ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 674 จดทะเบียนก่อน
บทที่ 673 เจ้าใหญ่กับเหม่ยเจี่ยกลับบ้าน
คนเราเวลาพบเจอเรื่องที่น่ายินดีจิตใจก็มีความสุขตาม เมื่อถึงเดือนธันวาคมอากาศก็จะหนาวมาก แต่ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ยังเรียกคนมาจัดการทำความสะอาดทั้งนอกบ้านในบ้าน
แล้วยังติดโคมไฟพร้อมแปะตัวอักษรมงคลบนนั้นด้วย
ภายใต้การจัดแจงตกแต่งของเธอ ทั้งเรือนสี่ประสานจึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นสิริมงคล
เจ้าใหญ่โจวข่ายและเวิงเหม่ยเจี่ยกลับถึงบ้านในวันที่ 18 ธันวาคม พอมาถึงบ้านก็เห็นภาพนี้
เจ้าสามคลี่ยิ้มกว้าง “แม่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้พี่กับพี่สะใภ้ใหญ่หมดเลย รวมถึงห้องหอของพวกพี่ด้วย”
เวิงเหม่ยเจี่ยไม่ได้กลับบ้านของหล่อน แต่มาที่เรือนสี่ประสานด้วยกัน และได้เจ้าสามพาพวกเขามาดูห้องหอของทั้งสอง
“ต้องลำบากน้าหลินแล้ว” เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ยยิ้ม ๆ
“แม่บอกว่าพวกพี่ชอบก็ดีแล้ว ไม่ลำบากอะไรหรอกครับ” โจวกุยหลายบอกพร้อมยิ้มกว้าง
โจวข่ายพอใจมากกับห้องหอที่แม่เขาเตรียมให้ แต่ตอนนี้หลินชิงเหอไม่อยู่บ้าน เพราะเธอนัดคุณแม่เวิงออกไปแช่น้ำพุร้อน
เดี๋ยวนี้การแช่น้ำพุร้อนเป็นกิจกรรมระหว่างสองครอบครัวที่กำลังจะเกี่ยวดองกันบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่พวกเธอสองคน โจวเอ้อร์นีกับโจวเสี่ยวเหมยก็ไปด้วยเหมือนกัน
พอหลินชิงเหอกลับมาถึงบ้านก็เห็นลูกชายและลูกสะใภ้คนโตถึงบ้านแล้ว เธอรู้สึกดีใจมาก
“ทำไมกลับมาก่อนกำหนดหนึ่งวันล่ะจ๊ะ น้านึกว่าพวกเธอจะมาถึงพรุ่งนี้เสียอีก เมื่อกี้แม่เธอก็อยู่กับน้า” หลินชิงเหอพูดกับเวิงเหม่ยเจี่ยด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวฉันกลับไปค่ะ” เวิงเหม่ยเจี่ยตอบยิ้ม ๆ “น้าหลินคะ พวกเราเห็นห้องแล้วนะคะ”
“ชอบไหมจ๊ะ?” หลินชิงเหอยิ้มและถาม
ห้องหอที่เตรียมไว้ให้คู่แต่งงานใหม่นี้เรียกได้ว่าพิถีพิถัน ทั้งดูสวยและโอ่อ่า แถมยังไม่ดูรกรุงรังเกินไป
เวิงเหม่ยเจี่ยชอบอยู่แล้ว ส่วนโจวข่ายเอ่ยขึ้น “ม้า ทำไมม้ายังสาวขนาดนี้ล่ะครับ ดูสภาพป๊าผมสิ อย่างกับเป็นพ่อของม้าแน่ะ”
“พี่จะชมม้าก็ชมไป ต้องว่าป๊าด้วยเหรอ สภาพป๊าก็ยังดูหนุ่มอยู่มากนะ” โจวกุยหลายกล่าว
“ปะป๊ายังหนุ่ม ปะป๊าไม่แก่” สาวน้อยมี่มี่ก็ปกป้องพ่อของเธอเหมือนกัน
โจวชิงไป๋ถึงไม่ไปตบลูกชายคนโต เขาอุ้มลูกสาวขึ้นมา โจวข่ายทำมือจะรับน้องสาว แต่โจวชิงไป๋ไม่ให้ “อยากได้ก็มีเองสิ”
“ป๊าอย่าได้ใจไป ปีหน้าผมจะมีให้ดู” โจวข่ายกล่าว
เวิงเหม่ยเจี่ยหน้าแดงเล็กน้อย มองค้อนเขาไปทีหนึ่ง ขณะที่โจวข่ายเอ่ยต่อ “ที่นู่นเราเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว มีลูกได้แล้ว มีเร็วจะได้สลัดหลุดเร็วด้วย”
เวิงเหม่ยเจี่ยแอบหยิกเขาเบา ๆ เรื่องแบบนี้บอกกับหล่อนส่วนตัวก็ได้นี่ พูดแบบนี้แล้วจะให้หล่อนพูดต่อว่าอะไรเล่า?
