ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 545
บทที่ 543 เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันในหนึ่งปี
เฉินเกอจมอยู่กับมัน ไม่ทันได้รู้สึกตัวก็ผ่านไปแล้วถึงเจ็ดวัน
ปัง!
ตามมาด้วยรอยแตกของหินขนาดใหญ่
พั่วจวินยังคงวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อความคิดของเฉินเกอเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันถึงค่อยบินกลับมาที่มือของตน
“พั่วจวินเดิมมีพลังโจมตีที่รุนแรง ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าปรมาจารย์คนหนึ่ง บวกกับฉันที่เป็นปรมาจารย์ครึ่งระดับในตอนนี้ หากพบกับโม่ชางหลงเข้าให้ ก็น่าจะต่อสู้กับเขาได้! ”
เฉินเกอกล่าวในใจ
สำหรับการใช้ใบมีดยาวทั้งสามประเภทที่แสดงอยู่บนพั่วจวิน เฉินเกอเชี่ยวชาญกับมันแล้ว แต่เฉินเกอไม่ชอบอาวุธอย่างดาบยาวมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเท่าไหร่”
เขาอยู่บนภูเขานานมากแล้ว
เฉินเกอกำลังมองหาโลงศพอมตะ
เขาไม่ล่าช้าอีกต่อไป และออกเดินทางต่อไปยังทางตะวันตกเฉียงเหนือ
โชคดีที่ในตอนเย็น ในที่สุดเฉินเกอก็เดินออกจากป่าอันไม่สิ้นสุดบนภูเขาได้
เขามาถึงเมืองเล็กๆ
ที่นี่ มีร่องรอยของทะเลทราย เมื่อสอบถามผู้คนในเมืองเล็กแห่งนี้ เขาก็พบว่าตอนนี้ตนเองมาถึงขอบทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว
คล้ายกับตำแหน่งที่เฉินเกอคาดการณ์ไว้
เนื่องจากในตอนนี้ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ตก เขาใกล้จะมาถึงทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว บวกกับตนเองก็เดินทางมาอย่างยาวนานยิ่ง
เฉินเกอหาโรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง จากนั้นจึงซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะสมสักสองสามชิ้น และพักผ่อนลงชั่วคราว
เพิ่งซื้อของเสร็จ
เขากลับได้ยินเสียงร้องดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเมือง
“พวกคุณต้องการอะไร? ”
“ไม่มีอะไร เห็นสาวงามจากต่างถิ่นสองคน พวกเราก็แค่อยากจะเชิญมาดื่มสักแก้วสองแก้ม แสดงความชื่นชม!”
“พวกแกหลีกไป!”
ผู้หญิงหนึ่งในนั้นผลักผู้ชายเหล่านั้นออก และคิดจะจากไป
“เฮ้เฮ้เฮ้! อย่าเพิ่งไปสิคนสวย!”
โดนผู้ชายเหล่านั้นมาขวางเอาไว้อีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพราะพวกเขาเห็นผู้หญิงสวยถึงสองคนอีกทั้งยังมาจากต่างถิ่น ดังนั้นจึงมีความคิดบางอย่าง
เรื่องแบบนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่วินาทีนี้ฝีเท้าของเฉินเกอกลับหยุดลง
“ทำไมถึงได้คล้ายเสียงของเธอ?”
ใช่ ยิ่งได้ฟัง เฉินเกอก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงมากเท่านั้น
ดังนั้นเฉินเกอจึงเดินตามเสียงมาและหยุดลงที่มุมหนึ่ง
เมื่อเขามองดู หนังตาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
เธอมาที่นี่ได้ยังไง?
เฉินเกอประหลาดใจ
แต่เขาเห็นว่ามีผู้ชายสองสามเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เฉินเกอขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไป
“เพี๊ยะ!”
วัยรุ่นเหล่านั้นกำลังเตรียมตัวใช้กำลังลากไป
ในขณะนี้ เขาถูกคนตบไหล่เอาไว้
เมื่อมองย้อนกลับไป ก็มองเห็นเป็นผู้ชายสวมหมวกและหน้ากากคนหนึ่ง
“เด็กน้อย ผู้คุมคนไหนทุจริตถึงได้ปล่อยนายออกมา? อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!”
เด็กหนุ่มเอ่ยเตือนอย่างเย็นชา
“ปล่อยพวกเธอไป! ”
เฉินเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างออกไป
“อยากเล่นบทฮีโร่กอบกู้สาวงาม? ฉันว่านาย….อ๊าก!!!”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เฉินเกอก็บีบข้อมือของเขาโดยตรง
ในพริบตา เสียงกระดูกร้าวก็ดังขึ้น
หลายคนที่เหลือเมื่อมองเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงเริ่มลงมือ
ปึกปึกปึก!
