ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 653 แค่อยากทำงาน
บทที่ 653 แค่อยากทำงาน
ถึงแม้ลูกชายจะไม่มีค่ามากเท่า แต่เรื่องที่ต้องสนับสนุนก็ยังต้องสนับสนุนอยู่ดี
และด้วยการสนับสนุนจากคนทั้งบ้าน ร้านไวน์ของเจ้าสามโจวกุยหลายจึงได้ฤกษ์เปิดทำการ กลายเป็นร้านไวน์เพียงร้านเดียวของถนนเส้นนั้น และอยู่ใกล้กับโครงการเล็กๆโครงการหนึ่งทางฝั่งตงเฉิงที่ห่างออกไป 10 นาทีจากถนนเส้นนั้น ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนรวย
ต้องยอมรับเลยว่าที่เจ้าสามเลือกร้านนี้ และยอมลงทุนซื้อในราคาสูงทั้งยังตกแต่งยกร้านเสียใหม่ก็เพราะว่ามีเหตุผลของเขา
เฒ่าหวังกับท่านพ่อโจวชอบดื่มไวน์มาก
แม้ท่านแม่โจวจะลองจิบสักคำเพื่อนำไปโม้ในสวนสาธารณะว่าหลานชายซื้อไวน์ให้นางดื่ม แต่นางก็ยังคิดว่าตาแก่สองคนนั้นไม่ค่อยเข้าท่า
ไวน์นี่แพงก็แพง ของนอกทั้งนั้นด้วย เจ้าสามกับพี่เขยรองเขาทำธุรกิจก็ไม่ได้ง่าย จะให้พวกเขาเอาไปดื่มกับคนอื่นในสวนสาธารณะแบบนั้นได้ยังไงกัน?
จนกระทั่งไม่กี่วันต่อมา เฒ่าหวังกับท่านพ่อโจวถึงได้กลับมาพร้อมกับไวน์แดง 5 ขวด พวกเขาบอกว่าชายชราคนอื่น ๆ อยากจะซื้อ ทั้งคู่เลยช่วยหาสินค้ามาให้ และตอนนี้เองท่านแม่โจวก็ถึงบางอ้อ
จริง ๆ แล้วตาแก่สองคนนี้กำลังช่วยโฆษณาให้
ร้านไวน์ของเจ้าสามไม่ได้ขายดีขนาดนั้น แต่ละวันขายได้ประมาณ 8-9 ขวด คนที่ซื้อมาจากโครงการตงเฉิงทั้งนั้น และซื้อไปแต่ขวดแพง ๆ
หลินชิงเหอจึงแนะนำเขาให้ทำระบบบัตรทองเงินทองแดง คนที่ถือบัตรทองมาซื้อราคาเหลือ 70% คนที่ถือบัตรเงินราคาเหลือ 80% คนที่ถือบัตรทองแดงราคาเหลือ 90%
เธอบอกแค่ภาพรวม ที่เหลือให้เจ้าสามไปเตรียมการเอง แต่ต้องยอมรับว่าโลกของเจ้าสามเหมือนได้เปิดประตูบานใหม่
ทั้งหมดเริ่มจากร้านไวน์ร้านแรกของเขา ต่อจากนั้นร้านไวน์นี้ก็ขยายสาขาไปทั่วปักกิ่ง แม้แต่เซึ่ยงไฮ้ยังมีร้านสาขาของเขา
ในร้านมีแต่ไวน์นำเข้าทั้งนั้น ชื่อเสียงของร้านก็เยี่ยมยอด มีลูกค้าประจำของตัวเองไม่ขาด ขณะเดียวกันลูกค้าใหม่ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในอนาคต
ช่วงนี้หลินชิงเหอกำลังลังเลอยู่ว่าเธอจะเปิดห้องทำงานโดยเฉพาะดีไหม เพราะเธอตั้งใจจะทำงานแปล
แต่เรื่องห้องทำงานยังไม่ทันเข้าที่ เจียงเหิงก็มาจากเซี่ยงไฮ้ในเดือนกรกฎาคม
คน ๆ นี้คือลูกพี่ลูกน้องของเจียงเกิงลูกชายบุตรธรรม ถึงตอนนี้จะทำงานเป็นลูกน้อง แต่หลินชิงเหอก็ดูแลเขาดีมาก และจัดการให้เขาเข้าอยู่ในบ้านเลย