หลินชิงเหอเทน้ำผึ้งมะนาวให้พวกเขาก่อนจะเอ่ย “พวกลูกสองคนจะไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำหรืออาบที่บ้านละ”
“อาบที่บ้านน้ำไม่เย็นไปหรอครับ?” โจวข่ายเอ่ย
“มีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ ไม่เย็นหรอก” หลินชิงเหอบอก
เธอสั่งทำห้องอาบน้ำบ้านตัวเองเป็นพิเศษ ตอนอาบน้ำจึงไม่ถึงกับหนาว โจวข่ายเข้ามาดูแล้วไม่สนใจเท่าไร เขาอาบน้ำที่โรงอาบน้ำจนชินแล้ว ไม่ว่าจะที่กองทัพหรือที่ไหนเขาก็ชินกับการอาบที่โรงอาบน้ำ มีคนช่วยขัดหลังอย่าให้พูดเลยว่าสบายขนาดไหน
แต่เวิงเหม่ยเจี่ยไม่อยากไปอาบน้ำข้างนอก หล่อนอยากอาบน้ำในบ้านมากกว่า
โจวข่ายจึงเรียกเจ้าสามไปด้วย สองพี่น้องพากันไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ
แล้วโจวข่ายจะได้สอบถามเรื่องที่บ้านกับน้องชายด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างไหม
“ไม่มีอะไร แค่พี่อู่นีแต่งงานแล้ว แต่งกับลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวเกิง แล้วก็พี่ซื่อนีคลอดลูกสาว” โจวกุยหลายเอ่ย
“ลูกสาวเหรอ?” โจวข่ายจิ๊ปากอย่างอิจฉา เขาเคยพูดกับเวิงเหม่ยเจี่ยว่าอีกหน่อยอยากได้ลูกสาว
เวิงเหม่ยเจี่ยถามว่าแล้วถ้าได้ลูกชายล่ะ? โจวข่ายจะทำอะไรได้ ถ้าเป็นลูกชายก็ต้องเลี้ยงอยู่ดี แต่คงไม่ได้สวัสดิการเหมือนลูกสาวเท่านั้นแหละ ไปเกลือกกลิ้งเอาเองเถอะ
“สวี่เชิ่งเฉียงกับสวี่เชิ่งเหม่ยหย่ากันหมดทั้งคู่” โจวกุยหลายนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
โจวข่ายถามเรื่องนี้ โจวกุยหลายจึงเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง พอฟังจบแล้วโจวข่ายก็เอ่ยขึ้น “จางเหมยเหลียนกับจ้าวจวินเป็นคนชั่ว พวกเขาสองคนอยากเอาตัวเข้าไปยุ่งเอง ก็สมควรแล้วล่ะ”
“ตอนนี้สวี่เชิ่งเฉียงมาช่วยงานที่ร้านเกี๊ยวของป๊า เขาเป็นคนดูแลแทบทุกอย่างในร้านเกี๊ยวเลย” โจวกุยหลายบอก
“ป๊าเป็นคนตัดสินใจหรอ?” โจวข่ายประหลาดใจ
“ม้าก็ตกลงเหมือนกัน” โจวกุยหลายบอก และเล่าให้พี่ใหญ่ฟังว่าตั้งแต่สวี่เชิ่งเฉียงออกมาจากคุกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ดูขรึมลงไม่น้อย
แต่ก็ถือว่าขยันทำงานอยู่ อย่างน้อยดูจากที่ไปอยู่ที่ร้านเกี๊ยวได้พักใหญ่แล้วยังไม่ได้ก่อเรื่องอะไร เปิดร้านปิดร้านตรงตามเวลาตลอด ดูมีการพัฒนาจริง ๆ ไม่อารมณ์ร้อนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
โจวข่ายจึงไม่ว่าอะไร เพราะนี่ก็น้องชายของเขาเหมือนกัน เหมือนกับหู่จือนั่นแหละ ขอแค่เขารู้จักกลับตัวกลับใจเป็นคนดี เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด พวกเขายังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่ ไม่ใช่คู่แค้นกันเสียหน่อย แล้วจะให้เขาอยากมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับสวี่เชิ่งเฉียงหรืออย่างไร?
