ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 665 หยั่งเชิงไร้ผล
บทที่ 665 หยั่งเชิงไร้ผล
“มาเองแบบนี้ป้าสะใภ้ใหญ่เธอกับพ่อเธอตกใจแย่ ในเมื่อเป็นไข้ไม่สบายก็ตรวจร่างกายที่นี่ซะ พรุ่งนี้ฉันจะให้อาสี่เธอพาไปโรงพยาบาล จากนั้นก็อยู่ที่นี่ได้จนกว่าจะหาย แต่หลังจากนี้ต้องกลับบ้านนะ” หลินชิงเหอกล่าว
คราวนี้โจวลิ่วนีมึนแล้วจริง ๆ
ถ้าอาสะใภ้สี่หล่อนไม่เหมือนเดิมก็ต้องได้ยินสิ่งที่หล่อนบอกป้าสะใภ้ใหญ่สิ
เธอหนีไปกับผู้ชายคนอื่น พวกโจวข่ายก็มีจุดจบที่ไม่ดี แต่หลังจากได้ยินแล้วทำไมเธอกลับมีท่าทางเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่สักนิด? อย่างกับที่หล่อนพูดเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างงั้นแหละ
แต่ในเมื่อระหว่างชาตินี้กับชาตินี้แล้วมีความแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ โจวลิ่วนีก็ไม่เชื่อหรอกว่าไร้สาเหตุ หล่อนต้องอยู่ดูไปสักพักแล้วค่อยว่ากัน
ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยขึ้น “อาสะใภ้สี่คะ ฉันอยากอยู่ที่นี่ค่ะ”
“เรื่องนั้นจะเป็นไปได้ยังไงกัน” หลินชิงเหอได้ฟังก็ตวัดสายตามองหล่อน ไม่ปิดบังความดูแคลนในสายตาเลยสักนิด
สายตาแบบนี้โจวลิ่วนีช่างคุ้นเคยสุด ๆ เหมือนกับสีหน้าตอนอาสะใภ้สี่ของหล่อนดูถูกคนอื่นเปี๊ยบ ไม่ต่างกันเลย!
หล่อนแอบก่นด่าในใจว่าจะแน่สักแค่ไหนเชียว ชาติก่อนก็หนีตามคนอื่นแถมโดนทิ้งกลางคันด้วย ได้ข่าวว่าตายไม่ดีอีก แต่กลับพูดออกไปว่า “อาสะใภ้สี่ ให้ฉันอยู่เถอะค่ะ กลับไปหมู่บ้านฉันคงต้องตายท่าเดียว ปากของคนพวกนั้นไม่ยอมปล่อยฉันไปเลย”
ชาติก่อนก็ด้วยเหตุนี้แหละ ทำให้หล่อนอยู่ในหมู่บ้านต่อไปไม่ได้ และไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านต่อ ถึงได้ไปทางใต้
ถึงแม้จะคุ้นเคยกับทางใต้ โดยเฉพาะขั้นตอนในการก้าวหน้า แต่ชาตินี้หล่อนไม่ค่อยอยากไปทางใต้เท่าไหร่ เพราะที่นั่นเป็นสถานที่อันน่าเศร้าของหล่อน
ตอนนั้นที่เพิ่งไปถึง หล่อนไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไร และใช้ชีวิตด้วยความลำบาก ต้องลงทุนลงแรงสุดความสามารถถึงประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นก็ได้กลายเป็นแม่เล้าผู้โด่งดัง
แต่ต่อมาก็โดนแมงดาพวกนั้นถ่วงอยู่ดี
ชาตินี้หล่อนจึงอยากเดินบนเส้นทางที่ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้อาสี่เธอก้าวหน้าขนาดนี้ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย ซึ่งหล่อนสามารถยืมลมบูรพานี้ผงาดขึ้นมาได้
ถ้าซื้อที่ในปักกิ่งนี้ได้ ครึ่งชีวิตที่เหลือของหล่อนคงได้รุ่งเรืองแน่!