ในไม่ช้า หมัดหลายหมัดก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของเฉินเกอ
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมผู้ชายเหล่านั้นถึงได้กำหมัดของตนและกรีดร้องดังขึ้น
หมัดที่ชกลงไปอย่างรุนแรงเมื่อครู่นี้ ราวกับกำลังชกลงบนภูเขาใหญ่ จนทำให้พวกมันรู้สึกราวกับกระดูกกำลังจะแตก
ทุกคนมองเฉินเกอด้วยความหวาดกลัว
ร่างกายแบบนี้คืออะไร?
“หากยังไม่ไป พวกนายตาย!”
เฉินเกอกล่าวอย่างเย็นชา
ในเวลาเดียวกัน บางคนกลืนน้ำลายลงเอื๊อก ในขณะที่อีกหลายคนปิดข้อมือของตนเองไว้และหนีไปด้วยความสับสน นั่นเพราะพวกเขาเพิ่งอ่านอารมณ์จากดวงตาของเด็กหนุ่มนั่น คือเจตนาฆ่า! มันช่างน่าหวาดกลัวเข้ากระดูก
จนพวกเขาต้องวิ่งหนีไปด้วยความตกใจ
หญิงสาวทั้งสองมองเฉินเกอด้วยความขอบคุณ
เฉินเกอกดปีกหมวกลง
“ขอบคุณพี่ชาย!”
หญิงสาวกล่าว
เฉินเกอส่ายหัว “ไม่เป็นไร พวกเธอรีบกลับไปเร็วๆ เถอะ ”
เขากล่าวพร้อมกับก้มหน้าลง
ในขณะที่เฉินเกอกำลังจะหันหลังกลับและจากไป
“โอ้ย เท้าของฉัน! ”
หญิงสาวหนึ่งในนั้นเอามือปิดข้อเท้าของตัวเองไว้ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ขัดขืนเมื่อครู่นี้ทำให้เธอเท้าแพลง
“เป็นอะไรไหม?”
“เป็นอะไรไหม? ”
เฉินเกอและหญิงสาวอีกคนนั่งยองๆ พร้อมกันแล้วเอ่ยถาม
แต่กลับเป็นหญิงสาวเท้าแพลงที่ประหลาดขึ้นมาใจเล็กน้อย
“ฉันโอเค แต่แค่มันเจ็บมาก เหมือนจะเดินไม่ได้! ”
หญิงสาวกล่าว
“งั้นแบบนี้แล้วกัน ฉันประคองคุณเอง! ”
สวมใส่แว่น ท่าทางดูดี หญิงสาวที่ให้ความรู้สึกราวกับหญิงสาวจากตระกูลชั้นสูงเอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ
แต่ว่า เห็นได้ชัดว่าข้อเท้าของเธอบาดเจ็บมากเกินไป
หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว เธอก็ขยับต่อไปไม่ได้
“จะต้องเดินไปถึงไหน ผมช่วยคุณก่อนได้!”
เฉินเกอเอ่ย
“อืมอืม แต่ว่าพี่ชาย คุณช่วยแบกเธอกลับที่พักที่พวกเราอยู่ก่อนได้ไหม ฉันกลัวว่าอีกเดี๋ยว คนพวกนั้นจะกลับมาอีก! ”
หญิงสาวสวมแว่นพูดขึ้นอย่างอ่อนนุ่ม
“ไม่มีปัญหา! ”
พูดจบ เขาก็แบกเธอขึ้นมา
พูดตามตรง การแบกเธออีกครั้ง ยังคงทำให้เฉินเกอมีความรู้สึกมากมาย
“คุณกำลังจะไปไหน? ”
“โรงแรมเป่ยชาง! ”
“บังเอิญจริง ฉันเองก็อยู่ที่นั่น! ”
“พี่ชาย คุณมาเที่ยวเหรอ?”
“ใช่!”
“พวกเธอล่ะ มองดูแล้ว ดูเหมือนนักข่าว! ”
เฉินเกออดฝืนหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้
ทั้งงสองสาวตกใจขึ้นมาพร้อมกัน “คุณ….คุณรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นนักข่าว?”
“ดูจากนิสัยท่าทางของพวกคุณแล้วเหมือนมาก!”
เฉินเกอเอ่ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณน่าสนใจมาก! ”
หญิงสาวสวมแว่มท่าทางสง่าเอ่ยขึ้ย
“พี่ชาย คุณมาจากไหนหรือ?”
หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังของเฉินเกอเอ่ยถาม
“หืม? สำคัญหรือ”
“ไม่ไม่ไม่ ฉันแค่คิดว่าคุณดูเหมือนเป็นเพื่อนในสมัยก่อนของฉัน เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าคุณ และไม่ได้เก่งกาจเท่าคุณ! ”
หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังกล่าว
จากนั้นเธอก็เอ่ยเสียงเบา “ฉันจำได้ชัดเจน ว่าครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยข้อเท้าแพลง เฮอๆ นั้นเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน อีกทั้งเขาก็แบกฉันเอาไว้บนหลังของเขา! ”
“เขาเป็นแฟนของคุณหรือ? น้ำเสียงของคุณ ดูเหมือนจะมีความรู้สึกพิเศษบางอย่าง!”