สองพี่น้องอาบน้ำขัดตัวเสร็จ กลับมาด้วยความสบายตัว เวิงเหม่ยเจี่ยอยู่บ้านนั่งคุยเป็นเพื่อนกับหลินชิงเหอ ส่วนโจวข่ายขับรถมาหาปู่ย่ารวมถึงปู่บุญธรรมของเขา
เมื่อมาถึงก็ได้รับการต้อนรับสุดอบอุ่นจากผู้เฒ่าทั้งสาม
“ฉันว่าแล้วว่าเธอต้องใกล้จะกลับมา เมื่อวานเพิ่งให้พี่เอ้อร์นีของเธอไปถามแม่เธออยู่ แล้วแม่เธอบอกว่าต้องรอจนถึงพรุ่งนี้” ท่านแม่โจวกุมมือหลานชายคนโตพลางกล่าวอย่างดีใจ
“ผมกับเหม่ยเจี่ยกลับมาก่อนกำหนดหนึ่งวัน ก็เลยมาถึงปักกิ่งเร็วขึ้นน่ะครับ” โจวข่ายเอ่ยยิ้ม ๆ สอบถามเรื่องสุขภาพของปู่ย่าและปู่บุญธรรมเขาทีละคน
จริง ๆ แล้วสุขภาพของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวถือว่าแข็งแรงมาก หลายปีมานี้กินดีอยู่ดี แม่บ้านก็ดูแลเป็นอย่างดี แต่สุขภาพของเฒ่าหวังไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
ถึงอย่างไรก็เป็นอาการป่วยเดิม ๆ พอถึงหน้าหนาวก็จะกำเริบ หลินชิงเหอจึงให้เจ้าสามเอาผลไม้มาให้อยู่บ่อย ๆ กินแล้วชุ่มชื้นภายใน ธาตุไฟจะได้ไม่แทรก
“เมื่อวานป้าสะใภ้สามเธอโทรมาบอกว่าพวกเขาออกเดินทางวันนี้ มาอยู่นี่หนึ่งวัน วันต่อมาก็เป็นวันแต่งงานของเธอกับเหม่ยเจี่ย” ท่านแม่โจวกล่าว
“มากันกี่คนเหรอครับ” โจวข่ายยังไม่รู้เรื่องนี้ จึงถามด้วยรอยยิ้ม
ท่านแม่โจวพูดรัวเร็วพลางนับนิ้วให้เขาฟัง “ลุงใหญ่เธอมาทั้งบ้าน บ้านลุงรองเธอมีแค่สองสามีภรรยาเซี่ยเซี่ยมา แล้วก็ป้ารองกับป้าสะใภ้สาม รวมถึงน้าเล็กเธอด้วย”
มากันทีเดียวเยอะขนาดนี้ต้องครึกครื้นมากแน่ ๆ ท่านแม่โจวเองก็มีความสุข อย่าว่าแต่นางเลย ท่านพ่อโจวและเฒ่าหวังก็เหมือนกัน
“นี่ก็แต่งงานแล้ว รีบ ๆ มีลูกเร็วเข้า ตอนแม่เธออายุเท่าเธอ หล่อนคลอดพวกเธอสามพี่น้องครบทุกคนแล้ว” ท่านแม่โจวกล่าว
“ครับ พอผมแต่งงานแล้วก็จะมีลูกแล้วล่ะ” โจวข่ายพยักหน้า
ท่านแม่โจวพึงพอใจมาก ลากหลานชายคนโตไปดูไก่ที่นางเลี้ยงไว้ในสวนหลังบ้านซึ่งนางทำเล้าไก่ไว้ แล้วไก่ทุกตัวก็เข้าไปหลบอยู่ในเล้าหมด จากนั้นก็เอ่ย “พอแต่งงานแล้วเอาไก่พวกนี้ไปทำอาหารขึ้นโต๊ะให้หมดนะ ไม่ต้องประหยัดอะไร เมื่อวานย่าก็เพิ่งให้คนมาจับเชือดหลายตัวแล้วแจกจ่ายให้ไปกินกันบ้านละตัว”บทที่ 674 จดทะเบียนก่อน
ที่บ้านเตรียมกินข้าวเย็นกันแล้ว
กังจือเพิ่งกลับจากการออกไปตั้งแผงขายของ ทั้งที่เดือนธันวาคมอากาศกำลังหนาว เขาก็ยังออกไปตั้งร้าน นั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นคนอดทนกับความลำบากได้
“เตานี่ใช้ปิ้งมันเทศเหรอ?” โจวข่ายกลับมาถึงบ้านก็เห็นเตาที่กังจือไว้ใช้ขายของจึงเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
กังจือยิ้ม “พี่ข่ายอยากชิมดูไหมครับ?”
