ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 384 แต่งกับคนอายุมากกว่าถึง 10 ปี
บทที่ 384 แต่งกับคนอายุมากกว่าถึง 10 ปี
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบทุกวันนี้ก็คือการไม่ต้องทนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับสะใภ้รองอีก
เมื่อมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ความอดทนของสะใภ้สามก็เริ่มจะหมดลง
อย่าว่าแต่หล่อนเลย กระทั่งคนใจเย็นอย่างสะใภ้ใหญ่ก็ยังทนสะใภ้รองไม่ไหว ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงได้รวบรวมอิฐเอาไว้ในปีนี้ล่ะ? พวกเขาวางแผนจะสร้างบ้านใหม่ระหว่างช่วงหยุดพักจากงานในทุ่งนาเพื่อที่ทั้งครอบครัวจะได้ย้ายบ้านออกไป
เป็นความจริงที่ว่า สาเหตุก็มาจากการที่พวกเด็ก ๆ เริ่มโตขึ้นทำให้มีห้องไม่เพียงพอด้วย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า เป็นเพราะว่าพวกเขาเข้ากับสะใภ้รองไม่ได้นั่นเอง
“ธุรกิจที่ร้านดีไหมคะ?” หลินชิงเหอถามยิ้ม ๆ
“เหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่เลวเลยจ้ะ” สะใภ้สามยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน
ถ้านี่เป็นคนอื่นแล้วละก็ 9 ใน 10 หน หล่อนจะต้องคร่ำครวญว่าพวกตนยากจนแค่ไหน และบอกไปว่าการทำธุรกิจอย่างนี้ไม่ได้กำไรอะไรเลย หาเลี้ยงตัวเองได้แทบไม่พอ แล้วก็จะมาบอกว่าขอยืมเงินหน่อยได้ไหม?
แต่นี่เป็นหลินชิงเหอ น้องสะใภ้ผู้ซึ่งไม่มีทางทำเช่นนั้น ดังนั้นการแสดงท่าทีแบบนั้นจึงไม่จำเป็น เพราะพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนอะไรเลย
“ฉันซื้อมอเตอร์ไซค์มาให้น้องชายของฉันด้วยค่ะ ต่อไปวันหน้าเวลาเดินทางระหว่างในเมืองกับชนบทคงจะง่ายขึ้นอีกมาก เขาสั่งจองรถไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนั้นพี่สะใภ้สามยังไม่ได้เปิดร้านที่นี่เลยค่ะ” หลินชิงเหอบอก
เธอจะไม่อธิบายในเรื่องที่ไม่ควรจะต้องอธิบาย ทว่า เรื่องที่ควรเอ่ยถึง ก็จะต้องเอ่ยให้ฟังด้วยสัก 2 ประโยค
“มอเตอร์ไซค์เหรอ?” นัยน์ตาสะใภ้สามเป็นประกาย
“อืม น้องชายกับน้องสะใภ้ของฉันก็ลังเลค่ะ แต่สุดท้ายพวกเขาก็เชื่อคำพูดของฉัน แล้วบอกให้ช่วยซื้อกลับมาให้ด้วยน่ะค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
“แพงมากไหมจ๊ะ?” สะใภ้สามถาม
“700 กว่าหยวนค่ะ” หลินชิงเหอตอบ
“700 กว่าหยวน?” สะใภ้สามตกใจ ไม่ใช่ราคาที่ถูกเลยจริง ๆ
“ถ้าราคามันถูก ฉันคงไม่ทนมองดูพี่สามขี่จักรยานอยู่อย่างนี้ แล้วก็คงต้องซื้อกลับมาให้เขาด้วยอีกคันหนึ่งแล้วละค่ะ แต่เพราะราคาแพงมาก ฉันเลยต้องมาถามความเห็นของพี่สะใภ้ก่อน น้องชายกับน้องสะใภ้ของฉันตอนแรกก็อิดออดเหมือนกัน ถ้าพี่สะใภ้สามต้องการซื้อ ค่อยโทรมาบอกฉันอีกทีก็ได้ค่ะ แต่เราคงยังซื้อให้ไม่ได้ในเร็ว ๆ นี้หรอกนะคะ ต้องรอช่วงนี้ของปีหน้า” หลินชิงเหอกล่าว
“อืมจ้ะ พี่ต้องคุยกับพี่สามของเธอก่อน ราคาออกจะแพงมากไปสักหน่อย” สะใภ้สามพูด
หลินชิงเหอยิ้มแล้วคุยเกี่ยวกับเรื่องมหาวิทยาลัยของอู่นี
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สะใภ้สามก็ฉีกยิ้มออกมา “ต้องขอบใจเธอในเรื่องนี้ด้วยนะจ้ะ อู่นีเล่าว่าตอนหล่อนทำโจทย์เลข เป็นแบบเดียวกันกับที่เจ้าสองเคยอธิบายให้หล่อนฟังเลย แล้วยังมีในส่วนของการฟังภาษาอังกฤษอีก ขาดอีก 3 คะแนนหล่อนก็จะได้คะแนนเต็มในส่วนนี้แล้ว ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเครื่องอัดเทปที่เธอให้มาแท้ ๆ เลย”