“อยู่ที่นี่ไม่ต้องอึดอัดนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเองก็พอ พรุ่งนี้เสี่ยวเกิงหยุด ให้เสี่ยวเกิงพาเธอไปเดินเที่ยวรอบ ๆ แล้วค่อยไปดูที่ร้านขายชาด้วยชื่อของเขา” หลินชิงเหอบอกเขา
เจียงเกิงเป็นคนใช้ได้ ไม่สูงมากแต่ก็ไม่เตี้ย หน้าตาก็ไม่ได้ดูไม่น่าไว้ใจ คนแบบนี้หลินชิงเหอยินดีอบรมอยู่แล้ว
เจียงเหิงรีบบอก “ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยครับ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเริ่มเรียนวันนี้ได้เลย”
เขามาเรียนวิชาบริหารที่นี่ ไม่ได้มาเที่ยว อีกอย่างเทียบกับการได้เที่ยวแล้ว ในวัยของเขา รักษาหน้าที่การงานไว้และเก็บเงินแต่งภรรยาสิเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ตั้งแต่มาทำงานกับเจ้าสาม เงินเดือนเขาสูงขึ้นขนาดไหนกัน เขาให้ที่บ้านส่วนหนึ่ง ที่เหลือเก็บไว้เอง
มีเสบียงในมือจะสบายใจกว่า เขาให้ความสำคัญกับงานนี้มาก
เขาจึงไม่อยากเที่ยวเล่น อยากทำงานอย่างเดียว
หลินชิงเหอเห็นท่าทางเขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “เสี่ยวเกิงเป็นลูกชายบุญธรรมของฉัน เธอในฐานะลูกพี่ลูกน้องเขา เรียกฉันว่าน้าหลินก็ได้นะจ๊ะ
”
“ครับน้าหลิน” เจียงเหิงเรียกอย่างว่าง่าย
หลินชิงเหอพยักหน้า ให้เจ้าสามพาเจียงเหิงไปที่ห้องเขา ส่วนเธอไปเอารายงานการขายที่บ้านมา
ยังไม่ทันได้ดู โทรศัพท์ที่บ้านก็ดังขึ้น “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
นี่เป็นการทักทายเวลารับโทรศัพท์ ตอนที่รับสายเลยโดยไม่ดูว่าใครโทรมาก็จะทักทายแบบนี้
เสียงของโจวอู่นีดังมาตามสาย “อาสะใภ้สี่”
“อู่นีเหรอ” หลินชิงเหอยิ้ม และเอ่ยขึ้น “ปิดเทอมฤดูร้อนรึยัง? อาสะใภ้สี่รอพวกเธอมานานแล้วนะ”
“วันนี้เพิ่งปิดค่ะ พรุ่งนี้หนูจะพาหลินซิ่วไปแต่เช้าเลยค่ะ” โจวอู่หนียิ้ม
หลินชิงเหอรับคำ บอกว่าถึงตอนนั้นให้เจ้าสามขับรถไปรับ โจวอู่นีจึงบอกกลับ “ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูจำทางได้อยู่ ถึงตอนนั้นก็พาหลินซิ่วไปสัมผัสประสบการณ์ด้วยกัน ไม่ต้องให้เจ้าสามมาหรอกค่ะ”
หลินชิงเหอคิดไปชั่วขณะและพบว่าตอนนี้เจ้าสามก็งานยุ่งจริง ๆ เขาใส่ใจร้านไวน์ของเขามาก ช่วงนี้วิ่งคุยธุรกิจอยู่ตลอด
เธอจึงเอ่ยขึ้น “อย่างอื่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แค่ถนนเส้นเล็กเปลี่ยนเป็นถนนเส้นใหญ่ ไปที่ร้านเกี๊ยวของอาสี่ก็ได้ เขาอยู่ที่นั่นแหละ”
ช่วงนี้โจวชิงไป๋ที่จับปลาสองวันตากแหอีกสามวันไปบริหารร้านเกี๊ยวของเขาอีกแล้ว โดนเพื่อนบ้านบ่นว่าเขาเอาแต่ใจไปไม่น้อย