ฤดูหนาวปีนี้เขาไม่ได้ขายเสื้อผ้าต่อ แต่เปลี่ยนมาขายมันเทศปิ้งขายซาลาเปา
เขานำซาลาเปาจากน้าและน้าเขยของเขามาขาย ส่วนมันเทศนั้นเขาหามาเอง ตั้งร้านเพียงวันเดียวก็ขายได้เกินความคาดหมาย ยอดขายดีใช้ได้ทีเดียว
คนทำงานสำนักงานต่อให้ควบม้าไล่ตามก็ยังไม่ทันกับจำนวนเงินที่เขาหาได้
โจวข่ายลองชิมมันเทศปิ้งที่เหลือจากการขายไปหัวหนึ่งก็พบว่ามันอร่อยใช้ได้ เขาพูดขึ้น “ฉันได้ยินเจ้าสามบอกว่านายซื้อหน้าร้านแล้ว”
กังจือยิ้มกว้าง “แค่ร้านเล็ก ๆ เท่านั้นครับ”
บัดนี้มีคนเช่าไปแล้ว รายได้จากค่าเช่าแต่ละเดือนถือว่าไม่เลวเลย
“ด้านหู่จือเป็นยังไงบ้าง?” โจวข่ายถาม
“พี่ผมสบายมาก เปิดร้านขายเสื้อผ้า รายได้เยอะกว่าผมแน่นอน” กังจือกล่าว
“ทำไมไม่เปิดร้านเองล่ะ?” โจวข่ายรับส้มที่เวิงเหม่ยเจี่ยแกะให้ กินไปพูดไป
“ร้านไม่ได้ใหญ่มาก ที่นู่นไม่เหมาะจะขายเสื้อผ้าด้วย อย่างอื่นผมก็ทำไม่เป็น ก็เลยปล่อยเช่าน่ะ แล้วตั้งร้านหาบเร่แบบนี้ก็ไม่เลวด้วย” กังจือเอ่ย
“มันหนาวเกินไปน่ะสิ” โจวข่ายกล่าว
“ใส่เสื้อผ้าให้อุ่นเข้าไว้ก็ไม่เป็นไรแล้วครับ” กังจือคลี่ยิ้ม
“เงินมันหาง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า?” เจ้าสามเอ่ย
“ใช่แล้ว โดยเฉพาะคนอย่างพวกเรา ไม่มีรายได้มั่นคง ถ้าไม่ยอมเหนื่อยหน่อยคงไม่มีเงินจะกินข้าว” กังจือพูด
“เงินที่นายหาได้ในหนึ่งเดือนเท่ากับเบี้ยเลี้ยงทั้งปีของฉัน เลิกโอดครวญว่าจนได้แล้ว” โจวข่ายโบกมือ
เบี้ยเลี้ยงของเขาก็ไม่น้อย ทำมาถึงตอนนี้ตำแหน่งเขาได้ 400 หยวน ในบรรดาคนรับเงินเดือนถือว่าอยู่ระดับบน ๆ แล้ว
แต่ถ้าเทียบกับคนทำมาค้าขาย ย่อมเทียบไม่ได้แน่นอน
“พี่ข่ายก็ว่าไป ผมจนจริง ๆ นะ พี่อย่าคิดว่าผมรวยนักสิ!” กังจือกล่าว
“ฉันไม่สน แต่ซองแต่งงานนายต้องใส่เยอะ ๆ” โจวข่ายขอซองเงินซึ่งหน้า
เวิงเหม่ยเจี่ยช่วยยกกับข้าวมาที่โต๊ะพลางเอ่ยยิ้ม ๆ “ยังมีคนแบบคุณด้วยเหรอคะเนี่ย ได้เวลากินข้าวแล้ว” จากนั้นก็เรียกให้หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มากินข้าว
“พี่สะใภ้ใหญ่ ทำไมจนบัดนี้แล้วยังเรียกคุณอาเรียกคุณอาสะใภ้อยู่เลยล่ะ? เรียกคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว” โจวกุยหลายกล่าว
“รีบทำไมกัน? ฉันจะหนีไปไหนได้หรือไง?” เวิงเหม่ยเจี่ยยิ้มพลางมองบนใส่เขา
แล้วโจวข่ายก็ถามถึงเจ้ารองโจวเฉวี่ยน “เดี๋ยวนี้เจ้ารองยุ่งขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“ยุ่งสิ ฟังจากที่เขาพูดแล้วปีหน้าจะยุ่งกว่านี้อีก ต้องถูกส่งตัวไปที่อื่นด้วย” หลินชิงเหอบอก
“อีกเดี๋ยวโทรหาบ้านเหอด้วย” โจวชิงไป๋บอก เจ้าใหญ่กลับมาแล้วและกำลังจะแต่งงาน เจ้ารองต้องกลับมา
หลินชิงเหอรับคำ
ทั้งบ้านนั่งลงกินข้าวด้วยกัน กินไปพลางคุยกันไปพลาง ครึกครื้นสุด ๆ
กินข้าวเย็นเสร็จโจวข่ายถึงส่งเวิงเหม่ยเจี่ยกลับไป ซึ่งโจวกุยหลายถึงกับแซว “พี่ใหญ่ คืนนี้ไม่ต้องกลับมาก็ได้นะ อยู่ที่นู่นแทนไหม?”