ใบหน้าของเฉินเกอแดงขึ้นเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ได้เป็นแฟนกับเขา! ”
หญิงสาวกล่าว
“มีอะไรโชคดีโชคไม่ดีกัน เป็นเขาที่ไม่ได้โชคดีต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น คุณสวยขนาดนี้ คิดจะหาแฟนสักคนจะหาไม่ได้หรือไง?”
เฉินเกอเอ่ย
“ใช่ พี่ชายพูดถูก ฉันเองก็ไม่ควรจะดูถูกตัวเอง พวกเราไม่ได้ติดต่อกันมาปีนึงแล้ว สมควรที่จะลืมเขาได้แล้ว หาใหม่อีกสักคน!”
สาวแว่นที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ย
หญิงสาวที่อยู่บนหลังส่ายหัว “เขา ไม่ใช่คนที่ฉันคิดจะปล่อยวางก็วางลงได้!”
“เฮ้อ จะพูดกับเธอยังไงดี!”
สาวแว่นพูดไม่ออก
ส่วนเฉินเกอ ก็ไม่มีคำพูดใดๆ อีกแล้ว
ไม่นานนัก ก็มาถึงโรงแรม
ชั้นหนึ่งของโรงแรมเป็นร้านอาหาร
มีกลุ่มคนกำลังทานอาหารอยู่ในนั้น
และมองเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนกลับมาแล้ว
พวกเธอน่าจะรู้จักกันหมด และรีบวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น เท้าบาดเจ็บหรือ?”
ผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าถามขึ้นมาเช่นกัน
“ฉินหยา เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
และชายหนุ่มคนหนึ่งในนั้น เวลานี้กำลังแสดงความใส่ใจมาถึงตัวของเฉินเกอ
เขาเอ่ยกับเฉินเกอที่กำลังแบกหญิงสาว
บทที่ 544 ขึ้นรถเถอะ
“คุณชายลี่ พี่ชายคนนี้เป็นคนช่วยเราเอาไว้!”
ฉินหยาค่อยๆ ลงมาและเอ่ยกับชายหนุ่ม”
” คุณชายลี่อะไรกัน เสี่ยวหยาผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วให้เรียกฉันว่า ว่านหาว คุณชายลี่ คุณชายลี่ ห่างเหินเกินไปแล้ว! ”
หลี่ว่านหาวกล่าว
ฉินหยาไม่ได้พูดอะไร
แต่เธอมองไปที่เฉินเกอ “พี่ชาย ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?”
ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน ตั้งแต่แรกเห็นพี่ชายคนนี้ ในใจของฉินหยาก็มีความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ความรู้สึกใกล้ชิดนี้ ก็ทำให้ ฉินหยาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ
นานมากแล้วที่เธอไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ ผู้ชาย
แต่ ยกเว้นเขา
ราวกับเธอได้เจอญาติที่หายไปนาน
“นั่นสิ วันนี้พี่ชายช่วยพวกเราเอาไว้ ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร!”
และสาวแว่นคนนั้น ก็เอ่ยถามยิ้มๆ เช่นกัน
“ช่างเถอะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ!”
เฉินเกอกดปีกหมวกลง จากนั้นจึงหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบน
สายตาของสาวแว่น อดไม่ได้ที่จะแสดงออกถึงความผิดหวัง ปากของเธอยื่นออกมานิดๆ
“เมิ่งเสว่ เด็กคนนี้เป็นใครกัน กลางวันแดดจ้ากลับสวมหมวกสวมหน้ากาก ทำตัวเป้นเท่ไปทำไม!”
หลี่ว่านหาวเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากเฉินเมิ่งเสว่ เด็กคนนี้เห็นชัดว่ามาเป็นฮีโร่กอบกู้ความงาม
นี่เป็นโอกาสที่เขารอแล้วรอเล่าก็มาไม่ถึง จนทำให้ในใจของหลี่ว่านหาวเป็น
ทั้งอิจฉาและหึงหวง
“หลี่ว่านหาว คุณมาพูดจาแบบนี้กับผู้มีพระคุณของฉันกับฉินหยาได้ยังไง? ”
เฉินเมิ่งเสว่เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ก็เป็นอย่างนั้นจริงนี่ เด็กผู้ชายคนนี้เห็นชัดว่าเป็นพวกชอบทำตัวเท่!”
