ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 440 กฎข้อแรกของการเป็นนักธุรกิจหัวใส
บทที่ 440 กฎข้อแรกของการเป็นนักธุรกิจหัวใส
เมื่อโจวข่ายและคนอื่นกลับมาจากบ่อน้ำพุร้อน ทุกคนต่างก็เอ่ยปากชื่นชอบที่นั่นกันมาก
หลินชิงเหอก็รู้สึกได้ถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วของกรุงปักกิ่งในเวลานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ สถานที่อย่าง สระว่ายน้ำ ร้านกาแฟ และอื่น ๆ เกิดขึ้นมากมายราวกับหน่อไม้ผุดขึ้นหลังฝนตก
ผู้หญิงที่นี่ก็สวมชุดเดรสลายดอกไม้และเสื้อผ้าคล้าย ๆ แบบนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน ทุกอย่างดูทันสมัยไปหมด และสีทึม ๆ ก่อนหน้านี้กำลังจะหายไป
โจวข่ายก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน ตอนที่กลับมา เขาถึงเอ่ยปากว่าเขาไม่ได้กลับมาแค่ปีเดียว อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก
ระหว่างการหยุดพักครึ่งเดือนนี้ โจวข่ายยังคงฝึกฝนร่างกายแบบที่เขาควรทำเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ทำอย่างผ่อนคลายมากขึ้น
หลินชิงเหอไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เธอบอกให้เขาออกไปเที่ยวสำรวจปักกิ่ง ไปว่ายน้ำหรือไปทำอะไรที่เขาอยากจะทำ
หลัก ๆ ก็คือ เพื่อให้เขาได้มีวันหยุดพักผ่อนที่ดี
“พอลูกกลับไปที่นั่นแล้ว จำไว้ว่าให้ไปสอบใบขับขี่เอาไว้ด้วย บางทีครอบครัวเราอาจจะซื้อรถในปีนี้” หลินชิงเหอบอกเขา
“ซื้อรถหรือครับ?” โจวข่ายประหลาดใจ “เรามีเงินมากขนาดนั้นหรือครับ?”
เขาถามหวังหยวนว่าที่พี่เขยของเขาแล้ว รถยนต์คันหนึ่งราคาหลายหมื่นหยวน
หลินชิงเหอรู้ว่าเขากำลังพูดถึงรถประเภทไหนได้โดยไม่ต้องถาม จึงเอ่ยว่า “ม้าจะซื้อรถบรรทุก รถยนต์คันเล็ก ๆ พวกนั้น ม้ายังไม่มีปัญญาจะซื้อหรอก”
“รถบรรทุกก็ดีเหมือนกันครับ” โจวข่ายตอบ “ผมจะไปสอบใบขับขี่ไว้ครับ”
หลินชิงเหอพยักหน้า
ลูกชายคนโตพักอยู่ที่บ้านนานครึ่งเดือน ระยะเวลาครึ่งเดือนไม่ใช่ช่วงเวลาสั้น ๆ เลย แต่กระนั้นก็รู้สึกเหมือนมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ต้องบอกว่า ใบหน้าของโจวข่ายอิ่มเอิบขึ้นมากในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ทั้งฝั่งของหลินชิงเหอและฝั่งท่านแม่โจวต่างก็ผลัดกันทำอาหารบำรุงร่างกายให้กับเขา ทำให้ร่างกายเขาดูมีเลือดฝาดและเต็มไปด้วยพลัง
“ปลายปีลูกพยายามกลับมาให้ได้นะ แต่ถ้ากลับมาไม่ได้ ก็โทรกลับมาบอกล่วงหน้าด้วย ม้าจะได้เตรียมของส่งไปให้” หลินชิงเหอมาส่งเขาที่สถานี เมื่อมองดูลูกชายคนโตสะพายกระเป๋าหลังและเตรียมตัวจะขึ้นรถไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนซ้ำอีกครั้ง
“ผมรู้แล้วครับ ม้า พวกม้ากลับกันไปได้แล้วละครับ” โจวข่ายพยักหน้ารับทราบ
โจวกุยหลายมาส่งเขาพร้อมกับแม่ พอพี่ชายคนโตขึ้นรถไป เขาก็พาแม่ของตนกลับ
“พี่ใหญ่เป็นคนฉลาด ยิ่งกว่านั้นยังตัวสูงใหญ่และเก่งขนาดนั้น ถ้าจะมีใครสักคนที่น่าเป็นห่วงเมื่อต้องออกไปอยู่ข้างนอก ก็ไม่ควรจะเป็นพี่ใหญ่หรอกครับ” โจวกุยหลายปลอบใจคุณแม่ของเขา
“เจ้าเด็กตัวเหม็น ไม่มีจิตสำนึกอยู่เลยหรือไง? พี่ใหญ่ของลูกต้องจากบ้านไปอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวลำพัง ม้าจะแนะนำอะไรเขาสักนิดไม่ได้เลยหรือไง?” หลินชิงเหอสั่งสอน
โจวกุยหลายแสดงสีหน้า 囧(1) ออกมา อะไรคือต้องอยู่ด้วยตัวเองคนเดียว? ก็แค่เดินทางออกไปข้างนอกเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?
