ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 633 นายน้อยสาม
บทที่ 633 นายน้อยสาม
โจวกุยหลายไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ถึง 20 กว่าวัน พอกลับมาก็มีงานให้ทำไม่น้อยเช่นกัน อันดับแรกคือเช็คสินค้าในร้านค้าของครอบครัวก่อนรอบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มตรวจบัญชี
มีรายรับเท่าไรมีรายจ่ายเท่าไร ทั้งหมดล้วนต้องเรียกหม่าเฉิงหมินมาถาม
หม่าเฉิงหมินแจกแจงให้ฟังอย่างสมเหตุสมผล แม้จำนวนที่ออกมาจะไม่ตรงกันนัก ส่วนโจวกุยหลายก็รู้ว่าต้องมีจุดผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไร
รายรับทั้งหมดของร้านล้วนอยู่ในมือของโจวเอ้อร์นี ที่หลังจากเรียนขับรถเป็นแล้วก็คอยเก็บสมุดบัญชีและจดบัญชี โจวกุยหลายมองดูรอบหนึ่งแล้วรู้สึกตกใจเล็กน้อย
รายรับครอบครัวเขาไม่น้อยเลยจริง ๆ
และน่าประทับใจมากเช่นกัน
รอให้ร้านที่เซี่ยงไฮ้เปิดเมื่อใด ธุรกิจของครอบครัวเขาต้องพุ่งทะยานขึ้นไปอีกขั้นแน่
แล้วโจวกุยหลายก็จัดการมอบงานให้หม่าเฉิงหมิน “สองร้านที่ไห่เตี้ยนนั่นบอกให้คนไปปรับแต่งใหม่ด้วยนะครับ แล้วก็สามร้านที่อยู่ตรงซีเฉิงกับตงเฉิงทั้งหมดนั่นตกแต่งให้กลายเป็นร้านชาให้หมด”
“งั้นก็ควรต้องหาคนงานเพิ่ม” หม่าเฉิงหมินพูด
“เปิดรับสมัครเลยครับ เอาคนจากร้านสาขาหลักไปสองคน เลื่อนให้พวกเขาเป็นผู้จัดการร้าน” โจวกุยหลายพยักหน้าพูด
“ไม่รอพ่อกับแม่คุณกลับมาก่อนเหรอครับ?” หม่าเชิงหมิงถาม
“ไม่กี่ร้านเอง คิดว่าผมดูแลไม่ไหวเหรอครับ?” โจวกุยหลายถามกลับ
แน่นอนว่าต้องไม่มีปัญหา หม่าเฉิงหมินเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไรให้มากความและเรียกคนให้ไปจัดการ ส่วนโจวกุยหลายขับรถมาที่ร้านชา โจวเอ้อร์นีก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ซึ่งหล่อนกำลังนั่งทำบัญชีอยู่
โจวเอ้อร์นีไปเรียนขับรถมา 2-3 วัน สอบใบขับขี่ได้ก็กลับมาทันที พอโจวกุยหลายไม่อยู่ หล่อนก็อยู่ช่วยหม่าเฉิงหมินดูแลกิจการ
เงินที่ได้ในแต่ละวันนั้นจะมาอยู่ในมือของหล่อนทั้งหมด และนำไปฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของหลินชิงเหอ
“กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ? ฉันยังนึกว่าเธอจะไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ซะอีก” โจวเอ้อร์นียิ้มพูด
“มีที่ไหนไปนานขนาดนั้นกันครับ เดิมทีผมสามารถกลับมาได้ตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แค่อยากอยู่นานหน่อย 2-3 วันเท่านั้น” โจวกุยหลายยิ้ม หลังจากนั้นก็พูด “พี่เอ้อร์นี รถข้างนอกนั่นของพี่เหรอครับ”
โจวเอ้อร์นียิ้มบาง “พี่เขยเธอซื้อให้น่ะ”
หลังหล่อนกลับมาจากการสอบใบขับขี่ หวังหยวนก็ซื้อรถให้ทันที ตอนนี้หล่อนสามารถขับรถไปทำงานได้ ตอนเย็นก็ขับกลับบ้าน ช่างสะดวกสบายยิ่งนัก
“โอ้ ไม่แปลกใจเลยครับ ก็เขามันคนรวยนี่น่า ผมชักจะอิจฉาซะแล้ว” โจวกุยหลายนั่งลงยิ้มพูด
“น้อย ๆ หน่อย กิจการของปีนี้ ฉันเห็นแล้วยิ่งอิจฉากว่าอีก” โจวเอ้อร์นียิ้มพูด
หล่อนเป็นคนทำบัญชีแล้วนำไปฝากธนาคารเองกับมือ รายได้ดีขนาดไหนยังต้องพูดอีกไหม? ตอนปีที่แล้วก็ได้หลายแสนหยวน ปีนี้เห็นได้ชัดว่ากิจการจะดีขึ้นแน่
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เนื่องจากตอนนี้เศรษฐกิจนับวันยิ่งดีขึ้น ๆ อัตราการซื้อก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่มีกำไรมากขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่าเป็นเพราะร้านค้าดำเนินกิจการมานานแล้ว ระดับความน่าเชื่อถือของชื่อร้านจึงยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน นอกจากนี้สินค้าของพวกเขาก็มีคุณภาพมาโดยตลอด