หลี่ว่านหาวเอ่ย
“เอาล่ะเอาล่ะ อย่าเอะอะเสียงดัง เอาเป็นว่าไม่มีเรื่องก็ดีแล้ว พวกเธอไปทานอะไรสักหน่อย อีกสักครู่เมื่อปังกงท่านนั้นมาแล้ว พวกเราจะต้องเข้าไปในทะเลทรายแล้ว! ”
หัวหน้าอาวุโสแนะนำ
ทุกคนถึงค่อยหยุดลง
พวกฉินหยาและทีมงานมีรวมกันมากกว่ายี่สิบคน สิบสามคนเป็นผู้ชาย ที่เหลือเป็นผู้หญิง
ครั้งนี้เข้าไปในทะเลทรายเพื่อทำการสำรวจ มี ฉินหยาและ เฉินเมิ่งเสว่มาผู้สื่อข่าวที่ติดตามไปด้วย
ส่วนหลี่ว่านหาวเขาเป็นลูกชายของหัวหน้าผู้สนับสนุนกิจกรรมการสำรวจนี้
มีพลังและอำนาจ อีกทั้งในระหว่างกิจกรรมแลกเปลี่ยน เขาก็สนใจในตัวของฉินหยา จากนั้นก็ไม่อาจควบคุมได้อีก และเริ่มเปิดตัวตามจีบอย่างบ้าคลั่ง
ดังนั้นเมื่อต้องเข้าไปในทะเลทราย เขาเองก็ตามมาด้วย
“ปังกงท่านนั้นเติบโตมาในทะเลทราย พวกเราที่เป็นคนต่างถิ่นหากคิดจะเข้าไปในทะเลทรายยังไงก็หลีกหนีไม่พ้นเขา ทน่าแปลกอย่างยิ่ง ทำไมตอนนี้เขายังไม่มาอีก?”
หลังจากที่ชายชรานั่งลง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับผู้ติดตามที่ตามมา
ในขณะที่เขากำลังพูด เสียงระฆังอูฐก็ดังขึ้นด้านนอกประตู
อูฐกว่ายี่สิบตัวพร้อมกับเกวียนหยุดลงอยู่ที่ประตู
“ไปกันเถอะ! ”
คนขับเป็นชายชราหน้าคล้ำผู้หนึ่ง มีหนวดเคราสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย
เขาตะโกนขึ้นที่หน้าประตูของโรงแรม
ในพริบตา คนด้านในก็เดินออกมากันหมด
ดูจากสายตาแล้วเหมือนจะไม่ได้มีแค่ยี่สิบคน ยังมีนักเดินทางอีกกว่าสิบยี่สิบคน รวมถึงรถที่เช่ารถของปังกงด้วย
พวกเขาวางสัมภาระและน้ำดื่มไว้บนตัวอูฐ
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ฝูงชนก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
“ไปกันเถอะเสี่ยวหยา คุณบาดเจ็บ ผมจ่ายเงินเพิ่มไปแล้ว พวกเรากับศาสตราจารย์หยางสามารถไปนั่งบนรถได้ ไม่ต้องเดินแล้ว!”
เฉินว่านหาวเห็น ฉินหยากำลังลังเล และไม่หยุดหันไปมองทางชั้นสอง
ทันใดนั้นเขาก็อิจฉาขึ้นอย่างกะทันหัน “เสี่ยวหยา คุณคงไม่ได้กำลังรอเด็กขี้เก๊กคนนั้นอยู่หรอกนะ?”
“ฉัน….ฉันจะรอเขาทำไม? พวกเราไม่รู้จักกันสักหน่อย!”
ฉินหยาเอ่ย
“อย่างนั้นก็ดี รีบไปเถอะ ผมพยุงณเอง”
“ไม่เป็นไร เมิ่งเสว่ประคองฉันไปก็ได้แล้ว!”
