ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 401 รับรู้
บทที่ 401 รับรู้
การไปที่ไห่หนานและหาบ้านแบบวิลล่า 2-3 ชั้นเอาไว้เพื่อใช้เป็นที่พักเช่นนี้ ต่อให้ในอนาคตลูกชายทุกคนของเธอแต่งงานกันไปแล้ว ก็ยังสามารถไปพักอยู่ที่นั่นร่วมกันได้ทั้งหมด
หลินชิงเหอรู้สึกว่าการสร้างสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ไว้ในสวนก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ฉะนั้น เธอจะต้องเริ่มเก็บเงินอีกครั้ง การไปซื้อที่ดินสักผืนที่นั่นเพื่อสร้างวิลล่าหลังใหญ่จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
การร่วมรับประทานอาหารกับหวังหยวนครั้งนี้สร้างความอิ่มเอมให้กับทั้งฝ่ายเจ้าบ้านและผู้มาเยือน
ต้องบอกว่า หวังหยวนเป็นคนที่รอบรู้และชาญฉลาดมาก
ไม่มีใครในครอบครัวเลยที่ไม่ชอบเขา ท้ายที่สุดแล้ว เขาทั้งร่ำรวยและมีความสามารถ นิสัยใจคอเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เท่า ๆ กับเป็นคนใจกล้าและตรงไปตรงมาเช่นกัน แล้วจะมีผู้ที่ไม่ชอบเขาได้อย่างไรกันล่ะ?
“หงอิง ออกไปส่งผมหน่อยครับ” หวังหยวนเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ตอนจะกลับ
โจวเอ้อร์นีเหลือบมองไปที่เขา พร้อมบอกให้หลินชิงเหอกลับไปนั่ง จากนั้นหล่อนก็เดินออกไปส่งหวังหยวน
“อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ” โจวเอ้อร์นีซึ่งอดกลั้นมาตลอดทาง ได้เอ่ยปากขึ้นในที่สุดตอนที่พวกเขากำลังจะแยกจากกัน
“หือ?” หวังหยวนเลิกคิ้วมองไปที่หล่อน
“คุณก็รู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไรอยู่” โจวอิงหงมองหน้าเขา
“ครอบครัวคุณชอบผมมากนะครับ” หวังหยวนพูดออกมาตรง ๆ
“ครอบครัวของฉันยากจนมากค่ะ” โจวเอ้อร์นีขัดขึ้นอย่างไม่สนใจคำพูดเขา “ครอบครัวของฉันเทียบกับของคุณอาสี่ไม่ได้เลยค่ะ พ่อแม่ของฉันเป็นชาวนาที่รู้หนังสือแค่ไม่กี่ตัว พวกท่านไม่ได้รับการศึกษาและมีกิริยามารยาทอย่างคุณอาสี่และคุณอาสะใภ้สี่หรอกนะคะ”
“คุณพ่อคุณแม่ของคุณเป็นคนมีเหตุผลหรือเปล่าล่ะครับ?” หวังหยวนมองไปที่หล่อนพร้อมกับถามขึ้น
“มีสิคะ!” โจวเอ้อร์นีจ้องเขาเขม็ง “ถึงแม้พ่อแม่ของฉันไม่ได้เรียนหนังสือและทำนาเป็นอย่างเดียว พวกท่านก็ไม่ใช่คนประเภทที่หยาบคายหรือสร้างความรำคาญ ตอนที่ฉันมาที่นี่ แม่บอกฉันว่าในอนาคตให้ฉันกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิด เพราะทางนี้ไม่เหมาะกับฉันเลย!”
“ผมเข้าใจเรื่องที่คุณกังวลนะครับ แต่คุณทำให้เรื่องมันยากเกินไปสำหรับผม ถ้าคุณไม่พอใจในเรื่องอื่น ผมสามารถเปลี่ยนแปลงให้ได้ แต่เรื่องที่ภูมิหลังทางครอบครัวผมดีเลิศมาก จนทำให้คุณไม่พอใจในจุดนี้ แล้วผมจะไปเปลี่ยนแปลงมันได้ยังไงล่ะครับ?” หวังหยวนตอบ
นี่ไม่ใช่การโอ้อวด ฐานะทางครอบครัวของเขายอดเยี่ยมมากจริง ๆ เฉกเช่นครอบครัวชั้นนำ ภูมิหลังทางครอบครัวเขาก็ไม่ธรรมดาเลย
ทว่าเขาไม่ได้เดินตามเส้นทางของครอบครัว แต่ออกมาทำธุรกิจของตนเอง ถือได้ว่าเป็นอิสระจากทางครอบครัว กระนั้น หนึ่งตัวอักษรก็ไม่สามารถเขียนออกมาเป็น 2 หวังได้ในคราเดียว ภูมิหลังของครอบครัวก็คือภูมิหลังของเขาอยู่ดี นี่เป็นความจริงที่คงอยู่
“ฉันไม่ได้ขอให้คุณเปลี่ยนค่ะ ฉันแค่บอกคุณว่ามันไม่เหมาะสม คุณไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าหรือมาหาคุณอาสี่กับคุณอาสะใภ้สี่ทางนี้อีกนะคะ” โจวเอ้อร์นีบอก
“คุณผิดแล้ว ผมเห็นว่าคุณปู่คุณย่าของคุณเป็นคนที่ดีมาก ๆ คนทางบ้านคุณอาสี่ของคุณก็ใจดีและซื่อตรงด้วยเหมือนกัน พวกเขาเป็นคู่ค้าทางธุรกิจของผม แล้วมันมีปัญหาอะไรกับการที่ผมจะทำความสนิทสนมด้วยล่ะครับ?” หวังหยวนถาม
“นี่คุณต้องการยั่วโมโหฉันหรือคะ?” โจวเอ้อร์นีซึ่งเถียงสู้เขาไม่ได้เอ่ยขึ้น
“เปล่านะครับ ผมชอบที่จะหลงคุณมากกว่า” หวังหยวนยิ้มมองไปที่หล่อน
โจวเอ้อร์นีไม่สนใจเขาอีก หล่อนหันหลังกลับ แต่ก่อนที่จะแยกจากไปก็เอ่ยขึ้นว่า “ครอบครัวของฉันยากจน ฉันไม่เคยมีความคิดจะแต่งงานกับคนรวย และฉันก็ไม่เคยชินกับชีวิตของคนรวยด้วยค่ะ คุณเคยชินกับมัน แต่สำหรับฉัน สิ่งเหล่านี้ไกลเกินเอื้อม คุณคิดว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้จริง ๆ หรือคะ?”
หล่อนไม่คิดเช่นนั้นเลย
ไม่ใช่ว่าหล่อนต้องการปฏิเสธเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา ทว่ายิ่งหล่อนอาศัยอยู่ในปักกิ่งนานขึ้นและร่ำเรียนมากขึ้นเท่าใด หล่อนก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นถึงเรื่องความแตกต่างทางสังคม
คลิกตรงนี้
คุณอาสะใภ้สี่เคยบอกไว้ มันไม่ใช่แวดวงสังคมของตน ดังนั้นอย่าได้คิดก้าวเข้าไปอยู่ในนั้น ไม่เช่นนั้น นอกจากจะไม่สามารถกลมกลืนเข้าไปได้แล้ว ยังจะถูกสังคมเก่าของตนปฏิเสธอีกด้วย
เดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนอย่างมั่นคง นี่จึงเป็นความสุขสงบ
โจวเอ้อร์นีเข้าใจคำพูดของคุณอาสะใภ้สี่ได้อย่างถ่องแท้
“ความใฝ่ฝันของฉันคือการหาใครสักคนที่คล้ายกับฉันค่ะ ฉันจะต้องไม่แย่กว่าเขาและเขาก็ต้องไม่ด้อยไปกว่าฉัน นี่ถึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมและเท่าเทียมกัน” โจวเอ้อร์นีกล่าวต่อ
“คุณคิดว่านี่เป็นสงครามหรือยังไงกันครับ” หวังหยวนหัวเราะ
ทว่า คำพูดที่ตามมากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมอายุมากกว่าคุณหลายปี ผมย่อมรู้เรื่องมากกว่าคุณและมีความรู้มากกว่าคุณ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ปกติมาก ยิ่งกว่านั้น ผมเป็นผู้ชาย แม้ว่าผู้หญิงในยุคใหม่ก็สามารถค้ำชูท้องฟ้าไว้ได้ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ผู้ชายคือเสาหลักในครอบครัว ดังนั้น ผู้ชายจะต้องสามารถหาเงินและไม่ให้ภรรยาของตนต้องทำงานหนักจนเกินไป ผมรู้ว่าคุณกังวลใจในเรื่องอะไร แต่ผมบอกได้เลยว่าทั้งหมดที่คุณกังวลอยู่นั้นไม่จำเป็นเลย ผมต้องการแต่งงานกับคุณ และผมก็รู้ฐานะและสถานการณ์ในครอบครัวของคุณด้วย แต่นั่นไม่สำคัญอะไร เพราะคนที่ผมแต่งงานด้วยมีเพียงคุณเท่านั้น”
กว่าที่หลินชิงเหอจะรู้ว่าหวังหยวนตามจีบโจวเอ้อร์นีอยู่ ก็ล่วงเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว
หู่จือและกังจือกลับมาคุยกันถึงเรื่องนี้
หวังหยวนเริ่มมารับโจวเอ้อร์นีหลังเลิกเรียนภาคค่ำ 2-3 วันมาแล้ว ดูเหมือนว่าเขากำลังตามจีบพี่เอ้อร์นีอยู่ใช่ไหม?
