ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก Yaoi - ตอนที่ 30 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (30) / ตอนที่ 31 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (31)
- Home
- ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก Yaoi
- ตอนที่ 30 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (30) / ตอนที่ 31 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (31)
ตอนที่ 30 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (30)
หากพระราชโองการแห่งต้าโจวจะมีผลบังคับใช้ เพียงใช้พระราชลัญจกรนั้นไร้ประโยชน์ ยังต้องให้ฮ่องเต้ลงลายลักษณ์อักษรเฉพาะด้วยพระองค์เอง
ราชโองการเป็นจวินเฉิงที่ส่งคนไปเอามาจากห้องทรงพระอักษร
เมื่อตอนแรกที่เขาได้รู้ว่าตันหวายต้องการราชโองการก็ยังประหลาดใจอยู่พักใหญ่ ภายหลังถามถึงประโยชน์ของราชโองการกับตันหวายอย่างไร ก็มักถูกตันหวายบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ จึงไม่ได้ยกมาถามอีก ตันหวายกลับรับรองว่าจะไม่ทำเรื่องที่เกินจำเป็นใดๆ อย่างแน่นอน
ตันหวายคิดว่าจวินเฉิงสุดยอดมาก ทั่วทั้งพระราชวังล้วนมีหูตาของเขาแทรกซึมอยู่ทุกหนแห่ง ไม่รู้ว่าต้องทุ่มเทกำลังไปมากแค่ไหน เขาคิดว่าเหอจินหมิงแปลกคนมากเช่นกัน ทุกหนแห่งทั่วพระราชวังล้วนมีแต่หูตาของผู้อื่น เขายังนั่งนิ่งเฉยอยู่บนบังลังก์มังกรได้ นับว่าไม่ใช่ง่ายเลย
ในราชโองการคือนโยบายการปกครองฉบับใหม่ ใจความคือต้องการเพิ่มการจัดเก็บภาษีเพื่อสร้างหอหยกแห่งหนึ่ง สำหรับบำเพ็ญพรตบรรลุเซียนโดยเฉพาะ
สมญาที่ตันหวายจงใจตั้งเลียนแบบซางโจวอ๋อง[1]ให้กับเขาโดยเฉพาะ เล่นเอาเขาเค้นสมองคิดอยู่นานทีเดียว
เหอจินหมิงแม้ไม่โง่เขลาไร้เหตุผลเหมือนกษัตริย์ผู้ล่มชาติล่มเมืองทั้งหลายในประวัติศาสตร์ แต่ตลอดหัวจรดเท้ากลับแผ่รังสีแห่งทรราชอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ตนเอง จึงประหารตระกูลตันทั้งโคตร เพราะสื่อกวน[2]เขียนไม่ถูกใจเขา จึงสั่งตัดหัวสื่อกวนผู้นั้นทันที
คนแบบนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้เลยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เหอจินหมิงอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง ไม่อาจรับประกันได้ว่าวันไหนจะมีใครตายด้วยน้ำมือของเขาอีก
เหอจินหมิงตกตะลึงเมื่อพบว่า เขาไม่อยากลงนามราชโองการฉบับนี้แม้แต่น้อย ทว่ามือของตนราวกับถูกบังคับให้ลงนามในราชโองการอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
“เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่! ตัน! ฝู! เซิง!”
ตันหวายถูกเขาขู่ตะคอกใส่ก็เอามือแงะหู จะยังมีอะไรอีกล่ะ ก็ต้องเอากู่แม่ลูกใส่ลงในสุราอยู่แล้วน่ะสิ
มองดูราชโองการอย่างพึงพอใจ ตันหวายเอาราชโองการยัดใส่มือของเหอจินหมิงแล้วยิ้มกล่าว “เพื่อบรรเทาความทุกข์ของท่าน นี่ข้ายังเป็นคนเขียนเองกับมือด้วยนะ เอาล่ะ ทีนี้ท่านประกาศราชโองการได้แล้ว”
เหอจินหมิงจ้องเขาอย่างโกรธแค้น แทบอยากจะขยี้เขาให้แหลกละเอียด
ต้นเดือนสิบเอ็ดรัชศกว่านหงปีที่สามแห่งต้าโจว ฮ่องเต้ขูดรีดภาษีอย่างหนัก เพื่อสร้างหอหยกตามพระราชประสงค์ ประชาชนส่งเสียงร้องทุกข์ท่วมท้องถนนโดยพลัน
เกิดเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น ประตูหอจวินจื่อถูกกระแทกเปิดอย่างหนักหน่วง
จวินเฉิงหอบหายใจเล็กน้อย ก่อนสาวเท้าก้าวเข้าไปหาตันหวาย รวบร่างเขาไว้ในอ้อมแขนของตน
“เกิดอะไรขึ้น ไฉนจู่ๆ เหอหรูกู้ถึงอยากสร้างหอหยก เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!”