เมื่อคณะเดินทางเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่ทะเลทราย
จากนั้นเฉินเกอถึงค่อยเดินออกมา
พูดตามตรง เขาไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญเจอกับฉินหยาที่นี่หลังจากไม่ได้เจอกันมานานกว่าหนึ่งปี
เธอทำงานแล้ว อีกทั้งนิสัยใจคอยังดีขึ้นกว่าเดิมมาก
อันที่จริง เฉินเกอเองก็อยากจะบอกเธอเช่นกัน
เนื่องจากพวกเขาเจอกันมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว
แต่เมื่อเฉินเกอเอ่ยหยั่งเชิงไปประโยคหนึ่ง ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ลืมตนเอง
ในปีนั้น เขาทำผิดต่อเธอมากแล้ว เฉินเกอไม่ต้องการถ่วงเวลาเธอ เนื่องจากทั้งคู่แต่เดิมก็ไม่อาจเป็นไปได้
เมื่อครู่ เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งดีต่อเธอแบบนั้น ในใจของเฉินเกอถึงแม้จะมีความรู้สึกย่ำแย่อยู่บ้าง แต่เขาก็อวยพรให้ฉินหยาจากใจ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ช่วยเธอรักษาแผลต่อ คงมีคนดูแลเธอเป็นอย่างดีแน่
หลังจาดแบกกระเป๋าสัมภาระ เฉินเกอก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อ
งานนัดหมายน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ยังเหลือเวลาอีกสามเดือน
ดังนั้นการเดินทางในครั้งนี้ ตนเองจึงมีความรีบร้อนอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแต่จะต้องก้าวเข้าสู่ชั้นปรมาจารย์ แต่ยังต้องหาโลงศพอมตะด้วย
เขาจะล่าช้าไม่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าไปในทะเลทรายได้ไม่นาน
เฉินเกอก็เห็นว่า มีคนกลุ่มใหญ่กำลังขวางอยู่ตรงหน้าเขา
อีกทั้งยังมีการตีวงล้อมเอาไว้ด้วย
อาสาสมัครหลายคนที่มีปลอกแขนสีแดง ดูเหมือนจะกำลังหยุดฝูงชนไม่ให้เดินหน้าไปต่อ
“ทำไมไม่ให้เข้าไปล่ะ? ทะเลทรายเป็นของครอบครัวคุณหรือไง?”
นักเดินทางบางคนด่าขึ้น
“ขออภัยด้วย ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในทะเลทรายมีคนพบศพหลายศพ การตายของพวกเขาน่าสังเวชอย่างยิ่ง ดังนั้นในทะเลทรายจึงมีอันตรายอย่างยิ่ง ฉันขอแนะนำพวกคุณ ช่วงนี้อย่าเพิ่งเข้าไปในทะเลทราย หากมาเที่ยวเล่นแล้วต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้คงไม่คุ้ม!”
อาสาสมัครกล่าว
“คิดจะขู่ให้พวกเรากลัว นึกว่าพวกเราไม่รู้หรือไงว่านี่คือทะเลทรายแห่งความตาย พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อหาความตื่นเต้น อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาพุ่งตรงเข้าไป!”
มีนักเดินทางบางคนบุกเข้าไปโดยตรง
อาสาสมัครหยุดเอาไว้ แต่ก็ห้ามไม่อยู่ อย่างที่ผู้หญิงเมื่อครู่เอ่ย คนที่มาเที่ยวที่นี่ ก็เพื่อแสวงหาความตื่นเต้นทั้งนั้น!
“พี่ชาย ขอบคุณพวกคุณแล้ว แต่ว่าพวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยว พวกเรามาที่นี่เนื่องจากภารกิจในการวิจัย รบกวนพวกคุณช่วยเปิดทางให้อูฐของพวกเราเข้าไปด้วย”
ศาสตราจารย์หยางเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ในตอนนี้เขาขึ้นไปเอ่ย
“เห็นพวกคุณมาเป็นขบวนแบบนี้ ดูแล้วน่าเชื่อถือ ได้ ยังไงพวกเราก็ไม่ห้ามพวกคุณแล้ว ขอให้พวกคุณปลอดภัย!”
อาสาสมัครเปิดทาง
พวกศาสตราจารย์หยางเองจึงเข้าไปด้านใน
แต่ก็มีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยที่ตกใจหวาดกลัวและเลือกที่จะล่าถอย
“หืม? พี่ชายคนนี้ ที่แท้คุณเองก็มา?”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เฉินเมิ่งเสว่ก็เห็นร่างที่คุ้นเคยและโบกมือให้อย่างรีบร้อน
เฉินเกอทำเพียงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินต่อไป
ฉินหยาเองก็มองดูชายหนุ่มอยู่ในรถ ทำไมยิ่งเห็นเขา ก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย
แต่ว่า เขาไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งเช่นนี้
“เข้าร่วมกับขบวนรถของพวกเราเถอะ เมื่อครู่มีคนบอกว่า ในทะเลทรายแห่งนี้อันตราย ในคณะเดินทางของพวกเรายังมีนักเดินทางอีกหลายคน คนยิ่งเยอะกำลังยิ่งมาก พวกเราไปด้วยกันเถอะ?”
เฉินเมิ่งเสว่นั่งอยู่ในรถและเอ่ยถาม
“หึหึหึ เด็กคนนี้คงไม่ใช่นักเดินทางยากจนหรอกนะ ไม่มีอูฐมาช่วยแบกน้ำ อาศัยขวดน้ำของเขา คาดว่ายังไม่ถึงกลางทาง คงกระหายตายไปก่อน!”
หลี่ว่านหาวหัวเราะเยาะ
“พี่ชาย คุณเข้าร่วมกับขบวนรถของพวกเราเถอะ เรื่องเงินฉันช่วยคุณเอง!”