“ได้ งั้นเดี๋ยวผมค่อยกลับพรุ่งนี้เช้านะครับ” โจวข่ายบอกพ่อแม่ของเขา
เขาขับรถส่งเวิงเหม่ยเจี่ยกลับบ้าน โจวกุยหลายยิ้มกว้าง “ดูท่าทางรีบร้อนของพี่ใหญ่ผมสิ แทบอยากจะแต่งงานซะเดี๋ยวนี้”
หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มีแววตายิ้มแย้ม
พวกเขารอเจ้าใหญ่แต่งงานมานานแค่ไหนแล้วนะ? หมั้นตอนอายุ 21 ตอนอายุ 22 ก็ถึงวัยอันควรแล้ว เลยคิดจะแต่งงานกัน
แต่ตอนอายุ 22 เวิงกั๋วต้งแต่งงาน อายุ 23 เวิงกั๋วเหลียงแต่งงาน ถึงได้ลากยาวจนกระทั่งปีนี้ ถ้าปีนี้ยังไม่ได้แต่งอีกต้องรอยันปีหน้า ๆ ตอนอายุ 26 แล้ว
เพราะ 25 เป็นเบญจเพส ห้ามแต่งงาน
แต่ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม บัดนี้ได้แต่งงานตอนอายุ 24 ก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ไม่ช้าเกินไปไม่เร็วเกินไป
คืนนั้นโจวข่ายพักอยู่ที่บ้านพ่อตาเขาจริง ๆ ที่นั่นยังมีห้องว่างอยู่ อย่างไรเสียเวิงกั๋วต้งก็ย้ายออกไปแล้ว
คุณแม่เวิงชอบลูกเขยคนนี้มาก สมัยนั้นที่หล่อนหมายตาเขาก็เฝ้ารอให้เขามาเป็นลูกเขยตัวเองตลอด อีกไม่กี่วันก็ได้เปลี่ยนมาเรียกหล่อนว่าแม่แล้ว
โอ๊ย แค่คิดก็ชื่นใจ
“อย่างอื่นแม่ไม่มีอะไรจะให้ ได้แต่เตรียมแหวนทองให้พวกเธอคนละวง” คุณแม่เวิงยิ้มพลางหยิบแหวนทองออกมา ของผู้ชายหนึ่งวง ของผู้หญิงหนึ่งวง
นอกจากนั้นมีสร้อยทองให้ลูกสาวอีกสองเส้น เส้นหนึ่งหนักกว่าเส้นหนึ่งเบากว่า แต่เป็นที่ชัดแจ้งว่ามีน้ำหนักพอสมควร
“นี่คงใช้เงินไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ คุณป้ากล้าใช้เงินจริง ๆ” โจวข่ายเอ่ยยิ้ม ๆ
“พวกนี้ไม่ถือว่าเยอะ แต่ไม่ว่าจะเป็นสินสอดหรืออะไรอย่างอื่นป้าไม่เก็บไว้เองหรอก พวกเธอสองสามีภรรยาเก็บไว้ได้เลย” คุณแม่เวิงกล่าว
พวกนี้เป็นเครื่องประดับทองที่เอาออกมาแสดงต่อหน้าโจวข่าย จากนั้นหล่อนก็เรียกลูกสาวเข้าห้องเพื่อเอาสมบัติให้เก็บไว้ส่วนตัว
หล่อนให้บัญชีเงินฝาก 5,000 หยวนเพื่อให้ลูกสาวเก็บไว้ใช้ส่วนตัว และให้ลูกเก็บไว้ก้นหีบ
“แม่ ให้หนูมาทำไมเยอะแยะ สมัยพี่สาวหนูให้แค่สองร้อยเอง” เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ย
“เทียบกันได้ยังไงเล่า” คุณแม่เวิงกล่าว หล่อนมีลูกสาวคนโตอีกคน เป็นคนโตสุดที่แต่งงานออกไปนานแล้ว “สมัยนั้นสองร้อยหยวนถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลแล้ว เดี๋ยวนี้ค่าสินค้าต่าง ๆ พุ่งกระฉูดขนาดนี้ บ้านเราฐานะยังดีขนาดนี้ ลูกนี่เกิดมาเจอยุคสมัยดี ๆ จริง ๆ”