ตันหวายกะพริบตาปริบ กล่าวอย่างใสซื่อว่า “ข้าจะทำอะไรได้ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
“อย่ามาแกล้งโง่!” เหอหรูกู้กล่าวอย่างหัวเสีย “จงบอกมาให้ชัด เรื่องเลวทรามที่เหอจินหมิงก่อไว้เมื่อเร็วๆ นี้คล้ายกับถูกพิษกู่อย่างไรอย่างนั้น”
ตันหวายพูดในใจ เจ้าพูดถูกเผงเลยล่ะ เขาถูกพิษกู่เข้าจริงๆ
ทว่าเรื่องนี้พูดออกมาไม่ได้จริงๆ ดังนั้นตันหวายจึงตัดสินใจเบี่ยงเบนความสนใจของจวินเฉิง
คว้ามือของจวินเฉิงมาจับไว้ ตันหวายพรมจูบลงบนนั้นอยู่หลายที ในที่สุดก็จูบจนจวินเฉิงปลายหูแดงแจ๋ไปหมด
ตันหวายกอดเอวจวินเฉิงเอาไว้พลางกล่าวเสียงอู้อี้ “ท่านไม่ต้องถามแล้ว ช่วงนี้ออกไปกระจายข่าวให้มากหน่อยก็พอ พวกท่านไม่ต้องใช้กำลัง ข้าจะทำให้เหอจินหมิงยอมสละบัลลังก์ลงมาเอง”
จวินเฉิงโอบกอดตันหวายพลางถอนหายใจ รู้ดีว่าซักถามอย่างไรก็คงไม่ได้ความ คำพูดของตันหวายนั้นแม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จวินเฉิงก็ยังคงไม่ได้ห้ามปรามเขา
ต่อให้เขาทำเลยเถิดสักเพียงไหน ตนก็ต้องปกป้องเขาให้ได้
จวินเฉิง “อีกไม่กี่วัน ข้าจะไปเยือนเมืองโยวโจว น่าจะต้องเดินทางสักครึ่งเดือน รอข้านะ หืม?”
(ขอแสดงความยินดีท่านเจ้าของร่าง ค่าความประทับใจของจวินเฉิงสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ยึดครองสำเร็จ)
ตันหวายตกตะลึง ไม่กล่าววาจา เพียงแค่กอดรัดจวินเฉิงแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม
กลางเดือนสิบเอ็ดรัชศกว่านหงปีที่สามแห่งต้าโจว ข่าวลือแพร่สะพัดทั่วเมืองหลวง ประชาชนต่างตระหนกอกสั่น บรรดาขุนนางถวายฎีการ้องทุกข์ กลับล้วนถูกเหอจินหมิงขับไล่ออกจากวัง
แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้เป็นเรื่องที่ตันหวายคาดไม่ถึง คิดใคร่ครวญอยู่สักครู่ ตันหวายก็ตัดสินใจจะไปเยี่ยมเหอจินหมิงสักหน่อย
ในระยะเวลาหลายสิบวันสั้นๆ เหอจินหมิงก็ไม่เหลือเค้าความทรนงองอาจเช่นยามพบครั้งแรกอีกแล้ว ร่างทั้งร่างนั่งนิ่งทะมึนอยู่ตรงนั้น เหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกดูดวิญญาณออกไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เหอจินหมิงก็เงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าเป็นตันหวายก็ตะลึงงัน จากนั้นจึงกล่าวเสียงแหบพร่า “เจ้าต้องการทำลายเราหรือ?”