เมื่อลูกชายคนโตต้องจากบ้านไป หลินชิงเหอจึงรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย เธอยังปรับตัวกับการที่ลูกชายของตนกลับมาแล้วก็ต้องจากไปไม่ได้ หลังจาก 2 วันแห่งการเศร้าซึม เธอก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ในเวลานี้เป็นช่วงปลายภาคเรียนแล้ว วันหยุดฤดูร้อนกำลังจะเริ่มขึ้นในอีก 10 วัน
“ปีนี้ป๊ากับม้าจะเดินทางไปตอนใต้อีกหรือเปล่าครับ? ไปที่นั่นกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือครับ?” โจวกุยหลายถาม
หลินชิงเหอตอบว่า “ปีนี้อาสามของลูกขอให้เราซื้อมอเตอร์ไซค์ไปให้ เราต้องช่วยซื้อกลับไปให้เขาคันหนึ่ง”
“จนป่านนี้แล้ว” โจวกุยหลายกล่าว
“ถ้าไม่ใช่อาสามของลูกแล้วละก็ลืมไปได้เลย จริง ๆ แล้วเราควรจะไปเที่ยวที่อื่นบ้าง” หลินชิงเหอพูด
“ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนนี้ พี่รองก็จะไปสอนหนังสือให้คนอื่นอีก ตกลงว่าผมต้องอยู่เฝ้าร้านเกี๊ยวคนเดียวหรือครับเนี่ย?” โจวกุยหลายเอ่ย
“พี่รองของลูกจะไปสอนหนังสือเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไม่ใช่ว่าสอนเสร็จไปแล้วหรือ?”
“ผมถามพี่รองแล้วครับ พี่รองต้องไปสอนตอนบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น ม้าไปพูดกับพี่รองหน่อยสิครับ ให้มาช่วยที่ร้านเกี๊ยวด้วย” โจวกุยหลายตอบ
หลินชิงเหอมาคุยกับลูกชายคนรอง
“ผมจะไปสอนที่นั่นในตอนบ่าย แต่ผมสามารถกลับมาช่วยได้ในช่วงเช้ากับช่วงเย็นครับ เวลาจะได้ไม่ชนกัน” โจวเฉวี่ยนบอก
มีเด็ก 2 คนที่นั่นซึ่งต้องการให้เขาช่วยติวหนังสือให้ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง และได้เงินเพิ่มขึ้นมาเป็น 2 หยวน ต้องบอกว่าค่าสอนไม่ใช่น้อย ๆ เลย
ความจริงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินเลย นั่นเป็นเรื่องรองลงมา แต่ประสบการณ์ที่เขาได้รับกลับมานั้นค่อนข้างดีทีเดียว ท้ายที่สุดแล้วเขาจะพัฒนาไปสู่อาชีพทางด้านการศึกษาของตนเองได้ในอนาคต
หลินชิงเหอสังเกตเห็นว่าเขาชอบมันมาก ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ตอนนี้ลูกชาย 3 คนของเธอโตกันหมดแล้ว แต่ละคนต่างก็มีเส้นทางเป็นของตนเอง เธอไม่มีแผนที่จะเข้าไปแทรกแซงในเรื่องการพัฒนาตนเองของพวกเขา
“ต้องฝากร้านไว้กับลูกแล้วละจ้ะ ม้าหวังในตัวลูกเอาไว้สูงมากนะ” หลินชิงเหอเอ่ยพร้อมกับตบบ่าที่เจ้าสามของเธอเบา ๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องได้พักในช่วงนี้นะครับ” โจวกุยหลายประกาศ
“ม้าจะให้ลูกพักในระหว่างวัน ไปไหนก็ได้ที่ลูกอยากจะไป แค่จำไว้ว่าต้องไปตั้งแผงลอยขายของในตอนเย็น” หลินชิงเหอเตือน
ต่อไปในอนาคตเจ้าสามจะต้องมาพัฒนาธุรกิจ ฉะนั้นหลินชิงเหอจึงไม่ลังเลที่จะบอกให้เขาลงมือทำในเรื่องอย่างเช่นการไปตั้งแผงขายของบนถนน
โจวกุยหลายมีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจโดยแท้ ชายคนนี้หน้าหนาและยังสามารถสื่อสารโต้ตอบได้ดี เพื่อที่จะไปตั้งแผงขายของ ทุกเย็นเขาจะไปขอยืมรถสามล้อมาจากคุณลุงหม่าเพื่อขนย้ายเสื้อผ้าหลายสิบชุด ซึ่งมีทั้งของผู้ชายและผู้หญิง
