ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม - บทที่ 90
บทที่ 90 แยกครอบครัว
ขณะที่เด็กหญิงกำลังนอนสบาย บรรดาผู้ใหญ่ต่างอยู่ในอาการตกใจ
“ครั้งนี้พี่กลัวแทบตายแน่ะ สาวน้อยคนนี้ไม่ได้พูดอะไรเลยเวลารู้สึกไม่สบาย พี่กับสามีร้อนใจแทบบ้าอย่างกับแมลงวันหัวขาด” สะใภ้สามดึงตัวหลินชิงเหอเข้ามาใกล้ขณะเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ คืนนี้อู่นีคงจะหลับสบายแล้ว ฉันยังพอมียานี้เหลืออยู่อีกนิดหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะให้เจ้าใหญ่เอามาให้นะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยปลอบ
เธอไม่ได้อยู่นานนัก จากนั้นก็กลับบ้านไปพร้อมกับโจวชิงไป๋
ท่านพ่อโจว ท่านแม่โจว สะใภ้ใหญ่ พี่ชายใหญ่ และคนอื่น ๆ ต่างร้อนใจกับเรื่องนี้จนนอนไม่หลับเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นสถานการณ์กลับมาเป็นปกติพวกเขาทั้งหมดก็โล่งใจ
“ต้องขอบคุณแม่เจ้าใหญ่จริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วใครจะรู้ว่าในครั้งนี้อู่นีจะทรมานขนาดไหน เธอมีพลังใจแข็งกล้าเหลือเกินที่ทนต่อความเจ็บป่วยและไม่ร้องเลยสักแอะ” สะใภ้ใหญ่ถอนหายใจ
“ครั้งนี้อู่นีได้ยาอะไรไปน่ะคะ? ถึงได้เห็นผลเร็วขนาดนี้?” สะใภ้รองถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยาอะไร แต่ราคามันคงไม่ถูกแน่” พี่ชายสามส่ายหน้า
“งั้นเราควรให้เงินกับแม่เจ้าใหญ่ดีไหมคะ? ฉันเกรงว่าหล่อนจะซื้อมันด้วยความยากลำบากไว้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินน่ะค่ะ” สะใภ้ใหญ่หันไปถามท่านแม่โจว
“ให้เงินอะไรกันคะ?” สะใภ้รองแย้งก่อนที่ท่านแม่โจวจะได้พูด “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พูดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ตอนช่วยเหลือกันแบบนี้มันไม่ต่างจากทำกับหล่อนเหมือนเป็นคนนอกเหรอคะ?”
“คุณแม่คะ ยานี้สะใภ้สี่ไม่ได้หาซื้อมาง่าย ๆ เลยนะคะ พรุ่งนี้เช้าฉันก็จะต้องรับไว้อีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคืนเงินให้หล่อน เพราะตอนนี้พวกเขาแยกตัวจากเราแล้ว ยิ่งกว่านั้นก็คือฉันรู้สึกซาบซึ้งใจที่สะใภ้สี่เต็มใจให้ยาช่วยเหลืออู่นีในครั้งนี้น่ะค่ะ” สะใภ้สามยังคงยืนกราน
สะใภ้รองเม้มปากก่อนจะมองแม่สามี ท่านแม่โจวโบกมือและเอ่ยตอบ “ถามหล่อนแล้วกันว่าต้องการเท่าไหร่แล้วก็ให้หล่อนซะ”
“วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว รีบกลับไปนอนซะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า” ท่านพ่อโจวเอ่ยเสริม
พวกเขาทั้งหมดจึงแยกย้ายกันเข้านอน