เฉินเมิ่งเสว่เอ่ยอย่างกังวล
เฉินเกอส่ายหัว
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ต้องการ”
เขาพูดเสียงเรียบ
“ฮ่าฮ่า ไม่รู้จักฟ้าสู่งดินต่ำ ในทะเลทรายแบบนี้ หากไม่มีปังกงในทะเลทราย ในสิบคน เก้าคนล้วนไปไหนไม่รอด ไม่ต้องการ? อย่างนั้นนายก็อย่ามาเสียใจทีหลัง ต่อให้มีคนยอมจ่ายเงินให้นาย ฉันก็ไม่ให้นายเข้าร่วมขบวนแน่!”
ปังกงด้านหนึ่งดื่มน้ำ ส่วนอีกด้านหนึ่งมองไปที่เฉินเกออย่างเย็นชา ที่แห่งนี้ ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่ต้องการเขา ชายชรามีความมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงขุ่นเคือง
“ออกเดินทาง! ”
เขาสะบัดแส้ใส่อูฐ จากนั้นขบวนก็เร่งเดินทางบทที่ 545 เจ้าย่าชานหยาง
การเดินทางสู่ทะเลทรายนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายาวนานและน่าเบื่อ
ด้วยความช่วยเหลือของปังกง คณะเดินทางและนักเดินทางจึงสามารถพูดได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว
ในไม่ช้า ก็ผ่านไปเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน ในช่วงเวลาตกเย็น พวกเขาก็ไปถึงกลางทะเลทราย
ที่นี่ไม่มีร่องรอยของผู้คน สุดลูกหูลูกตาออกไป ล้วนคือทะเลทรายที่ไร้ขอบเขต
พระอาทิตย์กำลังจะตก ทุกคนเองก็ไม่เดินทางต่อแล้วเช่นกัน
พอดีกับที่ที่นี่อาคารที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ทุกคนจึงเข้าไปด้านในเพื่อหลบความหนาวเย็น
“ไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง เขากลับไปแล้วหรือเปล่านะ?”
ในเวลานี้ฉินหยาที่นั่งอยู่ข้างกองไฟก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพี่ชายที่ช่วยตัวเองเอาไว้
“ฉันไม่คิดอย่างนั้น เขาดูไม่เหมือนผู้ชายแบบนั้น เขาดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงอย่างมาก! ”
เฉินเมิ่งเสว่เอ่ยขึ้นเช่นกัน
“เสี่ยวหยา ทำไมคุณมักจะเอาแต่คิดถึงเขา เธอไม่ได้บอกว่าเธอชอบเฉินเกอหรอกหรือ เธอคงไม่ได้เห็นว่าเขาคล้ายกับเฉินเกอ ดังนั้นถึงได้…..”
เฉินเมิ่งเสว่มองออกถึงบางอย่าง ในใจจึงมีความรู้สึกไม่พอใจบางอย่างเกิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
“ไม่นะ! ก็เขาอุตส่าห์ช่วยพวกเราเอาไว้ ดังนั้นฉันถึงได้เป็นห่วงเขา! เมิ่งเสว่ ดูเหมือนเธอก็เอาแต่คิดถึงเขาตลอดเวลาเหมือนกันนี่? ”
ฉินหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“หึหึ เขาหรือ เขาทำให้ฉันรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างมาก ฉันชอบผู้ชายแบบนี้ อีกทั้งดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้ฉันรู้สึกถึงความลึกลับแข็งแกร่ง แฟนในอุดมคติของฉัน ก็คือแบบเขา!”
เฉินเมิ่งเสว่กลับไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“พูดแบบนี้ เธอชอบเขาแล้วหรือ?”
ในใจของฉินหยาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
“ฉันเองก็ไม่รู้ อาจจะอย่างนั้น ในหัวของฉันเอาแต่คิดถึงเขา ฉันอยากเจอเขาอีกครั้ง มากๆ!”
เฉินเมิ่งเสว่จับแก้มของตนเอาไว้และมองไปที่ดวงจันทร์
ฉินหยาเองก็เก็บความคิดในใจและมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
“ฉันเองก็อยากเจอเขา มากๆ!”
เธอพูดความในใจ
ในตอนนั้นเอง
“เสี่ยวหยา เมิ่งเสว่ทำอะไรน่ะ? มาดื่มน้ำร้อนหน่อยเถอะ พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ที่นี่เย็นมากอย่างยิ่ง! ”
หลี่ว่านหาวเดินเข้ามา
“ฉันไม่กระหาย!”