“ผ่านมา 2-3 วันแล้วเหรอ? แล้วทำไมพวกเธอถึงเพิ่งจะมาพูดกันตอนนี้ล่ะ?” หลินชิงเหอมองไปที่พวกเขา
นี่มันชัดเจนมาก จะมาดูเหมือนอะไรกันล่ะ? นี่มันเป็นการตามจีบชัด ๆ!
“เขาบอกว่าเขาผ่านมาทางนี้พอดี ก็เลยรับพวกเรากลับมาด้วยครับ เราคิดว่าเขาบังเอิญผ่านมาจริง ๆ จึงไม่ได้พูดอะไร แต่พอคืนนี้เขามาอีก เราถึงได้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องนัก” หู่จือและกังจือต่างรู้สึกอับอายเล็กน้อย
ทั้ง 2 คนไม่เคยคิดว่าเลยว่าเรื่องจะเกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเขาเอง
“แล้วเอ้อร์นีว่ายังไงบ้าง? เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้?” หลินชิงเหอก็รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักและใสซื่อมาก จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่ได้นึกไปถึงเรื่องในทำนองนั้น เธอไม่ได้โทษพวกเขามากนักจึงได้ถามขึ้น
“ผมก็ไม่รู้ครับ” หู่จือและกังจือไม่รู้เลย พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น แล้วจะไปสังเกตเห็นท่าทางอาการของโจวเอ้อร์นีได้อย่างไร?
กล่าวได้ว่า ท่าทีของหวังหยวนชัดแจ้งเกินไป ทั้ง 2 คนถึงเพิ่งมีปฏิกิริยารับรู้หลังเหตุการณ์ในคืนนี้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงได้รีบกลับมาเล่าอย่างรวดเร็ว
อ่านที่แรก
“เจ้าหนุ่มไร้เดียงสาสองคนเอ๊ย” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างหงุดหงิด ตอบคำถามสำคัญ ๆ ไม่ได้เลยจริง ๆ “ไม่เฉลียวฉลาดเอาซะเลย ต่อไปในอนาคตพวกเธอจะหาภรรยาได้ยังไงกันนี่?”
“คุณน้าสะใภ้ ตอนนี้พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องการหาภรรยาอีกแล้วละครับ แค่กลับไปที่หมู่บ้านแล้วไปยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ก็จะมีข้อเสนอแต่งงานมาเคาะถึงหน้าประตูเยอะแยะไปหมดแล้วล่ะครับ” หู่จือไม่ได้ขี้โม้ขนาดนั้น เป็นกังจือน้องชายของเขาที่เป็นคนตอบ
หลินชิงเหอหลุดหัวเราะพลางดุออกไปว่า “เธอมีคนที่เป็นตัวเลือกมากขนาดนี้เลย ไม่อยากจะแต่งงานกับเด็กสาวที่เมืองหลวงบ้างเหรอ?”
“ลืมไปได้เลยครับ ผมไม่แต่งเอาบรรพบุรุษกลับมาหรอก” กังจือพูด
“อะไรกัน นี่เธอเริ่มทำตัวแบ่งแยกทางภูมิภาคกับเขาด้วยเหรอ? ใครบอกกันว่าเด็กสาวในปักกิ่งจะต้องหยิ่งจองหอง? มันขึ้นอยู่กับว่าเธอมีความสามารถหรือเปล่าต่างหากละ” หลินชิงเหอกล่าวอย่างอารมณ์บูด
เธอไม่ได้อบรมหู่จือกับกังจือต่อ มันยังเร็วเกินไป ความคิดของเธอจึงกลับไปที่เรื่องของโจวเอ้อร์นีและหวังหยวนแทน
เมื่อกลับมาที่ห้อง เธอยังรู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย จึงหันไปหาโจวชิงไป๋ “หวังหยวนเริ่มชอบเอ้อร์นีตั้งแต่ตอนไหนคะนี่?”
เขาถึงกับไปที่โรงเรียนภาคค่ำเพื่อไปรับหล่อน ฉะนั้น เรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว แต่เมื่อเธอกลับมานั่งคิดดู ก็จำไม่ได้เลยว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ลองถามเอ้อร์นีดูซิครับ” เธอยังไม่รู้เลย แล้วโจวชิงไป๋จะรู้ได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่าหลินชิงเหอย่อมต้องการจะถามเอ้อร์นี วันรุ่งขึ้น เธอจึงตื่นขึ้นมาแต่เช้า และไปเปิดร้านพร้อมกับโจวชิงไป๋ เธอขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อจะคุยกับเอ้อร์นี
“คุณอาสะใภ้สี่ ทำไมถึงได้มาเช้านักล่ะคะ?” โจวเอ้อร์นีถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“อาตั้งใจมาหาหนูน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ
ในตอนแรก โจวเอ้อร์นียังดูงุนงงอยู่ จากนั้นสีหน้าของหล่อนก็ซีดเผือดลง เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
…………………………………………………………………………………..