พูดได้แค่ว่าเรื่องในโลกนี้ยากจะคาดเดา ตอนแรกหลินชิงเหอแค่อยากมาหางานมั่นคงสักงานทำที่ปักกิ่ง แต่พอได้เปิดร้านเกี๊ยวก็ไถลไปไกลเลย
ตอนแรกเป็นร้านเกี๊ยว หลังจากนั้นเป็นร้านเสื้อผ้า จนตอนนี้บุหรี่เหล้าชามีครบหมด แม้จะเป็นร้านขนาดเล็กก็ตาม
เนื่องจากวันนี้โจวชิงไป๋เปิดร้านเกี๊ยว กว่าจะกลับก็ปาไปสองทุ่ม สาวน้อยมี่มี่จึงคิดถึงพ่อ เมื่อเห็นเขากลับมาแล้วรีบวิ่งเข้าไปให้เขาอุ้ม
“ปะป๊ากินข้าวรึยังคะ ” สาวน้อยมี่มี่ถาม
“ยังเลย” โจวชิงไป๋กินเกี๊ยวรองท้องไปแล้ว แต่คนเปิดร้านเกี๊ยวย่อมกินเกี๊ยวจนเลี่ยน ต่อให้ของอร่อยแค่ไหนพอเปิดขายเองก็จบ เห็นทุกวันต่อให้ไม่ค่อยกินก็ไม่อยากกิน
ข้าวที่บ้านยังอร่อยกว่า
“ในครัวยังมีข้าวอยู่ ปะป๊ารีบไปกินเถอะค่ะ” สาวน้อยมี่มี่บอกให้พ่อวางเธอลง
หลินชิงเหอเอ่ย “สองสามวันนี้คุณต้องอยู่ที่ร้านเกี๊ยวตลอดนะ อู่นีกับอาซิ่วจะมาที่นี่ พวกเธอยังไม่รู้จักที่ทางดี ฉันเลยบอกให้ไปหาคุณที่ร้านเกี๊ยวของคุณ”
“ได้” โจวชิงไป๋พยักหน้า
หลินชิงเหอจึงให้เขาเข้าไปกินข้าวก่อน เธอเหลือซุปซี่โครงรากบัว พริกหยวกผัดเนื้อ และปลาทอดสองชิ้นไว้ให้ ที่เหลือเป็นข้าว
นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว กับข้าวดูธรรมดาสุด ๆ แต่โจวชิงไป๋ไม่เห็นว่าน้อยไป ตอนนี้เขาอ้วนง่ายมาก ยังดีที่ออกกำลังกายหนักขึ้นแล้ว ไม่อย่างนั้นน้ำหนักตัวคงพุ่งแน่
“เจียงเหิงกลับไปพักผ่อนแล้วหรอ?” หลินชิงเหอมองเจ้าสามแล้วเอ่ย
“สะเทือนใจมาน่ะครับ” เจ้าสามหัวเราะ
ร้านของเจียงเหิงที่เซี่ยงไฮ้ถือว่าขายดี แต่ละเดือนมีเงินเข้าหลายพันหยวน ถือว่าใช้ได้มากแล้ว
แต่พอมาอยู่นี่ เจียงเหิงก็ได้เห็นเถ้าแก่สักคนของที่นี่ขับรถมารับชา ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนยอดขายทั้งเดือนของเขา
นี่แค่หนึ่งในร้านขายชา แล้วที่อื่นล่ะ
ไม่อย่างนั้นทำไมปีนี้หลินชิงเหอถึงไปไร่ชาทางใต้ด้วยตัวเองล่ะ เพราะธุรกิจปีนี้ขยายตัวกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่า ชื่อเสียงเลื่องลือออกไปแล้ว ถ้าเถ้าแก่ใหญ่ ๆ อยากดื่มชาก็จะขับรถมาซื้อที่นี่เป็นที่แรก
แน่นอนว่าเธอขายราคาพิเศษให้เถ้าแก่ใหญ่เหล่านี้
แถมช่วงเทศกาลหลินชิงเหอก็เตรียมของสมนาคุณให้ลูกค้ารายใหญ่เหล่านี้ ซึ่งในนั้นมีทั้งโสมทะเลและเป่าฮื้อ
……………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ลูกค้าคงคิดถึงแต่ร้านเกี๊ยวพ่อกันแน่ ๆ ค่ะ ปิดเปิดๆ อยู่จนเดาไม่ถูก
เจียงเหิงได้ประสบการณ์ไปแล้ว เหลือแต่พัฒนาตัวเองให้ทำยอดขายได้เยอะเท่าที่ปักกิ่งแล้วนะคะ
ไหหม่า(海馬)