ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 407 ปัญหาของโจวชิงไป๋
บทที่ 407 ปัญหาของโจวชิงไป๋
โจวเฉวี่ยนกับโจวกุยหลายกลับมาที่บ้านพร้อมกับส้มหนึ่งถุงตาข่าย
หลินชิงเหอมองแล้วก็เอ่ยขึ้น “นี่พวกลูกเอาส้มจากบ้านเวิงกลับมาหมดเลยหรือเปล่าเนี่ย?”
“ส้มนี่คุณป้าให้เรามาครับ หล่อนบอกว่ามันหวานมาก เราปฏิเสธหล่อนไม่ได้หรอกครับ” โจวกุยหลายตอบ
“มีใครอยู่ที่บ้านบ้าง?” หลินชิงเหอถาม
“มีแค่คุณป้าเวิงกับคุณลุงเวิงครับ” โจวกุยหลายตอบ
“พี่กั๋วเหลียงกับพี่ชายของเขาไม่ได้กลับมาในปีนี้ ส่วนพี่เหม่ยเจี่ยก็ไปค้างบ้านเพื่อน หล่อนไม่ได้กลับมาที่บ้านในปีนี้เหมือนกัน แต่น่าจะมาที่บ้านเราในวันที่สองของวันปีใหม่ คุณลุงเวิงกับคนอื่น ๆ ก็อาจจะมาด้วยครับ” โจวเฉวี่ยนพูด
หลินชิงเหอยิ้มกว้าง “เอาล่ะ ถ้างั้นม้าจะเตรียมทำหม้อไฟต้อนรับพวกเขาในช่วงปีใหม่นะ”
โจวชิงไป๋คว้าส้มไปแกะเปลือกให้เธอลูกหนึ่ง ส่วนอีกลูกหนึ่งเขาแกะเปลือกกินเอง “ส้มนี่รสชาติดีนะ~~”
“ไม่เลวเลยค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า มันทั้งลูกใหญ่และรสหวานจริง ๆ
เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มืดค่ำ โจวชิงไป๋จึงเสนอขึ้นมา “เราไปเดินเล่นกันเถอะครับ”
“พวกลูกไปกินข้าวเย็นที่บ้านคุณปู่คุณย่ากันนะ หู่จือกับกังจือไปที่นั่นแล้ว” หลินชิงเหอเอ่ยกับลูกชายทั้งสอง
หลังสั่งลูกชายแล้ว หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็ออกมาเดินเล่นท่ามกลางหิมะ
“ฉันคิดว่าจะให้ตระกูลเวิงเกี่ยวดองกับเราน่ะค่ะ คุณคิดว่าอย่างไรคะ?” หลินชิงเหอถามด้วยรอยยิ้ม
“รอให้พวกเขามาแล้วค่อยว่ากันเถอะครับ” โจวชิงไป๋ตอบ
แม้เขาจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ลูกสะใภ้ใหญ่ของตระกูลก็ยังเป็นเรื่องสำคัญมาก พวกเขาจึงต้องรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร
หลินชิงเหอพยักหน้าและเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องบ้านใหม่ของพี่ชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่แทน
ได้ความว่ามันสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ พี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ร่ำรวยกว่าที่พวกเขาคิดเสียอีก พวกเขาถึงกับสร้างบ้านอิฐแดงอันโอ่โถงได้
สะใภ้ใหญ่พูดว่าหล่อนสร้างพื้นที่ไว้เผื่อพวกเขาจะได้อยู่อาศัยในอนาคต ดูเหมือนว่าจะมีห้องเพิ่มมาหลายห้องอยู่ หลังจากตกแต่งบ้านเสร็จสิ้นแล้ว เงินเก็บของพี่ชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ก็ถูกใช้จนเกลี้ยง
เงินเก็บนี้รวมถึงเงินที่เหลือจากการเลี้ยงหมู การขายไก่และเป็ด และการขายธัญพืชในปีนี้ พวกเขาใช้เงินเกือบทั้งหมดไปกับการสร้างบ้านหลังนี้เลยทีเดียว
แต่หลังจากได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ เธอก็รู้สึกได้ว่าสะใภ้ใหญ่มีความสุขมากเพียงใดจากคำพูดของหล่อน
โจวชิงไป๋ยิ้มและเอ่ยขึ้น “ผมเองก็อยากได้สักหลังนะ”
บ้านที่พวกเขาเป็นเจ้าของย่อมมีพื้นที่ไม่พอต่อการอยู่อาศัยของเด็ก ๆ ยามที่พวกเขาเติบโตขึ้น บางครั้งพวกเขาต้องกลับไปอยู่ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลคือมันต้องมีพื้นที่กว้างขวางกว่านี้
“ไว้ทีหลังแล้วกันค่ะ” หลินชิงเหอพูด
แม้จะทำการย้ายทะเบียนบ้านแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นคนจากที่นั่นอยู่ดี พวกเขาจากชนบทมาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์กับทางนั้นเสียทีเดียว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสภาพแวดล้อมในบ้านเกิดของพวกเขานับว่ายังดีอยู่ไม่น้อย จึงไม่ใช่ความคิดที่แย่นักหากจะกลับไปอยู่ชั่วระยะหนึ่งในอนาคต
ส่วนเรื่องบ้านอิฐก็ช่างมันเถอะ เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาจะซื้อที่ดินสักผืนและสร้างตึกหลังหนึ่ง ไม่ใช่แบบที่เป็นบ้านชั้นเดียวแน่
“กลับไปอยู่บ้านเกิดเราตอนเกษียณแล้วดีไหมครับ?” โจวชิงไป๋เอ่ยพลางมองภรรยา
หลินชิงเหอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วคะ? คิดถึงเรื่องเกษียณแล้วเหรอ?”
“คิดไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดีนี่ครับ” โจวชิงไป๋มองรอบ ๆ และจับมือเธอไว้
หลินชิงเหอเม้มปากกลั้นยิ้ม ชายแก่เย็นชาแต่ร้อนแรงคนนี้นี่นะ เธอคิดแล้วก็จับมือของเขา
ชายคนนี้ช่างมีอารมณ์อ่อนไหวเหลือเกิน ชีวิตในเมืองหลวงดีเยี่ยมก็จริง แต่เมื่อแก่ตัวลงในอนาคต เขาก็เป็นประเภทที่อยากกลับไปอยู่ในบ้านเกิด
“ไว้เราค่อยว่ากันในอนาคตค่ะ ถ้าบ้านเกิดของเราดีกว่า ก็กลับไปได้ไม่มีป้ญหา” หลินชิงเหอปลอบเขา
เขาไม่อาจตระหนักได้เลยว่าชนบทในยุคหลังมีการพัฒนารวดเร็วเพียงใดจากคำพูดของเธอ รู้เพียงว่าในอนาคตเมืองใหญ่แถบชนบทจะเป็นสถานที่ดีเยี่ยมต่อการพักอาศัยในวัยเกษียณ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพทย์หรือความปลอดภัยสาธารณะหรือเรื่องอื่น ๆ มันก็อยู่ในระดับเยี่ยมยอด
แน่นอนว่าอิงตามหลักฐานที่ทั้งสองมีเงินไม่ขาดมือ
โจวชิงไป๋พยักหน้าและเดินจับมือกับภรรยา ปีนี้เป็นสิ้นปี 1982 แล้ว หลังปีใหม่นี้ก็จะเข้าสู่ปี 1983
วัฒนธรรมประเพณีได้เปลี่ยนไปมากหลังจาก 2 ปีที่ผ่านมา
อย่างในละครทีวีก็มีฉากจูบมากมาย ส่วนด้านดนตรีก็มีเพลงรักหวานซึ้งดังไปทั่วทุกหนแห่งบนถนน
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยหากพวกเขาสองคนจะเดินจับมือกัน
“ไม่มีลูกแล้วสินะครับ” เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ โจวชิงไป๋ก็เอ่ยขึ้นมา
หลินชิงเหอเข้าใจความหมายของเขาในทันที เธอหันหน้ามองชายข้างกายพลางยักคิ้วเอ่ย “ไม่มีลูก?”