ส่วนทางฝั่งบ้านสะใภ้สี่ หลินชิงเหอก็อธิบายเรื่องนี้กับโจวชิงไป๋ “โชคดีที่ฉันตะลอนไปทั่วตลาดมืดแล้วเจอยานี้เข้าพอดีน่ะค่ะ คนขายบอกว่าเป็นยาสูตรลับที่ขายให้ฉันเท่านั้น ฉันลองดมดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นยาดี ก็เลยซื้อมาเผื่อว่าคุณกับลูก ๆ เป็นอะไรไป แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้งานจริงในครั้งนี้”
โจวชิงไป๋พยักหน้า และก็เป็นอย่างที่คิด ชายหนุ่มไม่ได้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่านั้น
เช้าวันต่อมา หลินชิงเหอก็ใช้ให้เจ้าใหญ่นำยาไปให้กับทางบ้านใหญ่ตระกูลโจว
เมื่อเด็กชายกลับมา เขาก็ถามผู้เป็นแม่ “แม่ครับ ป้าสะใภ้สามถามแม่ด้วยแหละว่ายานี้ราคาเท่าไหร่”
หลินชิงเหอที่กำลังผัดแตงกวากับไข่อยู่ก็เอ่ยตอบ “ลูกบอกป้าสะใภ้สามไปว่ายานี้ให้อู่นีพี่สาวของลูก ไม่ต้องคิดเงินหรอก แต่ถ้าอยากให้ค่าตอบแทนก็แค่ให้อู่นีมาช่วยทำงานบ้านให้แม่ตอนที่เธอว่างแล้วก็พอ”
เรื่องนี้ถือว่าเป็นสินน้ำใจอย่างหนึ่ง เนื่องจากในบ้านเธอมีงานบ้านที่ต้องทำไม่มากนัก
สะใภ้สามเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอย่างไรแล้วก็เอ่ยขึ้นมา “พี่จะจำบุญคุณของเธอไว้นะสะใภ้สี่”
สะใภ้ใหญ่ยังไม่ได้ออกไปทำงาน เพราะพวกผู้ชายออกกันไปก่อน ส่วนผู้หญิงจะออกไปทีหลังก็ไม่เป็นปัญหา ในตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาหกโมงเช้าเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่นับว่าสายมาก
“ยานี้ให้ผลชะงัดดีจริง ๆ” สะใภ้ใหญ่ประเมินดูจากสรรพคุณยาแล้วก็รู้สึกว่ายาชนิดนี้ไม่ได้ถูกเลย
สะใภ้สามเห็นด้วย ขณะที่สะใภ้รองเอ่ยขึ้น “หล่อนไม่ได้ร้อนเงินมากนักหรอกค่ะ ดังนั้นไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ตอนนี้ได้เวลาแล้วนะคะ เตรียมตัวไปทำงานกันเถอะค่ะ วันนี้มีหลายอย่างต้องทำเลย”
“งั้นเธอก็ดูแลอู่นีอยู่ที่บ้านไปนะ” สะใภ้ใหญ่บอกสะใภ้สาม
เพราะว่าอู่นีเป็นลมแดด สะใภ้สามจึงอยู่บ้านดูแลลูกสาวของหล่อนกับจัดการหุงหาอาหารและงานบ้านอื่น ๆ
สะใภ้ใหญ่ ท่านแม่โจว และสะใภ้รองพาบรรดาเด็ก ๆ ในบ้านรวมทั้งเจ้าใหญ่กับเจ้ารองไปที่ทุ่งนา
“พี่ต้องบอกเลยว่าปีนี้เจ้าใหญ่เติบโตขึ้นเยอะมากจริง ๆ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สะใภ้รองเหลือบมองและเอ่ยอย่างอิจฉา “พี่สะใภ้ใหญ่ก็ดูอาหารที่พี่น้องสองคนนี้กินทุกวันสิคะ กินแบบนี้ก็ควรจะสูงขึ้นอยู่หรอกค่ะ”
“เธอจะรู้สึกอิจฉาไปทำไม? ถ้าเธอมีความสามารถปรุงอาหารได้ขนาดนั้นก็ลงมือทำเสียสิ” ท่านแม่โจวปริปากเอ่ยกับสะใภ้รองที่มักจะหาเรื่องคนอื่นอยู่เสมอ