ฉินหยาส่ายหัว
แน่นอนเธอรู้ดีว่า หลี่ว่านหาวคิดอย่างไรกับตัวเอง
แม้ว่าหลี่ว่านหาวจะมีท่าทางและรสนิยมของคนจากตระกูลร่ำรวย แต่เมื่อพิจารณาจริงจังแล้ว เขากลับไม่ใช่คนประเภทที่ตนเองชอบ
แต่ว่า เพื่อตนเองแล้ว เขาสามารถทำให้ได้เกือบทุกอย่าง
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจของฉินหยาก็ยิ่งรู้สึกผิด นั่นเพราะตนกับเขานั้นแต่เดิมก็ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้
“ถ้าไม่กระหาย นั่งอยู่ที่นี่เฉยๆ ออกจะน่าเบื่อ ทำไมคุณไม่ไปที่นั่งฟังเรื่องราวของปังกงแทนล่ะ น่ากลัวไม่น้อย!”
หลี่ว่านหาวเอ่ย
“ดูสิ แม้แต่ศาสตราจารย์หยางก็ยังถูกดึงดูดจนต้องเข้าไปฟังด้วยเลย!”
เขาชี้
ฉินหยาและ เฉินเมิ่งเสว่มองหน้ากัน
พวกเธอออกมาก็เนื่องจากเป็นผู้สื่อข่าวของคณะ กลับไปยังต้องเขียนต้นฉบับ หากได้ฟังเรื่องราวบางอย่างมาจริงๆ
ไม่แน่ว่าอาจช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับตนเองได้
ดังนั้นทั้งสองสาวจึงเข้าไปล้อมวงด้วยเช่นกัน
ในขณะที่เข้าไป ปังกงกำลังเอ่ยเล่าเรื่องด้วยสีหน้าจริงจัง เกี่ยวกับตำนานเจ้าย่าชานหยาง
ว่ากันว่าในทะเลทราย มักจะมีหญิงชราคนหนึ่ง มีคนบอกว่าเธอดูราวกับครึ่งคนครึ่งผี อีกทั้งยังดื่มเลือดคนเป็นอาหาร
การฆาตกรรมเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าย่าชานหยางจะทำเช่นนั้น เธอดูดเลือดของคนเหล่านั้น
อีกทั้งเธอยังมีอานุภาพไร้ขีดจำกัด ไม่กลัวกระสุน ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย หากคนทั่วไปเจอเธอ ก็เท่ากับถึงวันโดนตัดสินประหารชีวิตเข้าแล้ว!
“มันชั่วร้ายขนาดนั้นจริงๆ หรือ? หากบนโลกนี้มีของแบบนั้นจริงๆ คงดังไปนานแล้ว!”
มีคนไม่เชื่อ
แต่บางคนก็ยังหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดออกมา
“ชั่วร้ายขนาดนั้นเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น จะบอกอะไรให้ เจ้าย่าชานหยางนั้นมีอยู่จริง ฉันเคยเจอมาก่อน!”
ปังกงลดเสียงลงต่ำในทันที
ประโยคนี้ของเขา ทำให้ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้าน
ศาสตราจารย์หยางหัวเราะเสียงดัง “ปังกงชอบพูดเล่นแล้ว คุณอย่าได้ทำให้เด็กพวกนี้ตกใจ! ”
“ใครล้อเล่นกัน ฉันเคยเจอจริงๆ ตอนนั้นฉันอายุเจ็ดขวบและเห็นตอนที่ฉันตามพ่อเข้าไปในทะเลทราย! ”
สีหน้าของปังกงจริงจัง ในขณะที่เอ่ยพูด สีหน้าก็แฝงด้วยความตื่นตระหนก
ศาสตราจารย์หยางก็หยุดยิ้มเช่นกัน เห็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าปังกงจะไม่ได้โกหก
“วันนั้น เป็นเวลาค่ำแล้ว เหมือนตอนนี้ พระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ฉันกับพ่อกางเต็นท์นอนกันเพราะเราต้องเตรียมหาแหล่งน้ำสำหรับวันรุ่งขึ้น ด้านข้างมีลำธารสายหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ฉันจึงไปยังริมธารกับพ่อและเตรียมตัวเก็บสำรองน้ำ ”
“จากนั้น ที่ริมฝั่ง ฉันก็เห็นเธอ!!!”
ทุกคนจ้องไปที่ปังกงตาโต
“เธอก้มตัวลงเพื่อดื่มน้ำ ภายใต้แสงจันทร์ ฉันมองไม่เห็นหน้าตาของเธออย่างชัดเจน แต่กลับมีภาพจำไม่ลืม ลิ้นของเธอยาวเกินไป ผมของเธอกระเซอะกระเซิง ตอนที่พวกเราเข้าไป เธอก็หันมาสบตาเข้าพอดี ดวงตาของเธอ เป็นสีเขียว!”
“ตอนนั้นพ่อของฉันก็นิ่งไป เขาร้องตะโกนเสียงดัง เสี่ยวเหนียน รีบหันกลับมา ห้ามมอง!”
ฉันกับพ่อหันหลังกลับมาพร้อมกัน จากนั้นจึงนั่งคุกเข่าเข้าหาดวงจันทร์
นั่นเพราะพ่อของฉันเคยบอกว่า หากพบเข้าเจ้าย่าชานหยางเข้าให้ ให้หันหลังให้เธอ อย่าได้หันไปมอง!