ใบชาที่ไม่ดีเขาจะไม่นำมาวางไว้ในร้าน ทั้งหมดผ่านการตรวจสอบแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีรับประกันเปลี่ยนคืนสินค้า มีการบริการไม่เลว ดังนั้นชื่อเสียงของร้านจึงดีตามไปด้วย
โจวกุยหลายเริ่มทำการชงชาและพูดไปด้วย “ก็แค่ธุรกิจขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น จะเทียบกับโรงงานใหญ่ของพี่เขยได้อย่างไรล่ะครับ? นั่นสิถึงจะสมกับคำว่ามีโชคมีชัยมีเงินทองไหลมาเทมาทุกวัน”
สองพี่น้องผลัดกันยกยอไปมา พนักงานคนอื่นที่ได้ยินต่างก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
โรงงานเสื้อผ้าของหวังหยวนนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ยิ่งโรงงานใหญ่มากเท่าใด ความกดดันก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เนื่องจากต้องดูแลชีวิตคนเป็นพันคนในโรงงาน เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหนกัน?
เป็นความจริงที่ว่ากิจการมีกำไรไม่น้อย แต่ตอนจ่ายเงินเดือนในแต่ละเดือนก็ลำบากแทบตายเหมือนกันนะ
เงินเดือน 100 กว่าหยวนต่อคน 1,000 คนก็กี่แสนกี่หมื่นหยวนแล้ว ทุกเดือนต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานหลายหมื่นหยวน แต่รายได้ของทางนี้กลับมีเทียบเท่ากันหลายหมื่นหยวน เพียงเท่านี้ก็คนละชั้นแล้ว
แน่นอนว่าเงินเดือน 200 หยวนต่อเดือนนี้นั้นเป็นขนหงส์เขากิเลน* ของยุคนี้แล้ว ดังนั้นรายได้หลายหมื่นหยวนต่อเดือนนั้นไม่ต้องพูดมากก็รู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
(*ของหายาก)
เพียงแต่ว่าหากเทียบกับพวกชนชั้นสูง ๆ ที่มีเยอะก็ไม่พอใช้นั้นเห็นคงจะไม่ได้ สามารถพูดได้เพียงว่าเทียบกับข้างบนไม่พอ เทียบกับข้างล่างเหลือเฟือ*
(*หมายถึง คนรวยคิดว่าตัวเองยังมีเงินไม่พอ แต่สำหรับคนชนชั้นรองลงมาเป็นจำนวนที่พอกินพอใช้ชีวิตแล้ว)
“เธออยากไปดูเรือนสี่ประสานที่อยู่ตรงนั้นหน่อยไหม เมื่อวานฉันกับพี่เขยนายเพิ่งไปดูกันมา เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ใหม่ที่เพิ่งทำเสร็จมาส่งแล้วนะ” โจวเอ้อร์นีพูด
“ได้ครับ อีกสักพักผมจะไปดู” โจวกุยหลายตอบ
“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอาสี่กับอาสะใภ้สี่ไปซื้อเรือนสี่ประสานกันตอนไหน ที่นั่นกว้างขวางทีเดียว ฉันเข้าไปก็แทบจะหลงทางอยู่แล้ว” โจวเอ้อร์นียิ้มพูด
โจวกุยหลายก็เคยไปดูบ้านของตัวเองมาแล้วเช่นกันราว 2-3 ครั้ง ตอนนั้นที่เรียกให้คนมาซ่อมแซมบ้าน เขาเองก็รู้สึกแปลกประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวเขาซื้อเรือนสี่ประสานหลังใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
อีกทั้งยังไม่ใช่เรือนสี่ประสานธรรมดา ยังเป็นเรือนแบบสองวงอีกด้วย มันจึงมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เขาเคยถามพ่อกับแม่แล้วว่าซื้อมาเท่าไหร่ แต่พ่อกับแม่เขาไม่พูด และก็ไม่รู้ว่าซื้อมาตอนไหน พวกเขาปิดเอาไว้เสียมิด
หลังจากดื่มชากับโจวเอ้อร์นีเสร็จ โจวกุยหลายก็ขับรถมาที่เรือนสี่ประสานด้วยตัวเอง
เดือนนี้แม่บ้านก็ได้มาถึงแล้ว แม้ว่าตอนนี้เจ้าของบ้านจะยังไม่ได้เข้ามาอยู่ แต่นางก็ต้องมาทำความสะอาดบ้านดูแลสวนดอกไม้ต่าง ๆ ทุกวัน และก็รู้จักโจวกุยหลายแล้วเช่นกัน พอเห็นเขานางก็ขานเรียกว่า ‘นายน้อยสาม’
โจวกุยหลายเดินวนรอบหนึ่งแล้วก็พูดขึ้น “อาอี๋ครับ ชั้นหนังสือที่สั่งไปยังไม่เสร็จใช่ไหมครับ?”
