ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 415 คนประหลาด
บทที่ 415 คนประหลาด
“ยายเฒ่าจูที่อยู่ข้างบ้านอยากจะจับคู่หล่อนกับเจ้าใหญ่น่ะ” ท่านแม่โจวบอกหลานชาย
หู่จือได้ยินก็ประหลาดใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับ?”
“มีสิ แต่น้าสะใภ้ของเธอไม่เห็นด้วย” ท่านแม่โจวตอบ อย่าว่าแต่สะใภ้สี่เลย นางเองก็ยังไม่เห็นด้วย
หลานชายคนโตของนางมีพรสวรรค์ รูปลักษณ์ และวุฒิการศึกษาขนาดไหน? ทุกอย่างล้วนอยู่ในระดับชั้นยอด นอกเหนือจากคุณสมบัติของคนที่จะแต่งงานด้วยแล้ว คน ๆ นั้นยังต้องเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนกับเขาเป็นอย่างน้อยด้วย เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นการขอมากเกินไปหรอก
หลานสาวแสนดีของตระกูลจูนั่นพูดเสียงค่อยราวกับแมวแถมยังทำตัวสนิมสร้อยอีก ท่านแม่โจวไม่ชอบคนแบบนี้เลย ต่อให้จะมาเป็นหลานสาวของนาง นางก็ไม่ยอมรับ ไม่ต้องสาธยายอะไรแล้ว
“หล่อนมาหาเธอเพื่อถามเรื่องของเจ้าใหญ่หรือเปล่า?” ท่านแม่โจวพูดต่อ อย่าหาว่าฉันตำหนิหล่อนเลย เป็นเพราะหล่อนคนนี้เคยมาถามหาหลานชายคนโตกับหลานสาวของนางมาแล้ว
“ไม่ครับ” หู่จือส่ายหน้า หล่อนแค่พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเท่านั้น
“ถ้างั้นทำไมจู่ ๆ หล่อนถึงมองหาเธอล่ะ?” ท่านแม่โจวถาม
“ผมไม่รู้ครับ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าหล่อนพูดอะไรด้วย” หู่จือตอบ
ท่านแม่โจวจึงไม่ถามอีก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะว่าจูเจินเจินรู้สึกว่าคำพูดของหล่อนไม่เข้าหัวหู่จือแม้แต่น้อย
ดังนั้นลืมไปได้เลยที่จะพูดกับหู่จือ พอหล่อนมาหาคุณยายอีกครั้ง หล่อนก็มาหาโจวเสี่ยวเหมยเพื่อให้โจวเสี่ยวเหมยส่งต่อคำพูดไปให้หู่จือ
“คุณน้า หนูเองก็รู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ดี แต่หนูไม่มีความคิดแบบนั้นต่อหู่จือของครอบครัวคุณน้าเลยค่ะ ช่วยฝากบอกเขาแทนหนูด้วยนะคะว่าหนูเสียใจ” จูเจินเจินเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
โจวเสี่ยวเหมยอึ้งไปก่อนจะตอบจูเจินเจิน “งั้นฉันจะไปบอกเขาให้หนูนะ”
ว่าอีกอย่างหนึ่งก็คือ โจวเสี่ยวเหมยถึงกับกระโดดขึ้นจักรยานปั่นไปหาหู่จือในบัดนั้นเลยทีเดียว
เมื่อเห็นหู่จือแล้วโจวเสี่ยวเหมยก็ปรี่เข้ามาตวาดใส่เขาเต็มหน้า “ไอ้เด็กเหลือขอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ได้? เธอกลัวว่าจะหาเมียไม่ได้หรือยังไง? เธอชอบคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? ไม่รู้เหรอว่ายัยนั่นน่ะไร้สมอง? พวกเขาหมายตาเจ้าใหญ่ไว้แล้ว เธอจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นหรือยังไง!”