ตันหวายประหลาดใจ กล่าวว่าทำไมท่านถึงถามเช่นนี้
เหอจินหมิง “ไม่ต้องถามก็รู้ ยามนี้ทั้งใต้หล้าล้วนต่อว่าเราเป็นทรราช เราคงเสื่อมเสียจนชั่วลูกชั่วหลาน”
ตันหวายแค่นหัวเราะ กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าทำลายท่าน แล้วชีวิตของตันฝูเซิงล่ะ? ท่านทำลายเขาอย่างไรบ้าง สิ่งที่เขาได้รับหาใช่เพียงความอัปยศที่คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะ แต่ยังถูกดุด่าทุบตีนับครั้งไม่ถ้วน ชดใช้ชีวิตให้ทั้งตระกูลตัน เขารักท่านสุดหัวใจ เชื่อมั่นในตัวท่าน แล้วท่านล่ะ ท่านเคยทำอะไรบ้าง?”
เหอจินหมิงม่านตาหดเล็กลง พูดอะไรไม่ออก จ้องมองเขาไม่ขยับเขยื้อน
ตันหวายสงบสติอารมณ์ รู้ดีว่าตนได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเจ้าของร่าง ก่อนหลับตาลง ไม่ง่ายเลยกว่าจะข่มอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมลงได้ ตันหวายลืมตาขึ้น แววตาทอประกายแจ่มกระจ่าง
ตันหวาย “เหอจินหมิง บัดนี้ ท่านรู้สึกเสียใจแล้วหรือยัง? เสียใจที่ทำเช่นนั้นกับข้าแล้วหรือยัง?”
เหอจินหมิงอ้าปาก เนิ่นนานโดยไม่เอ่ยคำพูดใด ตันหวายผิดหวังเล็กน้อย หมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป
“เสียใจ รู้สึกเสียใจแล้ว”
สุ้มเสียงแผ่วเบา ตันหวายเกือบจะไม่ได้ยิน
——
[1] กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซางซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เ**้ยมโหด ขูดรีดเงินทองจากราษฎรอย่างหนักเพื่อสร้างอุทยานแห่งใหม่
[2] ขุนนางผู้ทำหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ตอนที่ 31 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (31)
เขายอมรับผิด ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ของตนในตอนนี้บังคับ แต่เป็นเพราะยามเขาเผชิญหน้ากับตันฝูเซิงที่เหินห่างเช่นนี้ เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่า เขาคิดถึงตันฝูเซิงที่พอเห็นหน้าเขาก็ยิ้มออกมากมายเพียงใด
ตันหวายชะงักฝีเท้า ดวงตาเบิกกว้าง น้ำตารินไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้
ถึงแม้เจ้าของร่างเดิมจะจากไปแล้ว ทว่าความรู้สึกของเขากลับส่งผลกระทบต่อตันหวายอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าตันหวายจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหอจินหมิง แต่ก็ยังอดหลั่งน้ำตาไม่ได้
ตันหวายเช็ดน้ำตา รู้สึกว่าตนอ่อนไหวเหมือนผู้หญิง จึงรีบสะกดกลั้นเอาไว้
(ท่านเจ้าของร่าง เหอจินหมิงสำนึกผิด เจ้าของร่างเดิมปล่อยวาง ภารกิจหลักของท่านเสร็จสิ้น โปรดเลือกว่าจะเดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งทันที หรือเข้าสู่การนับเวลาถอยหลังสามวัน)
ตันหวายตกตะลึง ฝีเท้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาเอ่ยปากอย่างยากเย็น “นับเวลาถอยหลังสามวัน”
ปลายเดือนสิบเอ็ดรัชศกว่านหงปีที่สามแห่งต้าโจว ฮ่องเต้มีพระราชโองการจุ้ยจี่[1] สละพระราชบัลลังก์ให้แก่พระอนุชาเหอหรูกู้ เสด็จกลับประทับเขตพระราชฐานชั้นใน มิข้องเกี่ยวการเมืองการปกครอง
วันที่สองของการประกาศพระราชโองการจุ้ยจี่ เหอหรูกู้ก็มายังหอจวินจื่อ
ตันหวายราวกับคาดเดาไว้แล้วว่าเขาจะมา กำลังอุ้มแมวรอคอยเขาพอดี พอเห็นเขาก็คลี่ยิ้มตาโค้งทันใด
เหอหรูกู้เม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “พูดตามตรง จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังตั้งตัวไม่ทัน เจ้า…ทำได้อย่างไร?”
ตันหวายหัวเราะ ไม่กล่าวตอบแต่ถามกลับว่า “เจ้าจำได้ไหมว่า เจ้ายังติดค้างข้าเรื่องหนึ่ง?”