“รู้อย่างนี้แล้วตอนนั้นจะทำทำไมล่ะ ตัวเองเป็นคนก่อเรื่อง ต่อให้ผลมันจะขมขื่นแค่ไหนเธอก็ต้องยอมรับ มาอยู่นี่เธอก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่เกรงใจ
โจวลิ่วนีโมโหสุด ๆ ชาติก่อนหล่อนเองก็มีฝีมือเหนือผู้อื่นเหมือนกันนะ สาว ๆ ในสังกัดมีใครกล้าเถียงหล่อนบ้าง โดนอาสะใภ้สี่ตัวเองรังเกียจแล้วรังเกียจอีกแบบนี้หล่อนจึงพูดอย่างมีนัยยะ “อาสะใภ้สี่คะ สุขภาพฉันคงไม่ดีขึ้นง่าย ๆ หรอก ฉันชอบฝันเห็นเรื่องแปลก ๆ อย่างเรื่องที่ป้าสะใภ้ใหญ่บอกคุณก็เป็นเรื่องที่ฉันฝัน ขนาดฉันเองยังตกใจเลยค่ะ”
พูดจบหล่อนหันไปจ้องหลินชิงเหอ อยากเห็นว่าจะมีสีหน้าปิดบังอะไรบางอย่างหรือไม่
แต่หลินชิงเหอไม่แยแสเลยสักนิด ไม่สนหรอกว่าหล่อนจะเกิดใหม่หรือทะลุมิติ ใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองไปลุยเอง ถ้าคิดจะมาชุบมือเปิบแบบนี้หล่อนไม่ต้องคิด
“ฉันและพวกพี่น้องเจ้าใหญ่สบายดีมาก ฝันของเธอไม่ใกล้เคียงความเป็นจริงเลยสักนิด พรุ่งนี้ให้อาสี่เธอพาไปแผนกจิตเวชตรวจดูดี ๆ เถอะ ดูซิว่าตกน้ำจนสมองมีปัญหารึเปล่า” หลินชิงเหอพูดอย่างดูถูก
เธอพอดูออกแล้วว่าโจวลิ่วนีน่าจะมาเกิดใหม่ ไม่ได้ทะลุมิติมา
แต่ความจริงก็คือหล่อนเกิดใหม่แค่ตัว สติปัญญาไม่ได้เกิดใหม่ด้วย ของอย่างสติปัญญาไม่ว่าชาติไหนก็ได้แค่นั้นแหละ บางทีโจวลิ่วนีชาตินี้อาจแค่มีชีวิตยืนยาวกว่าชาติก่อนเท่านั้น
บางคนอาจจะฉลาดเฉลียวขึ้นจริง อย่างไรเสียคนเราคงไม่ได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตไปอย่างเปล่า ๆ ปลี้ ๆ หรอก
แต่บางคนใช้ทั้งชีวิตไปอย่างเปล่า ๆ ปลี้ ๆ จริง
อย่างเช่นโจวลิ่วนีตรงหน้าเธอ
เกิดใหม่ปุ๊บก็โดนหาว่าเป็นคนบ้า แถมยังพูดเรื่องชาติก่อนของตัวเองออกมา เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์*เตือนสติคนอื่นชัด ๆ
*จงใจแสดงพลังความสามารถของตัวเองเพื่อขู่คนอื่น
มาหาแล้วจะดูอะไรออก
โจวลิ่วนีดูอะไรไม่ออกจริง ๆ ด้วยการดูแคลนหล่อนจากการแสดงที่มาจากนิสัยจริงของหลินชิงเหอบวกกับไม่เชื่อเรื่องฝันอะไรนั่นเลยสักนิด ถ้าเป็นคนมีพิรุธคงไม่เถียงหล่อนได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้หรอก
“อาสะใภ้สี่ พรุ่งนี้ฉันค่อยไปตรวจแล้วกันค่ะ แต่ฉันคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก” โจวลิ่วนีได้แต่พูดแบบนี้
“ถ้าไม่ใช่เห็นแก่พ่อเธอ ฉันไม่ให้เธออยู่หรอก” หลินชิงเหอแสดงความเขี้ยวของตัวเองออกมาได้อย่างสุดโต่ง และยิ่งเธอทำหน้าทำตาดูถูกญาติจากชนบท โจวลิ่วนีก็ยิ่งโมโห
ทว่าคิดไม่ตกว่าตรงไหนกันที่ผิดแปลกไป
คนที่ต้องหนีตามคนอื่นไปกลับไม่หนี พวกพี่น้องที่พบจุดจบไม่ดีกลับมีชีวิตก้าวหน้ากันทุกคน?