หลินชิงเหอยิ้ม “อู่นีกับหยางหยางกำลังจะได้ไปเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันในฐานะที่เป็นอาสะใภ้สี่ของพวกเขาก็พลอยได้หน้าไปด้วยนะคะ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอกค่ะ”
“ตอนนี้หล่อนคงจะอยู่ที่บ้านของเพื่อนร่วมชั้นนะจ๊ะ เพื่อนร่วมชั้นของหล่อนคนหนึ่งก็สอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน พวกหล่อนกำลังคิดถึงแต่เรื่องที่จะได้ไปเรียน พี่ก็เลยไม่ได้ไปห้ามอะไร” สะใภ้สามยิ้มกว้าง
นี่อธิบายได้ว่าทำไมอู่นีถึงไม่ได้อยู่ที่บ้าน หลินชิงเหอย่อมไม่ได้ถือสาอะไรในเรื่องนี้
“เธอจะกลับไปดูที่บ้านด้วยหรือเปล่าจ๊ะ?” สะใภ้สามถามขึ้นอีกครั้ง
“ต้องกลับไปค่ะ” หลินชิงเหอบอก
“ตอนที่กลับไป ถ้าบ้านสายสองพูดอะไรออกมา เธอก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกนะ” สะใภ้สามแนะนำ
“มีอะไรหรือคะ?” หลินชิงเหอเลิกคิ้ว
“ครั้งก่อนที่พี่กลับไปที่นั่น หล่อนมาพูดจากับพี่ด้วยน้ำเสียงพิกล ราวกับว่าพี่ไปติดเงินหล่อนไว้อย่างนั้นแหละ พี่ไม่ได้ไปทำอะไรให้หล่อนเลย” สะใภ้สามอธิบาย “อีกอย่าง เธอยังไม่รู้เรื่อง ว่าหล่อนจัดการงานแต่งชนิดไหนให้กับซานนี”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สะใภ้สามก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ซานนีได้หมั้นหมายแล้วเหรอคะ?” หลินชิงเหอก็ประหลาดใจมากเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร ซานนีอายุน้อยกว่าเอ้อร์นีแค่นิดเดียว อีกทั้งก็อยู่ในช่วงวัยที่แต่งงานได้แล้ว
“หล่อนจะแต่งงานตอนสิ้นปีนี้ละ” สะใภ้สามพยักหน้า
“หมั้นกับคนยังไงหรือคะ?” หลินชิงเหอถาม
หลินชิงเหอนั้นมองซานนีหลานสาวในแง่ดีมากโดยตลอด เด็กสาวคนนี้เป็นคนซื่อตรงและมีนิสัยคล้ายกับพ่อของหล่อน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หล่อนกลายเป็นคนเคร่งขรึมไม่มีชีวิตชีวา จนไม่พูดคุยอะไรเลย
แต่ก่อนก็ยังดีอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้กลายมาเป็นอย่างนี้
“หมั้นกับคนที่อายุมากกว่าหล่อนถึง 10 ปี แล้วก็ขากะเผลกนิดหน่อย พี่ได้ยินมาว่าเป็นคนอารมณ์ร้ายอีกต่างหาก” สะใภ้สามรู้สึกร้อนใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
แม้เป็นคุณอา หล่อนยังรับไม่ได้ แต่จะทำอะไรได้? คนเราสามารถเข้าจัดการเรื่องที่ดินได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปจัดการเรื่องการแต่งงานที่มารดาเป็นคนจัดหาให้กับลูกสาวของตนได้หรอก จริงไหม?
เมื่อได้ยินสถานะของฝ่ายชาย หลินชิงเหอก็ขมวดคิ้ว “ทำไมหล่อนถึงได้เห็นดีด้วยกับการแต่งงานนี้ล่ะคะ?
“ฝ่ายนั้นให้เงินมาเยอะเลยจ้ะ” สะใภ้สามตอบ
ในชนบทไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมายนัก แค่ให้ของขวัญเป็นเครื่องใช้สำคัญภายในบ้านก็พอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายชายก็ยังเต็มใจจะให้เป็นเงิน สำหรับหญิงสาวที่อายุยังน้อยคนนี้ เขายินดีให้เงิน 400 หยวนเป็นค่าสินสอด
ในช่วงเวลานี้ 400 หยวนนับว่าเป็นเงินสินสอดที่เยอะมาก ถือว่าเป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิงมาก ไม่เช่นนั้นจะมีเหตุผลอื่นใดอีกที่คนผู้หนึ่งจะยอมให้เงินสินสอดมากมายขนาดนี้?
ถึงกระนั้นก็ตาม สะใภ้สามรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี นับประสาอะไรกับหลินชิงเหอ
“นี่ไม่ใช่การขายลูกสาวหรอกหรือคะ?” หลินชิงเหอแสดงความเห็น
สะใภ้สามถอนหายใจ “พี่ให้พี่สามกลับไปถามพี่รองดูแล้ว เธอก็รู้ว่าพี่รองเป็นยังไง เขาไม่มีปากไม่มีเสียงในบ้านเลย”
หลินชิงเหอได้ยินอย่างนี้ก็หัวเราะเสียงแห้ง เธอเคยคิดว่าการมีอุปนิสัยอย่างพี่รองเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เธอก็ไม่เหลือความประทับใจดี ๆ ต่อพี่รองอีกต่อไป
นั่นเป็นลูกสาวของเขาเองแท้ ๆ การที่มีอายุมากกว่า 10 ปีและการมีขาพิการไม่ใช่ปัญหา แต่การที่เป็นคนอารมณ์ร้ายเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก
ในเมื่อสะใภ้สามสามารถสืบรู้มาได้ เรื่องก็คงไม่ผิดไปจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหากมีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงภายในครอบครัว?
ด้วยนิสัยของโจวซานนีแล้ว ถึงหล่อนจะถูกทุบตี ก็คงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
พี่ชายรองไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้เลยหรือ? บางทีเขาคงจะถูกเงินสินสอด 400 หยวนบดบังใจเอาไว้
“พี่ไม่สามารถมองการแต่งงานครั้งนี้เป็นเรื่องดีได้จริง ๆ ทางด้านฝ่ายชายคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนี้เงินสินสอดก็มอบให้กันแล้ว ซานนีคงจะแต่งงานในช่วงหยุดพักงานในทุ่งนาปีนี้ละจ้ะ” สะใภ้สามส่ายหน้า
หลินชิงเหอขมวดคิ้ว ทว่าเธอเองก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ได้ น้องสะใภ้ก็เป็นแค่น้องสะใภ้ ผู้อื่นมีสิทธิ์อะไรถึงจะสามารถห้ามไม่ให้พวกเขาจัดงานแต่งให้กับลูกสาวของตนเองได้?
โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายชายให้เงินถึง 400 หยวนเป็นค่าสินสอด นี่นับว่าเป็นการแสดงความจริงใจที่มากพอแล้ว
“อย่าคุยกันถึงเรื่องนี้อีกเลย ปีนี้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะสร้างบ้านใหม่แล้ว ครอบครัวของพวกเราก็มีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งเหมือนกัน พี่กำลังคิดอยู่ว่าควรจะสร้างบ้านใหม่ไหม?” สะใภ้สามเอ่ยขึ้น
พวกเขาหาเงินได้มามากในปีนี้ ฉะนั้น การสร้างบ้านหลังใหม่จึงไม่ใช่ปัญหา
“พอสร้างเสร็จ พี่ก็ไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นหรอกค่ะ จะได้กลับไปอยู่ที่นั่นก็แค่ไม่กี่วันในช่วงปีใหม่เท่านั้นเอง ซื้อบ้านสักหลังในเมืองดีกว่าค่ะ อาศัยอยู่ที่บ้านเสี่ยวเหมยไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว” หลินชิงเหอกล่าว
“พี่ก็มัวแต่มาเล่าเรื่องเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ของที่บ้านจนยังไม่ได้ถามถึงน้องสามีกับน้องเขยเลย? แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะเป็นยังไงบ้างจ้ะ?” สะใภ้สามถามขึ้น
“ทุกคนสบายดีค่ะ อยู่ที่นั่นกันอย่างปลอดภัย” หลินชิงเหอพยักหน้า
“ดีแล้วละจ้ะ” สะใภ้สามตอบรับแล้วกลับมาพูดเรื่องซื้อบ้านในเมืองกันต่อ ในความคิดของหล่อนและพี่ชายสาม การที่พวกเขาไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเมือง จะสามารถวางใจได้หรือหากจะซื้อบ้านอยู่ในเมือง?
“ไม่น่าวางใจอะไรกันคะ? มันก็เหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย น้องชายของฉันก็วางแผนจะซื้อบ้านเหมือนกัน” หลินชิงเหอกล่าว
สะใภ้สามพยักหน้ารับรู้อยู่ในใจ
………………………………………………………………………………….