สะใภ้รองเหลือบมองนาง “คุณแม่คะ ถ้าฉันแยกตัวบ้าง ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นได้เหมือนกันค่ะ”
หล่อนหมายความชัดเจนว่าต้องการแยกตัวออกจากบ้านใหญ่
“ตกลง” ท่านแม่โจวยิ้มขณะมองหล่อน จากนั้นก็ประกาศ “เรื่องนี้ฉันคุยกับพ่อของพวกเธอแล้วล่ะ เมื่อไหร่ที่การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง เราก็จะให้พวกเธอแยกครอบครัวออกไป พวกเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง แต่ฉันไม่มีหม้อกับเตาอีกชุดให้หรอกนะ ทุกคนจะต้องมาหุงหาอาหารในครัวบ้านนี้”
“คุณแม่คะ ครอบครัวสาขาแรกของเราไม่มีความคิดที่จะแยกตัวค่ะ” สะใภ้ใหญ่เอ่ยในทันที
“แน่สิคะ ครอบครัวพี่ต้องไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่แล้ว ในครอบครัวมีลูกสาวคนโตสามคนกับลูกชายคนเล็กอีกสองคน มีภาระต้องเลี้ยงดูเยอะอยู่” สะใภ้รองกล่าวทันควัน
ทั้งต้านี เอ้อร์นี และซื่อนีต่างเป็นหลานสาวที่เกิดจากสะใภ้ใหญ่กันทั้งหมด ส่วนซานนีที่เป็นลูกสาวของสะใภ้รองเกิดในปีเดียวกับเอ้อร์นีแต่อ่อนกว่าเล็กน้อย คนต่อมาก็คืออู่นี ถัดจากนั้นก็เป็นลิ่วนีลูกสาวของสะใภ้รอง และโจวเซี่ยลูกชายของหล่อน
โดยสรุปก็คือครอบครัวสาขาสองในตอนนี้มีลูกสาว 2 คนกับลูกชาย 1 คน ครอบครัวสาขาแรกมีลูกสาว 3 คนและลูกชาย 2 คน และครอบครัวสาขาสามตอนนี้มีลูกสาวและลูกชายอย่างละคน
ส่วนครอบครัวสาขาสี่ของหลินชิงเหอมีแต่ลูกชาย 3 คน และไม่มีลูกสาวสักคน
“ถึงครอบครัวของพี่จะมีคนเยอะ แต่ครอบครัวพี่ก็ไม่เคยเป็นตัวถ่วงใคร ปกติแล้วต้านีกับเอ้อร์นีลูกสาวพี่เป็นคนซักเสื้อผ้าของทั้งครอบครัว แล้วก็ทำงานหาแต้มค่าแรงด้วยการเก็บผักขมกับอึวัวด้วยล่ะจ้ะ!” สะใภ้ใหญ่ปรายตามองหล่อน
อีกอย่างหนึ่ง หล่อนกับพี่ชายใหญ่ต่างเป็นคนขยัน พวกเขาไม่มีวันทำให้ครอบครัวต้องตกต่ำหรอก
กลับกัน เป็นสะใภ้รองกับพี่เขยรองต่างหากที่เอาแต่ขี้เกียจและผัดวันประกันพรุ่ง!
“พอแล้ว ไม่ต้องเถียงกัน รอจนกว่าการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงจะสิ้นสุดและลงต้นกล้าข้าวสาลีฤดูหนาวก่อนเถอะ จากนั้นเราค่อยแยกครอบครัว ถึงตอนนั้นแต่ละครอบครัวจะต้องหากินกันเอง พ่อของพวกเธอกับฉันแก่ลงมากแล้วเหมือนกัน มาจัดการเรื่องของพวกเธอไม่ได้อีกแล้ว มีอะไรก็ตัดสินใจกันเองเถอะ ในวันข้างหน้าฉันจะไม่วิจารณ์พวกเธอหรอก” ท่านแม่โจวประกาศ
ถึงตอนนี้สะใภ้ใหญ่ก็รู้ทันทีว่าแม่สามีของเธอพูดจริง
และเมื่อฟังความหมายในประโยคนี้ดี ๆ มันก็เหมือนเป็นการแนะนำกลาย ๆ ให้หล่อนนำเรื่องนี้ไปบอกสะใภ้สี่สินะ?