จากนั้นก็แค่ไปที่ลานขายของเพื่อตั้งแผง เขาจะปูแผ่นผ้าพลาสติกลงบนพื้น แล้ววางเสื้อผ้าลงไปบนนั้น เท่านี้ธุรกิจก็เริ่มขึ้น
แม้ว่าจะมีอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น แต่เขาก็ตัวสูงและดูเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเขาบอกไปว่าตนเองอายุ 17 หรือ 18 ปี ทุกคนต่างก็เชื่อสนิท
นอกจากนี้เขายังพูดจาคล่องแคล่วลื่นไหล ชนิดที่ว่าสามารถโน้มน้าวใจคนได้อีกด้วย
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋เคยขี่จักรยานไปดูอยู่ครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะมีคนมากมายมุงอยู่โดยรอบ เขาก็ยังสามารถรับมือได้อย่างราบรื่น กล่าวได้ว่าเขารู้จักการเจรจาต่อรองกับผู้อื่นในขณะที่ขายเสื้อผ้า
ทุกคืนเมื่อเขากลับมา เสื้อผ้าจำนวนหลายสิบชุดจะเหลือเพียงแค่ 2-3 ชุดเท่านั้น แม้แต่ในวันที่แย่ที่สุด ก็ยังเหลือกลับมาเพียงแค่ 7-8 ชุด กำไรที่ได้สูงมากกว่าที่ขายในร้านเสียอีก
ทำไมน่ะหรือ?
เพราะร้านค้าจะต้องใช้ชื่อเสียงและอาศัยการบอกต่อกันปากต่อปาก ในขณะที่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นสำหรับร้านแผงลอย ผู้ที่สามารถต่อรองราคาเป็น จะทำให้เขาได้กำไรน้อยลง และสำหรับผู้ที่ไม่ต่อรองราคา โดยปกติก็จะถูกเขาขายของให้ในราคาที่แพง
เด็กคนนี้เข้าใจกฎข้อแรกของการเป็นนักธุรกิจหัวใส – จงเลือกเป้าหมายของตนเอง
เมื่อเขากลับมาตอนเย็น เขาจะนำเงินกลับมาและจัดการทำบัญชี โดยจะจ่ายคืนค่าสินค้าให้กับหลินชิงเหอก่อน ต่อจากนั้นก็จะนำเงิน 90% ของกำไรที่ได้มาให้กับหลินชิงเหอ
เธอก็เป็นนักขูดรีดด้วยเช่นกัน เอากำไรถึง 90% ส่วนที่เหลือ 10% ค่อยให้เขาเป็นค่าขนม
ก็เขายังเป็นเด็กอยู่เลย แม้ว่าเจ้าลิงตัวนี้จะถูกหว่านล้อมได้ง่าย แต่ในอนาคตการจะหว่านล้อมเขาคงจะทำได้ยากขึ้น
หลินชิงเหอได้รับเงินมาและพูดถึงข้อสังเกตนี้ให้โจวชิงไป๋ฟัง
โจวชิงไป๋คิดว่ามันตลกดี เขารู้สึกว่าการที่ลูกทั้งสามคนสามารถเติบโตได้เป็นอย่างดีเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการอบรมสั่งสอนของภรรยาตน
บางครั้งพวกเขาก็เป็นแม่กับลูก บางครั้งพวกเขาก็เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เขาไม่เคยเห็นแม่อย่างเธอมาก่อนเลย ต้องพูดว่า ลูก ๆ ต่างก็ได้รับการสั่งสอนที่ดี
สำหรับโจวกุยหลาย เขาไม่ใช่คนที่ชอบเก็บเงิน แม้ว่าเขาจะได้เงินเพียง 10% จากกำไรที่ได้ทุกคืน เขาก็ยังสามารถทำเงินได้ประมาณ 5 หยวนต่อคืน
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะว่าหลินชิงเหอขึ้นราคาต้นทุนสินค้า ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้
อย่างไรก็ดี เงิน 5 หยวนนับว่ามากทีเดียว โจวกุยหลายจึงรู้สึกพอใจมาก
แม้ว่าจะมีตู้แช่เย็น 4 ตู้ที่ร้านเครื่องดื่มและ 1 ตู้ที่ร้านเกี๊ยว แต่ที่บ้านยังไม่มีตู้เย็นเลย
หน้าร้อนนี้เขาวางแผนไว้ว่าจะตั้งแผงขายของทุกวัน จากนั้นก็จะเก็บเงินเพื่อซื้อตู้เย็นให้ครอบครัว 1 เครื่อง!
……………………………………………………………………………………………………