ความจริงแล้วเธอไม่คิดว่าตัวเองจะยังสามารถตั้งครรภ์ได้อยู่ หลังปีใหม่นี้เธอก็จะมีอายุ 37 ปีแล้ว เมื่อทำหมันไปแล้วก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.01% เธอจึงไม่คิดว่าตัวเองจะเจอโอกาสส่วนน้อยตรงนั้นเข้า
ติดเพียงว่าโจวชิงไป๋ไม่ยอมแพ้
เขาอยากได้ลูกคนที่สี่จริง ๆ
“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้า
เมื่อวานนี้เฒ่าหวังไม่ค่อยสบาย เมื่อเขาพาเฒ่าหวังไปที่โรงพยาบาล ก็มีหญิงอายุ 40 ปีคนหนึ่งถูกส่งเข้าโรงพยาบาลเป็นการเร่งด่วน
หล่อนถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน
ว่าที่มารดาคนนี้ฝ่าฝืนการวางแผนครอบครัวและยืนกรานว่าอยากมีลูก ซึ่งตอนนี้กฎระเบียบการวางแผนครอบครัวได้ถูกบังคับใช้แล้ว และมีการจับตามองอย่างเข้มงวดทั่วทั้งประเทศ
จากคำบอกเล่าของพยาบาล คนไข้รายนี้มาด้วยการตั้งครรภ์ตอนอายุมาก การคลอดบุตรตอนสูงอายุขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยและเสี่ยงอันตรายอีกด้วย
โจวชิงไป๋นึกถึงภรรยาของเขา แม้เธอจะยังสาวยังสวย แต่ก็มีอายุเกือบ 37 ปีแล้ว แถมยังอ่อนหวานและบอบบาง เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ใช่แล้ว ในสายตาของโจวชิงไป๋ ภรรยาของเขาคือหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งต่อให้จะแวดล้อมไปด้วยความรู้การศึกษาก็ตาม
เธอเป็นผู้หญิงที่ควรถูกเอาใจใส่และปลอบโยน ซึ่งจุดนี้ทำให้โจวชิงไป๋ถึงกับขนลุกยามได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานของแม่สูงวัยคนนั้น
เขาจึงคิดว่าอะไร ๆ ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่มีลูกคนที่สี่ก็ไม่เป็นไร
หลินชิงเหอไม่รู้เลยว่าเขาคิดแบบนี้มาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็โล่งใจเล็กน้อย เธอไม่ได้โล่งใจในเรื่องที่ไม่ต้องการมีลูกแต่เป็นเรื่องที่เขาปล่อยวางได้ เขาคงไม่ผิดหวังนักหากว่าเธอมีลูกไม่ได้
พูดตามความเป็นจริงก็คือ หลังจากที่หลินชิงเหอตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อย่างใจจริง เธอก็อยากคลอดลูกให้เขาสักคน มากกว่านั้นเด็กที่เกิดมาก็ถือว่าเป็นลูกของเธอกับเขา เธอไม่มีทางปฏิบัติกับเจ้าใหญ่และน้อง ๆ แตกต่างจากลูกของเธอเด็ดขาด
เธอให้กำเนิดพวกเขามาทั้งหมด
ช่วยไม่ได้นี่นะ เจ้าของร่างเดิมช่างใจร้ายนัก หลังรู้ว่าการมีลูกชายสามคนจะทำให้หล่อนมีที่ยืนมั่นคงแล้วหล่อนก็ไปทำหมันถาวรในทันที ทีนี้คนที่มาทีหลังอย่างเธอจะทำอย่างไรล่ะ?
ตั้งแต่เธอได้มาอยู่กับเขา เขาก็เฝ้าฝันว่าจะมีลูกคนที่สี่อยู่ตลอด
เขาหวังว่าจะได้ลูกสาว แต่ตราบใดที่คนตั้งครรภ์เป็นเธอ เขาก็คงไม่รังเกียจหากเด็กคนนั้นเป็นลูกชาย
หลังผ่านมาหลายปีมันก็เกือบจะกลายเป็นความเจ็บป่วยทางใจ หลินชิงเหอไม่อาจปล่อยให้เขาผิดหวังได้ เพราะสิ่งเดียวที่เขาร้องขอจากเธอในชีวิตของเขาก็คือลูกคนที่สี่
ชายคนนี้ไม่เคยร้องขออะไรอย่างอื่นเลย
“ในอนาคตข้างหน้า เจ้าใหญ่กับเจ้ารองคงมีลูกมากไม่ได้ เจ้าสามก็จะออกมาทำธุรกิจด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็ปล่อยให้เขาได้มีลูกมากกว่านี้แล้วกันค่ะ เราคงมีหลานสาวสักคนเอง” หลินชิงเหอปลอบ “อย่างไรเสียเราก็รักใคร่พวกเขาเหมือนเดิมอยู่แล้ว”
โจวชิงไป๋ไม่ได้เอ่ยอะไร เมื่อมาคิดดูแล้ว ในเมื่อเขาอุ้มลูกสาวไม่ได้ การได้อุ้มหลานสาวก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก
“งั้นยกร้านให้แล้วกันค่ะ ใครก็ตามที่มีหลานสาวให้เราได้ เราก็จะให้รางวัลเขาด้วยการยกร้านให้” หลินชิงเหอพูดต่อ
โจวชิงไป๋หัวเราะ นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว
…………………………………………………………………………………