“แน่นอน!” เหอหรูกู้เอ่ยถาม “เจ้าอยากได้อะไร ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ล้วนรับปากเจ้าทั้งนั้น”
ตันหวายส่ายศีรษะ อุ้มแมววางลงบนพื้น หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาแล้วกล่าว “ข้าอยากให้เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
เหอหรูกู้รับเอาไว้ พอเห็นตัวอักษรบนกระดาษชัดเจนแล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยนยากคาดเดา
“จวินเฉิงแม้เป็นท่านลุงของเจ้า แต่ก็ไม่อาจรับประกันว่าวันหน้าจะไม่ขัดแย้งกัน พวกเจ้ามีจุดยืนเป็นของตนเอง ข้าจะไม่พูดให้มากความ เพียงหวังว่า หากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าจะไว้ชีวิตเขาสักครั้ง”
“ไม่มีทางมีวันนั้นเด็ดขาด” เหอหรูกู้กล่าว ไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก “ปกติเห็นเจ้าไม่ค่อยฉลาด ไฉนเดี๋ยวนี้กลับคิดมากถึงเพียงนี้?”
ตันหวายถลึงตาใส่เขา ชี้ไปยังกระดาษในมือเหอหรูกู้พลางกล่าว “เจ้าสนด้วยหรือไง? ลงนามเสียก็สิ้นเรื่อง”
เหอหรูกู้เม้มปาก ลงลายลักษณ์อักษรตามสัญญา
ตันหวายมองกระดาษอย่างพอใจ นั่งลงบนเตียงเตี้ยแล้วเงยหน้าถาม “เขาจะกลับมาเมื่อไหร่? ข้าอยากพบเขา”
“เดี๋ยววันนี้ก็กลับมา คงจะใกล้ถึงหน้าประตูวังแล้ว”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “ข้าอยากไปรับเขา”
เหอหรูกู้มองเขายิ้มจนเคลิ้มไปชั่วครู่ “ตกลง”
มองเห็นประตูพระราชวังอยู่ลิบๆ เบื้องหน้าแล้ว ทว่าจวินเฉิงจู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา ความอึดอัดนี้หนักหนาขึ้นทุกขณะ ฉับพลันนั้นเขารู้สึกอยากพบตันฝูเซิงยิ่งนัก
ตันหวายอุ้มเจ้าไป๋เมายืนอยู่หน้าประตูวัง ชะเง้อมองไกลออกไปอย่างร้อนรนใจ
เหอหรูกู้หัวเราะเยาะ “เรื่องชั่วครู่ชั่วคราว เจ้าก็อดรนทนไม่ไหวเพียงนี้เชียวหรือ?”
ตันหวายไม่สนใจเขา มองตรงไปยังเงาคนจุดเล็กๆ ที่ยังคงห่างไกลออกไป
(ท่านเจ้าของร่าง เวลาหมดแล้ว ขณะนี้เข้าสู่การนับเวลาถอยหลัง สิบ เก้า แปด…)
คนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย กลายเป็นดวงหน้าดุจหยกของคนผู้นั้นในที่สุด
ตันหวายยิ้ม ทว่ายังคงเสียดาย ยังคงไม่สามารถ กอดเขาไว้อีกครั้ง
(สอง หนึ่ง…ติ๊ดๆๆๆ หมดเวลา โลกต่อไปเริ่มต้น)
เบื้องหน้าตันหวายดับวูบ มองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
__________
“Telling
HuhHuh”
โทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงร้องเพลงภาษาอังกฤษที่ตั้งไว้เป็นเสียงริงโทนไม่หยุดหย่อน สั่นระรัวดังหวืดๆ รบกวนประสาทคนบนเตียงมากขึ้นทุกที
แขนข้างหนึ่งตวัดออกมาจากผ้าห่มอย่างฉุนเฉียว ฉวยโทรศัพท์มือถือเอาไว้แล้วมุดเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล!” ตันหวายน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“พ่อเจ้าประคุณ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว นายยังไม่ลุกแล้วงานเลี้ยงเย็นนี้จะทำยังไงเล่า! อย่าบอกนะว่านายจะเบี้ยวนัดนักลงทุน!”
สุ้มเสียงจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ดังทะลุเข้ามา ตันหวายลืมตาโพลงทันที ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
——
[1] พระราชโองการที่ฮ่องเต้ประกาศปลดตนเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง