ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 930
บทที่ 930 อันตรายมาถึงแล้ว
ดูเหมือนว่ายังมีกลไกอีกมากมายในดินแดนของเผ่าเส่ส้า นี่ก็แค่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อป้องกันการรุกรานของบุคคลภายนอกเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่กี่นาที จนกระทั่งด้านในไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เฉินเกอและเล๋ยเล่จึงค่อยกล้าโผล่หน้าออกไปดูด้านใน
“บ้าเอ้ย พี่เฉิน ดีที่นายมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นหน้าไม้จำนวนมากขนาดนี้คงยิงทะลุเราพรุนแน่!”
เล๋ยเล่มองไปที่ลูกธนูที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นและถอนหายใจด้วยความสะพรึงกลัว
“ดูเหมือนว่าจะมีกลไกอีกมากมายในอาณาเขตของเผ่าเส่ส้า พวกเราต้องระวังให้มากขึ้น นายตามฉันมา อย่าได้เดินไปไหนมั่วซั่ว! ”
เฉินเกอมองเล๋ยเล่และเอ่นเตือน
“อืม ไม่ต้องห่วงพี่เฉิน ฉันจะไม่บุ่มบ่ามแน่! ”
แน่นอนว่าเล๋ยเล่ก็เข้าใจดีและพยักหน้ารับ
ล้อเล่นหรือไง เวลานี้เล๋ยเล่ไหนเลยจะกล้าไปไหนมั่วซั่ว เขารู้ว่าเขาต้องติดตามเฉินเกอถึงจะปลอดภัย
พูดจบ เฉินเกอก็พาเล๋ยเล่เดินเข้าประตูไป
ในตอนนี้ ภายนอกโลกแห่งความเป็นจริง
เจินจีและหยูซินติดตามท่านไป๋กลับมายังที่ที่เขาอาศัยอยู่ พวกเธอไม่รู้ว่าพวกเฉินเกอจะออกมาเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง
“ท่านไป๋ พวกเขาต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะออกมา”?”
เจินจีถามท่านไป๋
“ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่าด้านในสถานการณ์เป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือต้องพึ่งพาความสามารถของพวกเขาเองแล้ว!”
ท่านไป๋ยังให้คำตอบที่คลุมเครือซึ่งหมายความว่าเขาไม่ได้พูดเช่นเดียวกัน
เจินจียังคงกังวลเกี่ยวกับพวกเฉินเกอ เธอหวังแค่ว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย
ในเวลานี้ ไม่ไกลออกไปจากป่าก็มีเสียงคนดังขึ้น
เสียงของผู้คน ดึงดูดความสนใจของพวกเจินจีทันที
เมื่อมองจากระยะไกล ใบหน้าของเจินจีก็เปลี่ยนไปในทันที นั่นเพราะคนที่ปรากฏตัวไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนขององค์กรนักล่า
เจินจีไม่คาดคิดว่าพวกนักล่ายังมีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าสถานการณ์อีกด้านหนึ่งของสะพานไม้ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพวกเขามากนัก
อย่างไรก็ตามเจินจีรู้ดี รู้ว่าพวกเธอสองคนไม่อาจถูกพบโดยนักล่าได้ มิฉะนั้นสถานการณ์จะแย่ลง
“ท่านไป๋ คนพวกนั้นคือคนขององค์กรนักล่า! ”
เจินจีกล่าวกับท่านไป๋ทันที
“โอ้ คิดไม่ถึงว่าพวกมันยังคงไม่ยอมแพ้! ”
หลังจากท่านไป๋ได้ยิน ก็แค่นเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้เจินจีและหยูซินก็ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเธอรู้ว่าท่านไป๋ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
“พวกเธอรีบออกไปทางด้านหลัง และหาที่หลบซะ ฉันจะเผชิญหน้ากับพวกมันเอง หากไม่มีคำสั่งฉัน พวกเธออย่าได้ออกมา! ”
ในเวลานี้ได้ทั้งคู่แต่ฟังคำสั่งของท่านไป๋เท่านั้น
“อืม ขอบคุณท่านไป๋อย่างยิ่ง ท่านไป๋เองก็โปรดระวังตัวด้วย! ”
เจินจีกล่าวขอบคุณท่านไป๋
หลังจากนั้น เจินจีก็พาหยูซินหลบไปทางด้านหลัง
ทันทีที่พวกเธอก้าวหลบไปทางด้านหลัง ชายที่ตามมาก็พาพวกนักล่าเข้ามาในลานบ้านพอดี
ท่านไป๋เดินออกมาและยืนมองชายที่สวมเสื้อคลุม
“ท่านไป๋ ไม่เจอกันตั้งนาน! ”
ชายในชุดคลุมมองไปที่ท่านไป๋และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จ้าวหลิ่ง นายยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ?”