เวิงเหม่ยเจี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกหนูจะรวยด้วยการแต่งงานอยู่แล้ว”
เงินเดือนของหล่อนและโจวข่ายไม่ต่ำ แน่นอนว่าของหล่อนสูงไม่เท่าของโจวข่าย เงินเดือนพื้นฐานโจวข่าย 400 หยวน แต่ถ้ามีภารกิจอะไรจะได้รางวัลด้วย ส่วนใหญ่แล้วตกเดือนละ 500-600 หยวน
เงินเดือนของหล่อนมีแค่ร้อยกว่าหยวน แต่รายจ่ายของทั้งคู่มีไม่มาก เดือน ๆ นึงใช้จ่ายสูงสุดแค่ 50-60 หยวน ที่เหลือออมไว้หมด
ตั้งแต่โจวข่ายกับหล่อนชัดเจนในความสัมพันธ์แล้วหล่อนก็เป็นคนดูแลเรื่องเงิน ทั้งสองคนจึงถือว่ามีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง
ตอนนี้แม่หล่อนให้มาอีกห้าพัน นี่ไม่น้อยเลยจริง ๆ
“เรื่องนั้นก็ใช่น่ะสิ แม่เดาว่าแม่สามีลูกคงเตรียมของใหญ่ไว้ให้พวกลูกแล้วล่ะ” คุณแม่เวิงเอ่ยยิ้ม ๆ
คุณแม่เวิงไม่มีอะไรจะตำหนิเกี่ยวกับคนที่กำลังจะดองกันอย่างหลินชิงเหอ ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับลูกสาวคนโตและแม่สามีนั้นธรรมดาสุด ๆ แต่หลินชิงเหอผู้เป็นแม่สามีของลูกสาวคนเล็กนั้น ขนาดเพื่อนรักยังไม่สนิทกันเท่านี้เลย
เวิงเหม่ยเจี่ยหัวเราะ แต่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มาก
ทว่าวันรุ่งขึ้น สินสอดก็มาถึง
หนึ่งหมื่นหนึ่ง มีความหมายว่าหนึ่งในหมื่น นอกเหนือจากนั้นยังมีทองสามเงินหนึ่ง
หลังจากโจวข่ายเอาของพวกนี้มาให้แล้วก็พาเวิงเหม่ยเจี่ยไปจดทะเบียนสมรสก่อน เพราะเจ้าหน้าที่ใกล้ได้หยุดงานแล้ว
จดทะเบียนสมรสก่อน แล้วค่อยจัดพิธีแต่งงาน
ด้วยเหตุจากการเอาทะเบียนสมรสไปให้หลินชิงเหอดู หลินชิงเหอจึงให้สมุดเงินฝากมาอีกเล่ม ในบัญชีนี้มีเงินอยู่ 101,000 หยวน
หนึ่งแสนเอาไว้จัดการเรื่องที่บ้าน หนึ่งพันให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ ส่วนถ้าหนึ่งพันหยวนไม่พอซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็ควักเงินตัวเองเพิ่มแล้วกัน
แต่พอเงินจำนวนนี้อยู่ในมือของเวิงเหม่ยเจี่ย หล่อนเองก็มึนเหมือนกัน
……………………………………………………………………
โจวข่ายไม่รู้สึกรำคาญเลยสักนิด เขาคอยฟังที่ย่าเขาพูด อยู่ที่นั่นราวชั่วโมงกว่าถึงกลับมาที่บ้าน
…………………………………………………………………