หล่อนมองหลินชิงเหอก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป แถมยังรู้จักแต่งตัวมากกว่าชาติที่แล้วด้วย ทั้งดูสวยกว่าเดิม
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง เธอแต่งตัวเป็นแบบนี้มาโดยตลอด ชาติก่อนสมัยอยู่ชนบทยังต้องทาครีมทุกวัน ชาตินี้มีเงินแล้วก็ไม่รู้ว่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายกับอะไรไปบ้าง
หล่อนได้แต่แขวะในใจ ปากไม่กล้าพูดอะไร แต่กำลังนึกโมโหอยู่แน่นอน
หลินชิงเหอเอาเสื้อผ้าของโจวอู่นีให้และไล่หล่อนไปอาบน้ำ
โจวชิงไป๋ไม่ค่อยเข้าใจ “ภรรยาครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หลินชิงเหอแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว “หมายถึงอะไรเรื่องอะไรเหรอคะ? คุณหมายถึงท่าทางของฉันต่อโจวลิ่วนีหรอ?”
โจวชิงไป๋ไม่ได้พูดอะไร หลินชิงเหอหัวเราะ “คุณจำไว้ให้ดี ๆ นะคะ หล่อนกับสวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนประเภทเดียวกัน ถ้าได้เกาะแล้วก็ยากจะสลัดหลุด ฉันอุตส่าห์เขี่ยสวี่เชิ่งเหม่ยออกไปได้แล้ว คุณอย่าเอาโจวลิ่วนีเข้ามาแทนที่เชียว เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องคุยหรอกค่ะ”
โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างละเหี่ยใจ “นิสัยอย่างลิ่วนีผมไม่เลี้ยงไว้หรอก”
“ก็ดีค่ะ” หลินชิงเหอลูบใบหน้าของเขา ชายแก่คนนี้ยิ่งอายุมากยิ่งมีเสน่ห์ บางครั้งเธอยังรู้สึกใจเต้นอยู่เลย
ชาติก่อนกลับต้องมีจุดจบแบบนั้น แค่คิดเธอก็รู้สึกแย่แล้ว
ส่วนโจวลิ่วนีมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น อย่าหวังว่าจะได้มาสร้างเรื่องสร้างราวที่นี่เลย
โจวชิงไป๋เพลิดเพลินไปกับความอ่อนโยนจากภรรยาตัวเอง ผู้ชายที่ในสายตามีเพียงภรรยาและลูกสาวก็ได้ลืมหลานสาวไปเสียสนิท
แต่วันรุ่งขึ้นเขาก็ยังพาหล่อนมาแผนกจิตเวช
โจวลิ่วนีโมโหสุด ๆ นี่เห็นหล่อนเป็นคนสติฟั่นเฟือนหรืออย่างไรกัน? ถึงแม้หล่อนแค่อยากหยั่งเชิงหลินชิงเหอเท่านั้น แต่ก็นึกหวาดหวั่นขึ้นมาจริง ๆ
หลังจากตรวจเสร็จแล้วหมอบอกว่าหล่อนประสาทอ่อนล้า ให้พักผ่อนเยอะ ๆ จ่ายยาอีกนิดหน่อยก็ให้กลับบ้าน
“อาสี่ ให้ฉันอยู่ที่นี่เถอะนะคะ ฉันจะตั้งใจทำงาน ไม่สร้างความวุ่นวายเลยค่ะ” โจวลิ่วนีบอก
โจวชิงไป๋สวนทันที “ไปถามอาสะใภ้สี่ของเธอ”
โจวลิ่วหนีนึกในใจไปว่าถามหลินชิงเหอแล้วจะได้อะไรขึ้นมา แม่นั่นไม่เคยเห็นหล่อนอยู่ในสายตาหรอก
หล่อนจึงเปลี่ยนความคิดว่าจะไปหาปู่ย่า อยากไปคุยกับปู่ย่าแทน
“เธออย่าไปหาปู่ย่าเลย พาพวกท่านโมโหเปล่า ๆ อยู่ที่นี่สักสองสามวันแล้วกลับไปเถอะ” โจวชิงไป๋โบกมือ
โจวลิ่วนีสะเทือนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อนแค่หย่า ต้องดูถูกกันขนาดนี้เลยเหรอ
พวกหัวโบราณนี่นะ ในอนาคตอัตราการหย่าพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ หย่าแล้วน่าอายตรงไหน
………………………………………………………………………………………………………………………..