“พวกเขาบอกว่าไม้ชิงชัน[1]นำมาส่งแล้ว อีกไม่นานชั้นหนังสือที่ต่อเสร็จแล้วก็จะมาส่งค่ะ”
“อืม อีกไม่กี่วันพ่อกับแม่ผมก็จะกลับมาแล้ว กลับมาก็จะย้ายบ้านด้วย ทางนี้คงต้องรบกวนอาอี๋แล้ว” โจวกุยหลายพูด
“นายน้อยสามเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” คุณป้าแม่บ้านพูด
โจวกุยหลายไม่ได้อยู่นาน เขาขับรถมาร้านอาหารทะเลแห้งและเอาหอยเป๋าฮื้อมาด้วย 2 ชั่ง เขาหิ้วกลับมาด้วยกะว่าจะให้คุณปู่คุณย่าและคุณปู่บุญธรรมกินเป็นมื้อเย็น
แต่ขับมาได้ครึ่งทาง โจวกุยหลายก็เห็นคนหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่ง แน่นอนว่าคนคนนั้นกำลังเดินอยู่บนทางเท้าและมองไม่เห็นเขา
หากไม่ใช่สวี่เชิงเฉียงแล้วจะเป็นใครได้?
“ทำไมถึงออกมาเร็วขนาดนี้นะ ไม่ใช่ว่าเขาได้ออกปลายปีนี้เหรอ?” โจวกุยหลายไม่ได้หยุดรถสนใจเขา เพียงพูดพึมพำกับตัวเอง
เขาไม่รู้ว่าวันนี้สวี่เชิงเฉียงถูกปล่อยตัวออกมาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ซึ่งกำหนดการเดิมต้องเป็นปลายปีนี้ แต่ว่าเขามีความประพฤติดี ดังนั้นจึงถูกปล่อยตัวออกมาก่อน
แต่ถึงจะเป็นพี่น้องกันเขาก็ไม่มีอะไรต้องพูด ถ้าความคิดไม่เหมือนกันก็ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ และหากพี่น้องแท้ ๆ ยังเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องห่าง ๆ อย่างอีกฝ่ายเลย
โจวกุยหลายไม่สนใจเขา ขับรถกลับบ้านเตรียมไปทำกับข้าวให้คุณปู่คุณย่ากินอาหารเย็น
ทันทีที่สวี่เชิงเฉียงกลับมาถึง จางเหมยเหลียนที่เปิดร้านอยู่ก็ตกใจเมื่อเห็นเขา
“ผมกลับมาแล้วทำไมคุณไม่ดีใจล่ะครับ?” สวี่เชิ่งเฉียงเห็นหล่อนมีท่าทางตกใจก็ขมวดคิ้วพูด ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่จริง ๆ เขาเข้าไปแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่อยากจะเข้าไปอีกเลย
“เฉียงจือ คุณกลับมาแล้ว ฉันก็ต้องดีใจสิคะ” จางเหมยเหลียนระงับอาการใจสั่น รีบพูดว่า “ฉันก็แค่ตกใจ แล้วทำไมคุณได้ออกมาก่อนคะ ไม่ใช่ว่าคุณ….ไม่ใช่ว่า….”
“ผมถูกปล่อยตัวออกมา ไม่ได้หนีออกมาหรอกครับ” สวี่เชิงเฉียงพูด
ท่าทางการพูดของเขาไม่ได้ดูโผงผางเท่าก่อนหน้านี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าหลังจากเข้าคุกไป 2 ปีกว่าจะทำให้เขาได้สำนึกอะไรขึ้นมาบ้างไม่น้อย
…………………………………………………………………………………………………………………………….
[1]ไม้ชิงชัน 黄梨木 (Brachystegia spp) เป็นไม้ที่มีสีอ่อน มีแก่นไม้แถบสีน้ำตาลแดงไปจนถึงสีเหลืองทอง
สารจากผู้แปล
ครอบครัวแม่จะย้ายมาอยู่เรือนสี่ประสานกันแล้ว มี่มี่ช่างโชคดีจริง ๆ ค่ะ
เชิ่งเฉียงกลับใจแล้วก็ดีใจด้วย ขอให้จากนี้ต่อไปเป็นคนดีจริง ๆ นะคะ
ไหหม่า(海馬)