ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 349 เวลาของสองคน
บทที่ 349 เวลาของสองคน
โจวเสี่ยวเหมยเริ่มทำงานเป็นแม่ค้าแผงลอยแล้ว
หล่อนรู้ตัวว่าต้องสมถะ เพราะไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าของหล่อนจะขายได้หมดเกลี้ยงทุกวัน บางวันหล่อนขายได้มาก บางวันหล่อนขายได้น้อย แต่ไม่ว่าจะได้เงินมาไม่กี่เหมาหรือได้เยอะเป็นหยวนหนึ่ง หล่อนก็ยังดีใจอยู่ลึก ๆ อยู่ดี
ส่วนหู่จือกับโจวเอ้อร์นีต้องไปเรียนภาคค่ำทุกวัน
กลับกันกับสวี่เชิ่งเหม่ยที่ดูว่างงานมากกว่าใครเพื่อน หล่อนมักจะมาดูทีวีที่บ้านของคุณตาคุณยายทุกวัน
“คุณยายคะ คุณน้าเสี่ยวเหมยขายเสื้อผ้าที่ร้านริมถนนได้เงินเท่าไหร่เหรอคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม
“ราว ๆ หยวนหนึ่งน่ะ” ท่านแม่โจวตอบตามตรงเพราะได้ยินลูกสาวของนางพูดว่าอย่างนั้น
นางยังรู้สึกว่าสะใภ้สี่ช่างรู้จักดูแลเสี่ยวเหมยลูกสาวของนางเหลือเกิน ไม่มากไปและไม่น้อยไป ต่อให้หล่อนได้เงินมา 1 หยวนต่อวัน แต่มันก็เท่ากับ 30 หยวนต่อเดือน
เงินส่วนนี้ก็นับเป็นรายได้ได้เหมือนกัน
“คุณยาย น้องชายหนูมาไม่ได้จริง ๆ เหรอคะ? ต่อให้เขาไม่ได้ทำงานที่ร้าน เขาก็ขายเสื้อผ้าแบบน้าเสี่ยวเหมยได้นี่คะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ย
“ความคิดนี้ไม่เลวเลย แต่ไม่ว่าน้องชายหนูจะมาหรือไม่ก็อย่ามาถามยายในเรื่องนี้เลย หนูไปถามคุณน้าเถอะ” ท่านแม่โจวเอ่ย จากนั้นนางก็เอ่ยต่อ “จริงสิ ทั้งเอ้อร์นีกับหู่จือพากันไปเรียนภาคค่ำทั้งคู่ ทำไมหนูไม่ไปเรียนกับเขาบ้างล่ะ เชิ่งเหม่ย?”
“หนูอ่านหนังสือไม่ออกน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหมยบอก
“งั้นหนูก็ถามพี่เอ้อร์นีเสียสิ เรียนรู้จากหล่อนซะ คุณน้าของหนูยุ่งมาก ไม่มีเวลามาสอนหนูหรอก หนูเรียนจากเอ้อร์นีกับหู่จือแล้วก็ฟังที่คุณน้าบอก เรียนหนังสือไว้ไม่มีอะไรเสียหายหรอก” ท่านแม่โจวเอ่ย
“หนูต้องเรียนหนังสือให้เยอะกว่านี้นะ!” ท่านพ่อโจวเอ่ยอย่างเห็นด้วย
เฒ่าหวังเป็นคนพาสองผู้เฒ่าเดินชมมหาวิทยาลัยปักกิ่งจนทั่ว
สำหรับผู้เฒ่าทั้งสองที่เป็นคนชนบทแก่ ๆ จากยุคก่อนแล้ว การได้เดินไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศทำให้พวกเขารู้สึกราวกับเหาะได้ทีเดียว
คำพูดดั้งเดิมที่มาจากปากเฒ่าหวังก็คือ “วิชาความรู้เปลี่ยนชะตาชีวิตได้ การเรียนรู้และกระบวนการเป็นสิ่งจำเป็น ตอนนี้สังคมกำลังก้าวหน้า สิ่งอื่น ๆ อาจเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความรู้ที่พวกคุณเรียนมาจะอยู่ติดตัวพวกคุณและไม่มีวันสูญเสียมันไปชั่วชีวิต”
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวที่เรียนหนังสือมาได้ไม่กี่วันเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างสุดหัวใจ
พวกเขาไม่เข้าใจประโยคที่เหลือก็จริง แต่กลับเข้าใจในประโยคที่ว่า “วิชาความรู้ที่เรียนมาจะอยู่ติดตัว และไม่มีวันสูญเสียมันไปชั่วชีวิต”
ดังนั้นเมื่อทั้งสองรู้ว่าสะใภ้สี่จัดแจงให้หลานชายกับหลานสาวได้ไปเรียนหนังสือภาคค่ำ ทั้งท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวต่างรู้สึกยินดี
