ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 627
บทที่ 627 รถติดแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ เขาบอกว่าเขาจะมา ฉันเองก็คิดข้อนี้เหมือนกัน แล้วจึงได้นัดกับเขาไว้ว่า เจอกันที่ประตูด้านหน้าของโรงแรม”
เฉินหนาน ถือได้ว่า เป็นผู้หญิงที่ถูกจัดอยู่ในประเภทสวยเลยทีเดียว
อีกอย่าง เวลาที่เธอคิดอะไร ก็ค่อนข้างที่จะรอบคอบ
ซึ่งเป็นอย่างที่เหยาหยวนหยวนนั่นได้บอกเอาไว้ว่า เฉินเกอคงไม่เคยมาโรงแรมห้าดาวที่ใหญ่โตขนาดนี้ และก็คงจะกลัวด้วย ดังนั้น เฉินหนานเลยบอกกับเขาว่าจะรอเขาที่หน้าโรงแรม แล้วค่อยเดินเข้าไปพร้อมกัน
แต่เวลาที่นัดเจอกันนั้น คือช่วงเช้าตอนเก้าโมง และเวลาตอนนี้ก็เก้าโมงสี่สิบแล้ว เฉินเกอยังไม่มาอีก
ส่งข้อความในวีแชตไปหาเขา ก็ไม่มีการตอบกลับ
เฉินหนานคิดว่า เขาคงจะไม่มาแล้วจริง ๆ
ใช่แล้ว เมื่อวานเขาบอกกับตัวเองว่า จะไปเตรียมของขวัญชิ้นพิเศษให้กับเพื่อน
แล้วเพื่อนคนนี้คือใครหรอ
หรือจะเป็นเพื่อนผู้หญิงของเขาหรอ
หรือว่า เขาไม่ได้ชอบตัวเองเลย
หากเฉินเกอเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ที่จน ๆ คนหนึ่ง งั้นเฉินหนานก็คงไม่รู้สึกพะวงหาอย่างนี้หรอก
แต่ว่า ออร่าบนตัวของเฉินเกอ และฝีมือของเขาในตอนนี้นั้น เป็นดั่งวีรบุรุษในดวงใจของทุก ๆ คน
เขาเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นมาก
ดังนั้น เฉินหนานเลยรู้สึกเป็นห่วงว่า เขานั้นชอบตัวเองหรือไม่
และนี่ก็คือความคิดและความใฝ่ฝันของผู้หญิงจำนวนมาก ร้อยละแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงสวย ๆ ต่างก็ต้องคิดแบบนี้
“หนานหนาน ขอโทษจริง ๆ นะ ที่ให้เธอนั้นรอนานแล้ว เมื่อสักครู่ ฉันเข้าทางประตูของแขกพิเศษ”
ในเวลานี้ หวางเผิงกับหวางกุ้ยฟางและยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกสี่คน ได้เดินลงมา
มองมาแต่ไกลก็เห็นว่า เฉินหนานและเหยาหยวนหยวนสองคนนั้น กำลังเหมือนมองหาใครอยู่ และคิดไม่ถึงว่า เมื่อวานนั้น เธอทำกับตัวเองอีกแบบ แล้ววันนี้นั้น กลับทำกับตัวเองอีกแบบ หวางเผิงเองเลยรู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
“หนานหนาน แกไม่รู้หรอกเหรอว่า หวางเผิงเขาได้เตรียมของขวัญไว้ให้แกด้วย ตอนแรก ฉันว่าจะโทรเรียกให้แกขึ้นไปข้างบน แต่ว่าหวางเผิงเขาอยากจะลงมาหาแกเองเลยนะ”
หวางกุ้ยฟางพูดขึ้นด้วยอาการที่ยิ้มแย้ม
“อืม ๆ ขอบคุณนะหวางเผิง นายกับแม่ของฉันขึ้นไปก่อนเลยก็ได้”
เฉินหนานพูดกับหวางเผิงด้วยอาการที่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ที่พูดออกมา หวางเผิงก็มีสีหน้าที่ดูเปลี่ยนไป
ส่วนหวางกุ้ยฟางเองก็ตกใจเหมือนกัน
รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล
ดูท่าทางของลูกสาวตัวเองแล้ว เหมือนไม่ได้รอหวางเผิงเหรอ
และหวางเผิงเองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวได้
“หนานหนาน แกรอใครอยู่”
หวางกุ้ยฟางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“หนูรอเพื่อนอีกคนหนึ่งค่ะ เขายังไม่มาเลย”
เฉินหนานได้ตอบกลับไป
