ที่แท้….ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 946
บทที่ 946 ออกเดินทางอีกครั้ง
“ไม่ ครั้งนี้พวกคุณไม่ต้องไปหรอก ผมกับหวางหยุ่นไปก็พอแล้ว!”
เฉินเกอมองพวกเล๋ยเล่สามคนพลางกล่าวตอบ
“คุณพี่เฉิน……”
“เล๋ยเล่ ผมรู้ว่าคุณต้องการจะไปฝึกฝนเปิดโลกทัศน์ แต่ครั้งนี้ไปไม่ได้ การไปภูเขาตงอูครั้งนี้ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าจะมีอันตรายแบบไหนรอคอยอยู่ที่นั่น ดังนั้นผมไม่อยากให้คุณต้องไปเสี่ยง คุณรออยู่ตรงนี้ แล้วเรียนรู้วิธีการบรรลุถึงขั้นผู้ฝึกตนกับคุณหนูใหญ่เจินดีกว่า!”
เฉินเกอพูดอย่างจริงใจต่อเล๋ยเล่ด้วยความหวังดีต่อเล๋ยเล่
เพราะเล๋ยเล่ยังเป็นคนธรรมดาสามัญชนคนหนึ่ง เขากับตนยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก เฉินเกอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเล๋ยเล่จะเรียนรู้วิชาให้มากขึ้น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นเขาถึงจะสามารถช่วยเฉินเกอแก้ไขปัญหามากมายที่ผ่านเข้ามาได้ ซึ่งไม่ใช่ให้เขาเป็นฝ่ายคอยปกป้องเล๋ยเล่ตลอดไป
ได้ยินคำพูดของเฉินเกอ เล๋ยเล่ก็ไม่มีข้อแย้งประการใด ได้แต่รับฟังคำพูดของเฉินเกอแต่โดยดี นั่นก็คือรออยู่ที่สำนักงาน
“เจินจีหลังจากที่ผมออกเดินทางไปแล้ว สำนักงานทางนี้ก็ขอฝากให้คุณช่วยดูแลนะ มีเรื่องอะไรรอให้ผมกลับมาแล้วค่อยว่ากันนะ!”
จากนั้นเฉินเกอก็หันไปมองเจินจีที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลางพูดขึ้นมา
“อืม วางใจได้!”
เจินจีพยักหน้าตอบรับ
เจินจีไม่มีข้อแย้งใดๆ กับคำพูดของเฉินเกอ สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือการคอยสนับสนุนเฉินเกอ
“อืม โอเค พวกคุณเรียนต่อไปเถอะ เจินจีผมอยากคุยกับคุณตามลำพังสักครู่!”
เฉินเกอพูดเตือนพวกเล๋ยเล่สองคนเสร็จแล้ว จากนั้นก็สั่งเจินจีหนึ่งประโยค
ต่อมาเฉินเกอกับเจินจีก็เดินไปอีกด้านหนึ่ง
“เฉินเกอ คุณตัดสินใจจะร่วมมือกับบริษัทลี่ยุ่นจริงๆ แล้วเหรอ?ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่เลย!”
เจินจีมองเฉินเกอพลางถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง
เฉินเกอได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา แน่นอนเขารู้ว่าเจินจีกำลังเป็นห่วงตนอยู่
“วางใจได้ พวกบริษัทลี่ยุ่นทำอะไรผมไม่ได้หรอก เพียงแต่ครั้งนี้ผมไปเพื่อหาของสำคัญ คุณลืมสิ่งที่พวกเรากำลังตามหามาโดยตลอดหรือยัง?มันอาจจะปรากฏขึ้นที่ภูเขาตงอูก็เป็นได้ ดังนั้นผมจึงต้องไปพิสูจน์ให้รู้เรื่อง”
เฉินเกออธิบายและพูดให้เจินจีสบายใจ
“ฉันเข้าใจ แต่ว่าคุณต้องระวังให้ดีนะ บริษัทลี่ยุ่นคงไม่มีเป้าหมายธรรมดาอย่างนี้หรอก”
เจินจีพูดเตือนเฉินเกออย่างเป็นห่วงอีกหนึ่งประโยค
เฉินเกอยิ้ม จากนั้นก็ยื่นมือไปจับหน้าของเจินจีพลางพยักหน้า
“กริ๊ง…กริ๊ง…!”