ท่านไป๋หยีตามองดูชายในชุดคลุมและเอ่ยขึ้น
ชายในชุดคลุมคนนั้นก็ชื่อจ้าวหลิ่ง มีฐานะเป็นหัวหน้าองค์กรนักล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านไป๋ จ้าวหลิ่งก็หัวเราะออกมาเสียงดังทันที
“ท่านไป๋ ฉันจ้าวหลิ่งจะต้องได้ป้ายเผ่าเส่ส้า มีเพียงสิ่งนั้นเท่านั้นที่จะทำให้ฉันปกครองโลกวิญญาณผีทั้งโลกและสั่งให้พวกมันทำงานแทนฉันได้”
จ้าวหลิ่งเอ่ยอย่างความภาคภูมิใจ
“โอ้ จ้าวหลิ่ง นายคิดเองเออเองเกินไปแล้ว นายไม่มีทางได้มันมา! ”
ท่านไป๋หัวเราะเยาะและเอ่ยดูถูก
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านไป๋ ดวงตาของจ้าวหลิ่งก็ฉายแววสังหารออกมา จากนั้นจึงเคลื่อนไปที่ตรงหน้าของท่านไป๋ทันที
จ้าวหลิ่งยื่นมือออกมาและสะบัดไปที่ท่านไป๋
เมื่อท่านไป๋เห็น เขาก็แค่ปัดมันออกด้วยมือเดียว
“ตูม! ”
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน
ในเวลานี้บริเวณโดยรอบทั้งหมดเริ่มมีการสั่นสะเทือนและเต็มไปด้วยลมฝุ่นที่รุนแรง เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองแข็งแกร่งเพียงใด
จากนั้นจ้าวหลิ่งและท่านไป๋ก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พวกเจินจีซึ่งซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลเมื่อได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกประหลาดอย่างยิ่ง
เจินจีไม่คาดคิดว่าท่านไป๋จะมีฝีมือเยี่ยมยอดขนาดนี้ ถึงขนาดที่สามารถต่อสู้กับจ้าวหลิ่งได้อย่างสูสี
ในตอนนั้นเอง เธอก็เห็นท่านไป๋พลาดถูกจ้าวหลิ่งจับได้
“ตูม! ”
จ้าวหลิ่งกระแทกฝ่ามือใส่ท่านไป๋ด้วยมือเดียว
“พรูด! ”
ทันใดนั้น ท่านไป๋ก็กระอักเลือดออกมา
“หึ คนแก่ อายุมากแล้วยังคิดจะเปรียบเทียบกับคนหนุ่มสาวอยู่อีก?”
จ้าวหลิ่งตะคอกด้วยความรังเกียจ
พูดจบ จ้าวหลิ่งก็เตะเข้าที่ท้องของท่านไป๋อีกครั้ง จนท่านไป๋กระเด็นออกไป
ท่านไป๋กระเด็นออกไปสิบเมตรและตกลงบนพื้น และไม่สามารถลุกขึ้นได้
คนอายุขนาดท่านไป๋ สามารถต่อกรกับจ้าวหลิ่งได้หลายกระบวนท่าก็นับว่าไม่เลวแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม จ้าวหลิ่งอายุยังน้อย ดังนั้นในแง่ของความเร็วเขายังคงแข็งแกร่งกว่าท่านไป๋มาก ดังนั้นเขาจึงสามารถเอาชนะท่านไป๋ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นฉากนี้ เจินจีก็รู้สึกโกรธ เธอต้องการออกไปช่วยท่านไป๋ แต่เธอก็รู้ว่า หากตนเองออกไป นอกจากจะทำให้ท่านไป๋เสียแรงเปล่าแล้ว ยังทำให้พวกตนทั้งหมดถูกเปิดเผยอีกด้วย
ดังนั้น พวกเธอสองคนจึงได้แต่ทำได้เพียงเฝ้าดูท่านไป๋ถูกทำร้ายสาหัสโดยจ้าวหลิ่ง
ตอนนั้นเองนักล่าในชุดสีม่วงคนหนึ่งก็เข้ามา
“หัวหน้า พวกเราพบรอยเท้าจำนวนมากในป่าอีกด้านหนึ่ง! ”
นักล่าในชุดม่วงเอ่ยรายงานจ้าวหลิ่ง
“หืม”?”
หลังจากได้ยิน จ้าวหลิ่งก็เข้าใจอะไรบางอย่างทันที
จ้าวหลิ่งเดินไปที่ข้างๆ ท่านไป๋ทันทีและดึงเขาขึ้นมา
“ตาแก่ บอกมา มีคนสี่คนมาหาแกใช่หรือไม่ แกเปิดทางให้พวกเขาใช่ไหม?”
จ้าวหลิ่งจ้องไปที่ท่านไป๋และเอ่ยถาม
“ถุย!”
ท่านไป๋ถ่มน้ำลายใส่จ้าวหลิ่ง
“ถึงตาย ฉันก็ไม่บอกแก! ”
ท่านไป๋เอ่ยพูดอย่างหยิ่งผยอง
“แม่งเอ้ย ตาแก่ อย่างนั้นแกก็จงตายไปซะเถอะ! ”
จ้าวหลิ่งโมโห จากนั้นจึงบีบคอของท่านไป๋ทันที
เมื่อเห็นท่านไป๋ถูกฆ่า เจินจีและหยูซินก็หลับตาแน่น น้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสอง
พวกเธอรู้ว่าท่านไป๋ตายเพื่อปกป้องพวกเธอ
“เอาศพของตาแกไปและทำตามขั้นตอน! ”
จ้าวหลิ่งหันไปมองไปรอบๆ แล้วบอกกับลูกน้อง
จากนั้น จ้าวหลิ่งและคนอื่นๆ ก็พาร่างของท่านไป๋ไปตามเส้นทางที่พบรอยเท้าสู่ค่ายกลหิน
เจินจีและหยูซินก็ตามพวกจ้าวหลิ่งไปด้านหลังตลอดทางอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวหลิ่งและคนอื่นๆ ก็มาถึงตำแหน่งของค่ายกลหิน
จ้าวหลิ่งรู้ดี ว่าที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ที่จะเปิดทางไปยังแดนจี๋หยิง
จ้าวหลิ่งเดินไปยังบนเสาหิน และมองดูรอยเลือดที่ตกค้างอยู่ เขาก็เข้าใจในทันที
เขารีบเดินกลับไปที่ร่างของท่านไป๋ และยกมือของท่านไป๋ขึ้นมาดูและพบคมมีดตามที่คาดไว้