หู่จืออึ้งงันไปเมื่อถูกตะคอก
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋อยู่ที่บ้านด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน จากนั้นโจวเสี่ยวเหมยก็ปราดเข้ามา
โจวเฉวี่ยน โจวกุยหลาย กังจือ และเอ้อร์นีต่างมึนงงกันหมด
“พี่สะใภ้สี่คะ พี่ยังจำจูเจินเจินของครอบครัวจูได้ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม
“จำได้สิ” หลินชิงเหอพยักหน้า แม่สามีของเธอมาที่นี่และคุยเรื่องนี้เป็นพิเศษแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ลืมเร็วนักหรอก
“เจ้าเด็กตัวเหม็นนี่ชอบหล่อนแล้วก็ไปสารภาพรักกับหล่อน หล่อนปฏิเสธเขา แต่เจ้าเด็กเหม็นนี่ก็ยังมาก่อกวน หล่อนไม่มีทางเลือกเลยมาบอกฉันน่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยอธิบายพลางถลึงตาใส่หู่จือไปด้วย
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋หันไปหาหู่จือ คนอื่น ๆ ก็มองมาทางเขาเช่นเดียวกัน หู่จือนิ่งงันไป ทันใดนั้นเองเขาก็สะดุ้งโหยงสุดตัว
“ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทำแบบนั้น!” เขาละล่ำละลัก
“กล้าทำแล้วไม่กล้ารับงั้นเหรอ? น้าผิดหวังกับเธอจริง ๆ!” โจวเสี่ยวเหมยถลึงตา
โจวเฉวี่ยน โจวกุยหลาย เอ้อร์นี และแม้แต่กังจือก็มองหู่จือด้วยสายตาตำหนิ พวกเขามีความคิดเดียวกับโจวเสี่ยวเหมย และตำหนิหู่จือในเรื่องที่เขากล้าทำแต่ไม่ยอมรับ
“น้าไม่ห้ามเรื่องที่เธอมองหาสาวเมืองหลวงหรอกนะ น้าหวังว่าเธอจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เธอไม่รู้เหรอว่าคุณยายรู้สึกไม่ดีกับจูเจินเจินยังไง? และยังความรู้สึกของคุณยายกับตระกูลจูอีก? เธอกลับกล้าเดินหน้าแบบนี้แสดงว่าวอนถูกตีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ย
ใบหน้าของหู่จือเปลี่ยนเป็นสีแดง
“นั่งลงก่อนแล้วค่อย ๆ พูดนะ” หลินชิงเหอดึงตัวโจวเสี่ยวเหมยให้นั่งลงและยัดส้มลูกหนึ่งไว้ในมือของหล่อน จากนั้นก็หันมามองหู่จือ “บอกน้าสิว่าเกิดอะไรขึ้น? น้าเชื่อเธอนะ”
หลานชายคนนี้เป็นอย่างไรน่ะเหรอ? นี่ก็ 2 ปีมาแล้ว เธอจะบอกไม่ได้ได้อย่างไร? เขาไม่ใช่คนห่ามที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาไม่กล้าพูดเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเองหรอก หากมีความคิดแบบนั้นจริงเขาก็จะบอกผู้ใหญ่ในบ้านก่อน
“น้าสะใภ้ เชื่อผมนะครับ ผมไม่ได้ทำจริง ๆ!” หู่จือพูด
“ในเมื่อพี่ไม่ได้ทำ พี่ก็อธิบายมาสิ มัวแต่บอกว่าไม่ได้ทำอยู่ได้ เห็นชัดว่าพี่กำลังสำนึกผิดจนไม่มีอะไรจะพูดต่างหาก” โจวกุยหลายกลอกตา
กังจือพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่สาม อธิบายมาเลย!”
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไปสารภาพรักกับจูเจินเจินเมื่อไหร่? ผมเจอหล่อนสองครั้ง เมื่อวานนี้ แค่เมื่อวานนี้จริง ๆ ตอนที่หล่อนเจอผม หล่อนก็เอ่ยคำพูดเป็นปริศนาบางอย่าง ซึ่งผมไม่เข้าใจเลย!” หู่จือรู้สึกว่าเขากำลังถูกกล่าวหาจนถึงตาย
“คำพูดปริศนาอะไร?” โจวเฉวี่ยนถาม
“พูดว่าอย่าชอบหล่อนเลย เป็นไปไม่ได้ที่หล่อนจะแต่งงานกับผมผู้มีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท ตอนนั้นผมกำลังกวาดหิมะอยู่ ผมยังไม่รู้ว่าหล่อนมาจากครอบครัวไหนแล้วผมจะไปชอบหล่อนได้ยังไง? ใช่แล้ว เมื่อวานนี้คุณยายก็เห็นด้วย คุณยายพิสูจน์ให้ผมได้!” หู่จือนึกขึ้นมาได้ก็รีบเอ่ยขึ้น
โจวเสี่ยวเหมยมองสบกับพี่สะใภ้สี่ของหล่อน ในดวงตาฉายแววสับสน “ไม่ได้ทำแน่นะ?”
