนทางกับคุณป้าหม่าพอดี ซึ่งคุณป้าหม่าเลิกงานแล้ว และกำลังจะกลับบ้านของนาง
“เสี่ยวข่ายให้ฉันมาบอกเธอตอนที่กลับถึงบ้านแล้วว่าอย่าอ่านหนังสือจนลืมเวลาอาหารน่ะจ้ะ” คุณป้าหม่ายิ้ม
“ท้องฉันร้องแล้วน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อมากนัก คุณป้าหม่ากลับไปยังบ้านของนางขณะที่หลินชิงเหอเดินไปร้านเกี๊ยว
ทั้งครอบครัวกินอาหารเย็นด้วยกัน
“ทางนี้ยังไม่มีพัดลมสินะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้น
ในวันอากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยจากการกินอาหารได้ เธอไม่ได้คิดว่าต้องมีพัดลมไฟฟ้ามาไว้ที่นี่เลย
“ครั้งหน้าเราก็ซื้อมาแล้วกันครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า
อากาศร้อนแบบนี้ช่างร้อนดีจริง ๆ จนเขาต้องใส่เสื้อกล้ามตอนทำเกี๊ยว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกร้อน ต้องมีพัดลมไฟฟ้ามาช่วยเป่าคลายความร้อนแล้ว
ส่วนลูกค้าที่มากินเกี๊ยวนั้นมากินแค่ชั่วขณะแล้วก็ไป ไม่จำเป็นต้องมีบริการเสริมอะไรหรอก มีพัดลมไฟฟ้าเป่าให้เหรอ? ไม่จำเป็นหรอก
“หลังกินเสร็จแล้วลูกสองคนทำความสะอาดนะ” หลินชิงเหอสั่งลูกชายทั้งสาม
วันนี้เฒ่าหวังไม่ได้มากินด้วย เพราะเขากินข้าวที่มหาวิทยาลัยแล้ว
หลังกินเสร็จแล้วเธอก็พาโจวชิงไป๋ออกจากร้านและขี่จักรยานไปที่จัตุรัสกลางเมืองเพื่อเดินเล่นกลางสายลมยามเย็น
“คุณคิดว่าเราควรพาคุณพ่อกับคุณแม่มาเมื่อไหร่ดีคะ?” หลินชิงเหอถาม
“ปีหน้าเราค่อยว่ากันเถอะครับ” โจวชิงไป๋บอก
พวกเขาเพิ่งเปิดร้านเกี๊ยวกันในปีนี้ แม้ธุรกิจจะไม่ถือว่าแย่ แต่ก็ยังไม่ลงตัวอย่างสมบูรณ์นัก
หลินชิงเหอพยักหน้า จากนั้นเธอก็เห็นคนคุ้นหน้าอยู่อีกฝั่งของจัตุรัส นั่นเฉินเสวี่ยไม่ใช่เหรอ? หล่อนกำลังเดินอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมาเดทกัน
เฉินเสวี่ยเองก็เห็นหลินชิงเหอด้วย หลังเหลือบมองวูบหนึ่งหล่อนก็เดินหนีไปพร้อมกับผู้ชายคนนั้นราวกับว่าไม่เห็นเธอ
“คุณรู้จักหล่อนเหรอ?” โจวชิงไป๋ถาม
“อดีตเพื่อนร่วมหอพักน่ะค่ะ แต่หล่อนย้ายออกไปภายหลัง” หลินชิงเหอตอบ
โจวชิงไป๋ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะเขาสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอไม่น่าจะดีนัก
แต่หลินชิงเหอก็พูดต่อ “ฉันไม่ได้รังเกียจอะไรหล่อนหรอกนะคะ ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกให้พวกเขาอยู่ตำแหน่งที่ตัวเองชอบมากกว่า แต่ไม่สามารถทำร้ายคนอื่นได้”
สิ่งที่เฉินเสวี่ยทำก็เพื่อทำให้ชีวิตหล่อนดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เข้าใจได้
แต่การกระทำของเฉินเสวี่ยไม่ต่างจากเจ้าของร่างเดิมเลย ซึ่งเรื่องนี้หลินชิงเหอรับไม่ได้จริง ๆ
การทอดทิ้งสามีและลูก ๆ เป็นการกระทำของคนที่ไม่ต่างจากคนไร้คุณธรรม ต่อให้คน ๆ นั้นจะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองในแง่มุมอื่น แต่พวกเขาก็ไม่เป็นที่ต้อนรับในหัวใจของหลินชิงเหอหรอก
หลินชิงเหอคาดคะเนว่าเฉินเสวี่ยจะต้องเสียใจในภายหลัง
โจวชิงไป๋ส่งเสียงเป็นการรับรู้ เขาไม่เอ่ยอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องของเฉินเสวี่ยและเปลี่ยนประเด็นไปพูดถึงเรื่องที่โจวข่ายจะเรียนจบในปีหน้า
“คุณลุงหวังบอกว่าเมื่อเขาเรียนจบ เขาควรจะไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 2 ปีก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าประจำการในกองทัพน่ะ” โจวชิงไป๋บอก
“ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลยค่ะ คุณตัดสินใจว่าอะไรที่ดีที่สุดและปล่อยให้เขาเลือกว่าจะไปทางไหนเถอะคะ” หลินชิงเหอบอก
“ที่คุณลุงหวังเสนอแนะมาก็ดีนะ ให้เขาไปเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารอีก 2 ปี หลังจากออกมาแล้วเขาก็มีอายุ 19 ปีพอดี” โจวชิงไป๋บอก
เขามาจากกองทัพ จึงรู้ว่าความต้องการวุฒิการศึกษาของกองทัพนั้นไม่ได้ต่ำต้อยเลย โจวชิงไป๋รู้ว่าวุฒิการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นหากเขาต้องการก้าวหน้าได้สูงและไกลในอนาคต
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร 2 ปี ก็น่าจะพอแล้วสำหรับเจ้าใหญ่
หลินชิงเหอเอ่ยเรื่องความใฝ่ฝันของสามพี่น้องให้เขาฟัง “ฉันกลัวว่าในอนาคตเราจะต้องยกกิจการร้านเกี๊ยวให้เจ้าสามดูแลน่ะสิคะ”
เธอรู้ว่าลูกชายคนโตอยากเข้าร่วมกองทัพ เขาต้องการแบบนั้นเสมอ
หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่รู้ว่าลูกชายคนรองอยากเป็นอาจารย์ เนื่องจากเธอรู้สึกว่าลูกชายคนรองเหมาะที่จะทำธุรกิจมากกว่า
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักหากลูกชายคนที่สามอยากทำธุรกิจ อย่างไรเสียเด็กตัวเหม็นนี่ก็เข้าสังคมเก่ง เขาสามารถสนทนากับใครก็ได้ เป็นทักษะทางสังคมที่เขาสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องมีอาจารย์สอน ซึ่งเขาคงเข้ากับคนอื่นได้ในอนาคต
“ให้เขาเริ่มธุรกิจของตัวเองเถอะ ส่วนร้านของเราก็เก็บไว้เลี้ยงเราตอนแก่เฒ่า” โจวชิงไป๋เอ่ย เขาไม่มีแผนการแบบนั้น
หลินชิงเหอมองเขาแล้วก็ยิ้ม “คุณวางแผนจะขายเกี๊ยวไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ? ไม่ได้หรอกค่ะ ทุกวันหยุดหน้าร้อนกับวันหยุดหน้าหนาว เราทั้งคู่จะต้องไปเที่ยวเล่นตามภูเขาและแม่น้ำนะคะ เราไม่มีเวลาทำเรื่องนั้นหรอก ดังนั้นยกธุรกิจร้านให้เขาดูแลน่ะดีแล้วค่ะ”
“อืม” โจวชิงไป๋ตอบด้วยสายตาอบอุ่น
ทั้งคู่ไปซื้อไอศกรีมอีกครั้ง มันช่างเย็นชื่นใจนัก พวกเขาไม่ได้กลับบ้านจนกระทั่งสามทุ่มจึงกลับมาถึง
สามพี่น้องกำลังดูทีวีอยู่ เมื่อเห็นคู่สามีภรรยากลับมาถึงพวกเขาก็เอ่ยทัก “กลับมาจากเดทกันแล้วเหรอครับ?”
“ถ้าลูกอิจฉา หาแฟนสักคนไว้ก็ได้นะ” หลินชิงเหอบอก
“ม้า ม้ายอมรับให้เรามีความรักวัยรุ่นกันแล้วเหรอครับ?” โจวเฉวี่ยนถามอย่างประหลาดใจ
“ยอมรับแล้วน่ะสิ ป๊ากับม้าอยากจะอุ้มหลานแล้ว รีบมีความรักแล้วมีลูกสักสองสามคนให้เราเล่นด้วยนะ” หลินชิงเหอบอก
“พี่ใหญ่ ขึ้นอยู่กับพี่แล้วล่ะ!” โจวกุยหลายเอ่ย
โจวข่ายไร้ซึ่งคำพูดไปก่อนจะเอ่ยตอบ “ฉันไม่สนใจเรื่องส่วนตัวนี้จนกว่าจะถึงอายุ 25 น่ะ พวกนายสองคนมีกันก่อนเลย”
“ 25?” โจวชิงไป๋เหลือบมองเขา เห็นชัดว่าไม่ค่อยพอใจนักกับการที่ลูกจะหาคู่ครองตอนอายุเท่านี้
“แก่ไปแล้วพี่ ตอนที่ป๊าอายุ 25 พวกเราสามคนก็เกิดกันแล้วนะ” โจวเฉวี่ยนบอก
“ใช่แล้วล่ะ” โจวกุยหลายพยักหน้าเช่นกัน
หลินชิงเหอนำจานใส่ผลไม้ออกมา ทั้งครอบครัวต่างหยิบกินขณะดูทีวี จนกระทั่งถึงเวลาเกือบสามทุ่มครึ่งพวกเขาจึงปิดทีวีและเข้านอน
ชีวิตที่บ้านช่างสะดวกสบายและลงตัวนัก
หลินชิงเหอมีกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เช่นเดียวกับโจวชิงไป๋ ส่วนเด็ก ๆ ทั้งสามก็ปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงได้ดี
กล่าวถึงทางฝั่งครอบครัวตระกูลโจว
ขณะที่ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวกำลังกินอาหารกันอยู่ โจวลิ่วนีก็มาหา
“ลิ่วนีมาแล้วเหรอ หนูกินอะไรมาหรือยังล่ะ?” ท่านแม่โจวถามตามปกติ
“ยังไม่ได้กินเลยค่ะ” โจวลิ่วนีตอบ สายตาก็มองไปที่ไข่คนบนโต๊ะ
คู่สามีภรรยาชราทำอาหารพอดีกินสำหรับสองคน แต่พอได้ยินว่าหล่อนยังไม่ได้กินอะไร พวกเขาก็ให้หล่อนร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“คุณปู่คะ คุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่อยู่เมืองหลวงแล้วเป็นยังไงบ้างคะ? ร้านเกี๊ยวต้องขายดีมากแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ?” โจวลิ่วนีเอ่ย
“ที่ร้านเกี๊ยวน่ะไม่ได้ขายอะไรผิดแปลกจากชาวบ้านเขาเลย จะถือว่ากิจการดีได้ยังไงล่ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ย
“คุณย่าคะ ไม่ใช่ว่าคุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่มีชีวิตที่ดีในเมืองหลวงแล้วทิ้งคุณย่าไปแล้วเหรอคะ?” โจวลิ่วนีเอ่ยต่อ
“หนูพูดอะไรน่ะ? คุณอาสี่กับอาสะใภ้สี่กตัญญูหรือเปล่าพวกปู่พวกย่าจะไม่รู้เหรอ?” ท่านแม่โจวเอ่ยอย่างไม่พอใจที่ได้ยินดังนี้
“ถ้างั้นทำไมพวกเขาถึงไม่กลับมาในตอนหน้าร้อนนี้ล่ะคะ?” โจวลิ่วนีชี้ประเด็น
“พวกเขาเปิดร้านกันแล้วจะว่างมาหาได้ยังไง? ค่าเช่าร้านแต่ละเดือนก็แพงด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่พวกเขาบอกว่าจะกลับมาตอนปีใหม่นี่แหละจ้ะ” ท่านแม่โจวเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย
…………………………………………………………………………………