“ใคร เป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง”
หวางกุ้ยฟางถามขึ้น
ด้านเฉินหนานนั้น ก็ได้แต่มองไปยังถนน และก็กำลังคิดอยู่ว่า ทำไมเฉินเกอยังไม่มาอีกสักที
หวางกุ้ยฟางมองที่ไปเหยาหยวนหยวน
“หยวนหยวน พวกเธอกำลังรอใครอยู่”
ครั้นแล้ว เหยาหยวนหยวนก็เลยได้เล่าเรื่องราวทั้งหมด ที่เริ่มตั้งแต่เรื่องถ่ายรูป ไปจนถึงเรื่องตอนบ่ายที่เกิดขึ้นให้แก่หวางกุ้ยฟางได้ฟัง
หวางกุ้ยฟางเพิ่งจะรู้ว่า ตอนนี้ลูกสาวของตัวเองกำลังรอไอ้คนจนคนนั้นอยู่
หวางเผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และก็มีสีหน้าที่แสดงอาการหึงหวงออกมา
หวางกุ้ยฟางเองก็เห็นสีหน้าของหวางเผิงที่เปลี่ยนไป
จึงอดไม่ได้ที่จะกัดฟันไว้แน่น
ลูกสาวของตัวเองคนนี้ ทำไมถึงได้ทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ อันไหนก้อนกรวด อันไหนเพชรยังแยกไม่ออกอีกเหรอ จากนั้น เลยเข้าไปต่อว่าและตำหนิลูกสาวตัวเอง……
อีกอย่างเฉินเกอ
หลังจาก เมื่อวานที่เฉินเกอได้รับข้อความเชิญให้มางานวันเกิดแล้วนั้น เขาเองก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว
และก็ได้เตรียมตัวไว้ตั้งนานแล้ว
หากว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ตัวเองก็จะขับรถไป และก็คงถึงที่งานก่อนแปดโมงแน่นอน ส่วนรถที่เฉินเกอขับไปนั้น ก็เป็นแค่รถธรรมดา ๆ
รถหรู หรือ รถสปอร์ตเหล่านั้น คงไม่ขับไปหรอก
เพราะเฉินเกอคิดว่า ความเข้าใจผิดของเฉินหนานที่มีต่อตัวเองนั้น ได้เข้าใจกันดีแล้ว และไม่จำเป็นต้องใช้เงิน และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ใด ๆ ในการแสวงหาผลประโยชน์อีกด้วย
เพียงแค่ตัวเองมาร่วมงานวันเกิดของเธอ แล้วก็ตั้งใจมอบของขวัญให้แก่เธอสักชิ้น แค่นี้ก็สำเร็จแล้ว
อีกอย่างเฉินเกอยังคิดว่า ถ้าตัวเองขับรถหรู ๆ แพง ๆ ไปอวด มันเป็นวิธีที่ธรรมดาไปหน่อย
จากรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ผู้หญิงอย่างเฉินหนานนั้นชอบเงิน แต่ซูฉููฉูนั้นกลับไม่ได้สนใจเงินเลย
หากว่าวันนี้ตัวเองขับรถหรูไป เดี๋ยวเฉินหนานคิดว่าตัวเองมีเงินมาก แล้วอาจจะทำให้ตัวเองไม่ได้รับความจริงใจจากเธอ
งั้น เลือดจุดจื้อหยินนั้น คงจะไม่มีผลอะไรแล้ว
ตามที่ไป๋เสี่ยวเฟยได้บอกไว้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอวดว่าตัวเองนั้นรวยแค่ไหน
ดังนั้น วันนี้เฉินเกอเลยได้ขับรถเล็ก ๆ ที่ราคาไม่กี่แสนหยวนไป
แต่ว่าระหว่างทางนั้น รถติดมาก
และเมื่อสักครู่ ที่ได้ยินเสียงดัง ครึม นั้น
รถคันข้างหน้าได้เบรคอย่างกะทันหัน
เฉินเกอเอง ก็ได้เบรครถตัวเองไว้ด้วย
แต่ว่ารถของผู้หญิงที่ใส่หมวก แต่งตัวเปรี้ยวคันข้างหลังที่ขับตามมาติด ๆ นั้น เธอมีอาการตกใจ จากที่เธอนั้น ต้องการจะเหยียบเบรค แต่กลับเหยียบคันเร่งแทน จากนั้น รถของเธอจึงวิ่งมาชนที่ท้ายรถของเฉินเกอเข้า
สภาพการจราจรที่มีรถติดแน่นอย่างนี้ แล้วยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก เฉินเกอเอง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
“ไอ้บ้าเอ้ย ไม่ลืมตาหรอ นายขับรถเป็นไหม ทำไมจู่ ๆ ถึงได้หยุด”
ผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวคนนั้น ถือกระเป๋าคล้องแขน ในปากคาบบุหรี่ไว้ แล้วเดินเข้ามาต่อว่าเฉินเกอ
“พี่สาว ช่วยดูหน่อย คุณต่างหากที่เป็นคนชนผม”
เฉินเกอคิดไม่ถึงว่า ยังจะมีคนที่ไม่ภาษีภาษาอีก หมดคำจะพูดจริง ๆ
เมื่อผู้หญิงเปรี้ยวคนนั้นได้ยินที่เฉินเกอเรียกตัวเองว่า พี่สาว
ราวกับว่า ฟ้าผ่าลงทั่วตัวอย่างไร้เสียง
ทำเอาเธอนั้นถึงกลับมีอาการตัวสั่นไปเลย
และใบหน้าของเธอนั้น ก็บูดเบี้ยวอย่างกับอะไรดี
“นาย……นายเรียกใครว่าพี่สาว”
เธอพูดขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ
“นายก็แค่ขับรถคันเล็ก ๆ เองไม่ใช่เหรอ ยังจะทำมาเป็นเบ่งอีก คนจน ๆ แบบนาย ฉันเห็นมามากมายแล้ว นายก็ไม่ดูเลย ว่าตัวเองขับรถอะไร ฉันขับรถอะไร ฉันจะบอกให้นะ นายต้องชดเชยค่าเสียหายให้ฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะโทรศัพท์ไปบอกสามีฉัน ให้มาจัดการนาย”
ผู้หญิงคนนั้น พูดขึ้นด้วยสีหน้าและท่าทางที่โมโหมาก
เฉินเกอได้แต่ส่ายหน้า
และในที่เกิดเหตุนั้น รถที่ติดอยู่แล้ว ยิ่งติดเข้าไปใหญ่
ผู้คนจำนวนไม่น้อย ต่างก็ได้ลดกระจกหน้าต่างลงมาดู
เสียงแตรดังสนั่นฟ้า
และผู้หญิงคนนี้แต่งตัวค่อนข้างที่จะทันสมัย แต่เฉินเกอเรียกเธอว่า พี่สาว หากไม่ทุบปากของเฉินเกอให้แตก ผู้หญิงคนนี้ ดูท่าจะไม่ยอมง่าย ๆ แน่
แล้วเธอก็โทรศัพท์หาสามีของเธอจริง ๆ
ไม่นานนัก สามีของเธอก็ได้ขับรถแฮมเมอร์คันใหญ่มา แล้วนำรถจอดขวางไว้ยังทางเท้าที่คนเดิน
พอถึงที่เกิดเหตุ
ข้างหลังยังนำพาผู้ชายร่างยักษ์ที่ไว้ผมทรงสกินเฮดหลายคนมา บนคอนั้นต่างก็ใส่สร้อยทองอยู่
ทั้งหมดต่างก็เอามือล้วงในกระเป๋ากางเกง ในปากก็คาบบุหรี่ไว้ แล้วก็ส่ายหัวทำท่าทีหาเรื่องอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีเสียงคอลั่นอยู่ไม่หยุดด้วย
“ที่รัก เขานั่นแหละ ที่ตั้งใจเบรครถกะทันหันแล้วให้ฉันชน”
ผู้หญิงคนนั้นได้พูดขึ้น
“ไอ้เบือก กล้านะ ที่จงใจทำกับผู้หญิงของฉันแบบนี้ สงสัยคงไม่อยากมีชีวิตที่จินหลิงต่อแล้วล่ะมั้ง แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ที่รักแร้มีกระเป๋าใบหนึ่งหนีบไว้ และก็ได้ใส่นาฬิกาทองคำอยู่ที่ข้อมือ แล้วพูดขึ้นอย่างนิ่ง ๆ
“ไม่รู้”
เฉินเกอส่ายหน้า จากนั้น ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา
“แม่งเอ้ย”
และผู้ชายร่างยักษ์หลายคนที่อยู่ด้านหลังของชายวัยกลางคนนั้น ต่างก็ได้ถุยน้ำลายลงพื้น จากนั้น ก็เดินเข้าไปหาเฉินเกอ
“เพื่อนยาก งั้น วันนี้ดูท่าจะไม่จบง่าย ๆ แน่ เดี๋ยวฉันจะทำให้แกยืนไม่ได้เลยล่ะ”
ชายวัยกลางคนพูดขู่อย่างเหี้ยมโหด
“ใครจะทำให้ฉันยืนไม่ได้นะ”
เฉินเกอเหลือบมองไป แล้วได้พูดขึ้น
“ฉันไง”
ชายวัยกลางคนตอบ
“เฮอะ ๆ ”
ฉินเกอมองที่เขาแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะ
ส่วนชายวัยกลางคนคนนั้น เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังโดนยั่วอยู่ ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
และสมุนที่อยู่ด้านหลังนั้น ก็รับรู้ได้เหมือนกัน
“โคตรแม่ง”
จากนั้น พวกเขาก็โยนก้นบุหรี่ลงที่พื้นอย่างเร็ว แล้วยืนล้อมเฉินเกอเอาไว้