“จากนั้นล่ะ?”
มีนักเดินทางถามขึ้น
“จากนั้น เธอก็เดินมาหาพวกเราสองพ่อลูก ฝีเท้าของเธอเงียบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเบากริบ ได้ยินเพียงแค่เสียงกรอบแกรบเท่านั้น เธอเดินช้าอย่างยิ่ง!”
“เสี่ยวเหนียน! เสี่ยวเหนียน! รีบหันมา อย่ามอง!”
ข้างหลังของฉันมีเสียงดังขึ้นเหมือนเสียงร้องของลูกแพะ มันคือเจ้าย่าชานหยางที่กำลังเรียนแบบคำพูดของคน
“หลังจากนั้นล่ะ?
มีคนถาม
“จากนั้น พวกเราก็คุกเข่าอย่างเงียบเชียบเป็นตายอยู่ที่นั่น ตลอดทั้งคืน ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา!”
ปังกงกล่าว
คนในห้องเองก็เงียบลงเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวๆ ทั้งหลาย หน้าผากถึงกับมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา
“กรอบแกรบบ…”
ในเวลานี้เอง เนื่องจากทุกอย่างเงียบสงบ ดังนั้นจึงได้ยินเสียงดังกรอบแกรบเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากด้านนอกอย่างชัดเจน
ราวกับมีใครบางคนกำลังมาทางนี้
“อ๊า!”
มีผู้หญิงบางคนกรีดร้องขึ้นด้วยความกลัว
อีกทั้งเงาร่างนั้นกลับยิ่งเข้าใกล้เข้ามา จนทำให้ผู้คนในนั้นกำลังตึงเครียดด้วยความประหม่า
แต่ทันใดนั้นก็เห็นเป็นชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปและหน้ากากกำลังเดินเข้ามา
“ตกใจแทบตาย!”
สาวๆ โอดครวญร่ำไห้
“พี่ชาย เป็นคุณ!!!”
เฉินเมิ่งเสว่ยืนขึ้นด้วยความยินดีและประหลาดใจ
คนๆ นี้ หากไม่ใช่เฉินเกอแล้วจะเป็นใครได้อีก
“บังเอิญแล้ว!”
เฉินเกอยังไม่ถอดหน้ากาก เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“บังเอิญอะไรอย่างนี้! เมื่อกี้ฉันยังคิดอยากให้คุณมาอยู่เลย!”
เฉินเมิ่งเสว่ยิ้มอย่างมีความสุข
พูดจบ เธอก็หน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้
ฉินหยาเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน ดวงตาของเธอจ้องมองที่ดวงตาของเฉินเกอ
หลี่ว่านหาวเมื่อเห็นฉากตรงหน้า เขาก็เอ่ยเยาะเย้ย
“หึ ทำไม? ไม่มีที่ไปแล้ว แล้วก็ไม่มีน้ำด้วยสินะ ดังนั้นเมื่อเห็นขบวนของพวกเราถึงได้รีบตามมา ฮ่าฮ่า ไม่อย่างนั้น ชีวิตๆ น้อยๆ คงรักษาเอาไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังมีหน้ามาทำอวดดี บอกไม่ต้องการ!”
“ก็แค่บังเอิญ!”
เฉินเกอเอ่ยเสียงเรียบ
และไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
เขาเดินไปที่มุมหนึ่งและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ
“เอ่ออะหมิงกับอะย่วน ทำไมยังไม่กลับมา? ”
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีคนในกลุ่มทัวร์เอ่ยขึ้น
“อะไรนะ? พวกเธอออกไปเมื่อไหร่? ” ปังกงเอ่ย
“ออกไปได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเธอออกไปถ่ายรูป!”
มีคนเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้การ ต้องออกไปตามหา ดึกดื่นแบบนี้อันตรายเกินไป!”
ปังกงเอ่ย
จากนั้นเขาก็พาคนออกไป
และคอยตะโกนเรียกอย่างไม่หยุด
“อ๊า!!”
ในเวลานั้นเอง มีเสียงของหญิงสาวหลายคนกรีดร้องขึ้นด้วยความสยดสยองออกไป
เฉินเมิ่งเสว่และ ฉินหยาต่างมองไปที่ชายหนุ่มที่เดินตามด้านหลังอย่างเงียบๆ ด้วยความกังวล
ชายหนุ่มคนนี้ สวมชุดสูทรองเท้าหนัง มองดูแล้วเป็นคนสุภาพมีเอกลักษณ์
“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? ทำไมถึงให้เขาแบกไว้?”
ชายหนุ่มมองดูเฉินเกออีกครั้ง ใบหน้ามีประกายความหึงหวงอย่างรุนแรงพาดผ่าน