“หนูรู้ว่าต้องเรียนหนังสือค่ะ แต่แม่ของหนูไม่ได้สนับสนุนให้หนูเรียน หู่จือกับพี่เอ้อร์นีก็เคยไปโรงเรียนแล้วทั้งคู่ ตอนนี้หนูเลยเรียนไม่รู้เรื่องไปแล้ว” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบ
“ค่อย ๆ เรียนรู้ไปแล้วหนูจะเข้าใจเองนะจ๊ะ” ท่านแม่โจวพูด “คุณน้าของหนูเองก็เคยเรียนหนังสือเองมาก่อนเหมือนกัน ดูหล่อนตอนนี้สิว่าเฉิดฉายขนาดไหน? หล่อนได้บรรจุเป็นอาจารย์ในสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่งเชียวนะ”
เมื่อนางกับสามีชราเดินเล่นกับเฒ่าหวังรอบ ๆ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง พวกเขาก็ได้ไปเห็นสะใภ้สี่ในชั้นเรียน เธอกำลังยืนอยู่ตรงแท่นบรรยายและพูดภาษาต่างประเทศอยู่ เป็นภาพที่ดูแล้วเจริญตานัก
ท่านแม่โจวไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้หน้ามากขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย
“คุณยายหวังในตัวหนูสูงเกินไปแล้วค่ะ จะต้องเดินทางกี่ลี้หรือคะถึงจะตามคนแบบคุณน้าทันได้?” แม้สวี่เชิ่งเหม่ยจะหวาดกลัวคุณน้าอยู่นิดหน่อย แต่หล่อนก็ต้องยอมรับว่าคุณน้าของหล่อนเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถเหนือผู้หญิงทุกคนที่หล่อนเคยเห็นมา
เธอเปิดร้านเสื้อผ้าเล็ก ๆ ขึ้นมาอีกแห่งและจ้างคนงานพร้อม ๆ กับเปิดโรงงานเสื้อผ้าเล็ก ๆ แถมยังเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยปักกิ่งอีกด้วย คน ๆ หนึ่งทำไมถึงทำอะไรได้มากมายขนาดนี้?
“คุณน้าชิงไป๋ของหนูโชคดีแล้วจ้ะ” ท่านแม่โจวยิ้มกริ่ม
ลูกชายคนเล็กของนางช่างมีบุญนักที่ได้แต่งงานกับภรรยาแบบนี้ เขาไม่มีเรื่องอะไรต้องกังวลแล้ว
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก หล่อนยังอยากทาบทามน้องชายของตัวเองให้ และรวมถึงน้องสาวของหล่อนด้วย
ชีวิตที่นี่ช่างดีเหลือเกิน จนชีวิตในชนบทไม่อาจเทียบได้เลย
ยิ่งกว่านั้นแม่ของหล่อนยังตัดเย็บเสื้อผ้าเป็น ถ้าหล่อนได้มาที่นี่ หล่อนก็คงจะได้ช่วยงานที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ นั่น
แต่สิ่งเหล่านี้หล่อนทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ ไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
ก่อนถึงสามทุ่ม โจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินก็กลับมา
“ที่นี่อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว กิจการจะเริ่มซบเซาลงไหม?” ท่านแม่โจวถาม
“พี่สะใภ้สี่บอกว่าเธอจัดเสื้อบุฝ้ายของผู้ชายมาล็อตหนึ่งแล้ว กิจการคงไม่แย่นักหรอกค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยตอบอย่างอารมณ์ดี
ที่แน่ ๆ คือเป็นเรื่องดีแล้วที่จะติดตามพี่สะใภ้สี่ของหล่อน
กิจการคืนนี้นับว่าดีกว่าเดิม หล่อนทำเงินได้มากกว่า 1 หยวนเลยทีเดียว
“ต้าหลิน พรุ่งนี้อย่าเพิ่งไปเร่ขายของเลยนะคะ พาคุณพ่อคุณแม่ของฉันไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำกันเถอะ” โจวเสี่ยวเหมยบอก
“ครับ” ซูต้าหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“คุณน้าคะ พรุ่งนี้หนูไปพร้อมกับคุณน้าและคุณยายได้ไหมคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม
“ได้สิ มากินข้าวเช้าที่นี่แล้วเราจะออกไปกันตอนหกโมง ถ้าถึงแล้วก็ถามคุณน้าสะใภ้สี่นะว่าหล่อนจะมาด้วยไหม” โจวเสี่ยวเหมยตอบ
สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้า
เด็กสาวจะมานอนที่นี่เป็นส่วนใหญ่ บ้านนี้มีห้องอยู่หลายห้อง และหล่อนจะเลือกนอนในห้องเรียนเพียงลำพัง
เช้าวันต่อมาหล่อนก็จะกลับไปที่ร้านเกี๊ยว
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือที่ร้านเกี๊ยวจะมีโจวเอ้อร์นีอยู่คนเดียว แต่หล่อนก็ไม่กลัวแต่อย่างใด ประตูร้านถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัวเลย
ถ้าให้ยอมรับแบบต้องขออภัยกันตรง ๆ ก็คือหล่อนรู้สึกมีความสุขกับการนอนคนเดียวมากกว่า เพราะไม่ต้องทำเป็นเมินกลิ่นเท้าเหม็นหึ่งของสวี่เชิ่งเหม่ยจากการที่หล่อนไม่ค่อยได้ล้างเท้าบ่อย ๆ หรือการต้องทำเป็นไม่ได้ยินเสียงละเมอตะโกนของหล่อนในยามหลับ
ร้านเสื้อผ้าผู้ชายของหลินชิงเหอได้รับการปรับปรุงใหม่จนเสร็จเพียง 3 วันเท่านั้น แม้จะตกลงกับหวังหยวนแล้วว่าของจะพร้อมส่งในอีกครึ่งเดือน แต่หลินชิงเหอก็ยังไปที่โรงงานและนำเสื้อผ้าบางส่วนกลับมาไว้ในร้าน
สินค้าหลังจากนั้นจะถูกส่งตามมาทีหลัง
กิจการร้านเสื้อผ้าผู้ชายไม่ได้ดีเท่ากับเสื้อผ้าผู้หญิง แต่ก็ไม่นับว่าแย่เหมือนกัน ในวันแรกที่เปิดร้าน เธอก็ขายเสื้อบุฝ้ายไปได้ 13 ตัว ส่วนวันที่สองขายได้มากกว่าเดิมเล็กน้อยเป็นเกือบ 20 ตัว
ธุรกิจนี้นับว่าค่อนข้างดี แต่ยังห่างไกลจากรูปแบบธุรกิจร้านเสื้อผ้าผู้หญิงที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากนัก
มันไม่ขาดทุนหรอก แค่จัดการให้ดีก็พอ
เมื่อโจวเสี่ยวเหมยรู้ว่าเสื้อบุฝ้ายมาส่งที่ร้านแล้ว หล่อนก็มาหาและขนเสื้อผ้าบางส่วนไปขายที่แผงลอยริมถนน และพี่สะใภ้สี่ก็ยอมให้หล่อนขายได้กำไร 5 เหมา
หล่อนขายอยู่จนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายนที่มีหิมะตก จึงไม่ได้ไปตั้งแผงลอยขายอีก
ในตอนนี้หล่อนก็ได้เห็นประโยชน์ของการเป็นเจ้าของกิจการแล้ว
หิมะที่ตกลงมาทำให้ธุรกิจสะดุดไม่มากก็น้อย ยอดขายของร้านค้าบางร้านตกลงมาบ้าง แต่ก็ยังพอไปได้อยู่
นาน ๆ ทีหลินชิงเหอจะมีโอกาสได้เลิกการเรียนการสอนเร็วในบ่ายวันนั้น เธอจึงมาหาโจวชิงไป๋ที่ร้าน “อยากไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำไหมคะ?”
โจวชิงไป๋เหลือบมองภรรยา เมื่อเห็นรอยยิ้มล้ำลึกของเธอ มุมปากของเขาก็โค้งขึ้นเช่นกันก่อนจะเอ่ยตอบ “รอให้เจ้ารองเลิกเรียนก่อนนะครับ”
เมื่อโจวเฉวี่ยนมาที่ร้านหลังเลิกเรียน โจวชิงไป๋ก็ส่งต่องานในร้านให้เขาและบอกให้พวกเขากินอาหารเย็นกันเอง
จากนั้นเขาก็กลับไปหยิบเสื้อผ้าที่บ้านกับภรรยาและเดินไปที่โรงอาบน้ำ
หลังอาบน้ำเสร็จ ทั้งคู่ก็มากินเป็ดย่างที่ภัตตาคารและใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“เรากินกันอิ่มแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้วค่ะ” หลินชิงเหอมองชิงไป๋ของเธอ
โจวชิงไป๋พยักหน้า เขาจ่ายเงินค่าอาหารและกลับบ้านพร้อมกับภรรยา คืนนั้นเองทั้งคู่ก็เข้านอนกันแต่หัวค่ำ
เมื่อโจวเฉวี่ยน หู่จือ กับคนอื่น ๆ ปิดร้านเสร็จเรียบร้อยก็กลับมาดูทีวีที่บ้านจนถึงสี่ทุ่ม จากนั้นพวกเขาก็เห็นโจวชิงไป๋เดินออกมารินน้ำแก้วหนึ่งผสมกับน้ำผึ้งก่อนจะถือแก้วกลับเข้าไปในห้อง
บรรดาเด็กหนุ่มทั้งสามต่างทำอะไรไม่ถูก