“ไม่ได้ทำจริงๆ ครับ ผมจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง!” หู่จือส่ายหน้าหนักแน่น
“ถ้างั้นทำไมหล่อนถึงพูดแบบนี้ขึ้นมาล่ะ? สีหน้าของหล่อนดูเหมือนสิ้นหวังกับการที่เธอไล่ตามมากนะ” โจวเสี่ยวเหมยนิ่งงันไป
หล่อนกำลังโมโหเพราะปฏิกิริยาท่าทางของจูเจินเจิน
“หล่อนเป็นคนประหลาดพิกลน่ะครับ ผมไม่รู้เลยว่าหล่อนเป็นใคร รู้แต่ว่าชื่อจูเจินเจินหลังได้ยินจากปากคุณยายเท่านั้น ในอดีตคุณยายของหล่อนอยากจะจับคู่หล่อนให้พี่ข่ายด้วย!” หู่จือเอ่ยอย่างโกรธเคือง
เขาปล่อยผ่านสิ่งที่หล่อนพูดไปได้ แต่ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะมาหาคุณน้าของเขาในวันนี้ หล่อนทำแบบนี้ได้อย่างไร?
ถ้าเขาพูดอะไรบางอย่างกับหล่อนไปจริง ๆ ก็แล้วไป แต่เขาไม่ได้พูดเลยจริง ๆ แม้แต่ประโยคเดียว กลับกลายเป็นว่าใครบางคนได้ยกเมฆขึ้นมาแบบนี้!
ทั้งครอบครัวมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เสี่ยวเหมย จูเจินเจินบอกกับเธอว่ายังไงบ้าง?” หลินชิงเหอถาม
โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยทวนสิ่งที่จำได้ จากนั้นก็นิ่วหน้า “หล่อนพูดอย่างกับว่าเป็นเรื่องจริงเลยค่ะ ฉันไม่คิดว่าเด็กสาวอย่างหล่อนจะกุเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?”
มีอะไรบางอย่างผิดพลาดหรือเปล่านะ?
หลินชิงเหอเลือกที่จะเชื่อหลานชายของเธอมากกว่าเมื่อเทียบกับจูเจินเจิน หญิงสาวจึงเอ่ยกับหู่จือ “ต่อจากนี้เธอไม่ต้องไปที่บ้านของคุณตาคุณยายแล้วนะ”
เธอเดาว่าเด็กสาวที่ชื่อจูเจินเจินช่างไร้สมองจริง ๆ หรือเป็นเพราะหู่จือเหลือบมองหล่อนเป็นครั้งคราว หล่อนจึงเข้าใจผิดไป?
“ก็ได้ครับ ผมจะไม่ไปที่นั่นครู่ใหญ่ ๆ เลย” หู่จือพยักหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร คนที่ชื่อจูเจินเจินช่างน่ากลัวนัก เขาต้องหลีกห่างจากหล่อนไปสักระยะหนึ่งแล้ว!
“ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด งั้นฉันกลับก่อนแล้วกันค่ะ น้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเสียอีก ก็เลยจะมาสั่งสอนเธอสักหน่อย” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยและลุกขึ้นยืน
“เอาแอปเปิลกับส้มบางส่วนกลับไปกินด้วยสิ” หลินชิงเหอคะยั้นคะยอ
โจวกุยหลายหยิบถุงตาข่ายมาใส่แอปเปิลกับส้ม พวกเขายังมีอีกหลายลังอยู่ในบ้าน
“อากาศช่วงนี้เย็นและแห้งอยู่นะ ถ้าพี่สะใภ้สี่จะซื้อในปีหน้าก็อย่าลืมบอกฉันนะคะ ฉันจะได้ซื้อมากกว่านี้” โจวเสี่ยวเหมยยิ้ม
หล่อนไม่อาจกินของของพี่สะใภ้สี่ได้ทุกรอบ ฐานะครอบครัวตอนนี้ของหล่อนับว่าดีแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องประหยัดมากนัก
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” หลินชิงเหอโบกมือ
…………………………………………………………………………………