สะใภ้ใหญ่ไม่เอ่ยอะไร ในเมื่อผู้ใหญ่สองคนตัดสินใจว่าจะแยกครอบครัวแล้วก็แยกครอบครัวกันเถอะ หลังแยกตัวออกไปแล้วครอบครัวของเธอคงไม่เดือดร้อนอะไรมากหรอก
ขณะที่พวกผู้ใหญ่กระซิบกระซาบกันในเรื่องนี้ เด็ก ๆ ก็ไม่ได้ฟังอะไรและยังคุยกันตามประสา แม้แต่เจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็ไม่ได้สนใจเรื่องตรงนั้น
ตอนนี้พวกเขากำลังหยิบสิ่งที่แม่ของพวกเขาเคยบอกว่าจะทำขึ้นมาทาน ซึ่งแม่ของพวกเขาบอกว่าจะทำหมั่นโถวทอดให้เป็นอาหารกลางวัน
“หมั่นโถวทอดเหรอ? พี่ใหญ่ ผมขอลองชิมได้ไหม?” โจวเซี่ยผู้เป็นลูกชายของสะใภ้รองอดไม่ได้ที่จะขอญาติผู้พี่
หมั่นโถวทอดให้ความรู้สึกน่าอร่อยมาก และเขาเองก็ไม่เคยได้ทานมันเลย
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เคยกินมันมาก่อน แม้แต่เด็กคนอื่น ๆ อย่างหลานสาวบ้านโจวทั้งหมดและโจวเหยียนหลานชายคนโตของบ้านโจวก็ไม่เคยได้กินมันเหมือนกัน
ส่วนลูกชายคนรองของสะใภ้ใหญ่กับโจวต้งต้งลูกชายของสะใภ้สามนั้นยังเล็กเกินไปจึงได้อยู่ในบ้าน ใครก็ตามที่ทำอาหารอยู่กับบ้านจะเป็นคนดูแลพวกเขา
โดยปกติแล้วเด็กชนบทก็เป็นแบบนี้ พวกเขาโตกลางดินกินกลางทราย เป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกเขาจะถูกเลี้ยงอย่างทนุถนอม
เจ้าใหญ่ยังคงอวดอาหารกลางวันของเขาโดยที่ไม่ยอมแบ่งให้ญาติคนน้อง “แม่เราไม่ได้ทำมาเยอะ มันไม่พอที่จะแบ่งให้ได้หมดทุกคนหรอก แถมวันนี้ป้าสะใภ้สามก็จะทำอาหารที่บ้านด้วย ป้าต้องทำของอร่อย ๆ ให้กินแน่ ๆ”
“ใช่แล้ว ป้าสะใภ้สามจะต้องทำอาหารดี ๆ ให้นายได้กินแน่ ๆ” เจ้ารองพยักหน้าเช่นกัน เป็นเชิงว่าอย่ามาแย่งกินอาหารของครอบครัวเขา
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นอย่างไรบ้างคะสะใภ้รอง เจอพันธมิตรแอปเปิลหมายเลขหนึ่งของชิงเหออย่างสะใภ้ใหญ่ฟาดไปหนึ่งดอกจุก ๆ เจ็บกระดองใจบ้างไหมคะ อีกอย่างท่านแม่โจวประกาศจะแยกบ้านให้แล้ว คราวนี้พอใจหรือยังคะสะใภ้รอง ต่อจากนี้ก็พยายามเข้านะคะ อย่าเก่งแต่ปากล่ะ
เห็นบ้านโจวจะแตกออกเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยก็ใจหายอยู่หน่อย ๆ ค่ะ แต่แยกบ้านแล้วอาจจะดีก็ได้ จะได้ไม่ต้องทนอยู่อัดกันในบ้านหลังเดียว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามตอนหน้าค่ะ
ไหหม่า (海馬)