เวลานี้มือถือของเฉินเกอก็ได้ดังขึ้น
เฉินเกอเอาออกมาดูก็พบว่าหวางหยุ่นเป็นคนโทรมา
ไม่ต้องเดาเฉินเกอก็รู้ว่าหวางหยุ่นโทรมาด้วยเหตุอันใด ต้องบอกว่าได้วางเวลาออกเดินทางไว้ได้
หลายวินาทีต่อมา เฉินเกอก็รับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล หวางหยุ่น!”
เฉินเกอกล่าวทักทายหวางหยุ่นหนึ่งประโยค
“เฉินเกอ หลินเทียนหยวนได้ส่งเวลาออกเดินทางมาให้ผมแล้ว คือพรุ่งนี้เก้าโมงเช้ารวมตัวกันที่ประตูทางเข้าทางด่วน!”
ได้ยินหวางหยุ่นบอกเวลาออกเดินทางกับที่ตั้งทางด่วนให้แก่เฉินเกอ
เฉินเกอฟังแล้วก็ตอบกลับไปทันที
“ได้ ผมรู้แล้ว พรุ่งนี้เก้าโมงเช้าผมจะไปให้ตรงตามเวลา!”
พูดจบเฉินเกอก็วางสายลง
“ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า เร็วจังเลย?”
ได้ยินเวลาที่เฉินเกอกล่าวออกมา เจินจีก็พูดอย่างตกตะลึง
“เห็นท่าพวกบริษัทลี่ยุ่นจะรอไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงได้รีบออกเดินขนาดนี้!”
แน่นอนว่าเฉินเกอดูเจตนารมณ์ที่แอบแฝงอยู่ได้ทันที
“สรุปก็คือตัวคุณเองระวังหน่อยก็พอ!”
เจินจีก็ไม่อยากพูดอะไรมาก ได้แต่เตือนและแนะนำด้วยประโยคเช่นนี้
พอตกดึก เฉินเกอก็ได้เตรียมสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากเสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยนสามสี่ชุดแล้ว ส่วนที่เหลือต่างก็เป็นอุปกรณ์ที่เฉินเกอจำเป็นต้องใช้
ไม่สามารถคาดคะเนภัยอันตรายในการเดินทางครั้งนี้ได้เลย ดังนั้นไม่มีใครทราบว่าต้องพบเจอกับอันตรายรูปแบบไหนบ้าง จึงได้แต่เตรียมอุปกรณ์ป้องกันภัยเพื่อหยุดยั้งภัยอันตรายต่างๆ ที่จะมาเยือน
คืนนี้เฉินเกอนอนแต่เช้า เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ เขาจึงต้องเตรียมพลังกำลังให้เพียบพร้อม
นอนหลับสนิทจนถึงเช้า เฉินเกอได้ตื่นนอนแต่เช้า
หลังจากที่กินอาหารเช้าอย่างง่ายๆ เสร็จแล้ว เฉินเกอก็แบกกระเป๋าสัมภาระออกเดินทาง โดยขับรถมุ่งหน้าไปยังทางเข้าประตูทางด่วน
เก้าโมงเช้าตรง เฉินเกอได้รวมตัวกับหวางหยุ่นและพวกหลินเทียนหยวนสำเร็จ
แต่ว่าเวลานี้ ท้ายรถของเฉินเกอก็มีเสียงเรียกส่งออกมา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทันใดนั้นพวกเฉินเกอก็ถูกเสียงนี้ดึงดูดความสนใจเอาไว้
เฉินเกอรีบเดินไปที่ท้ายรถแล้วเปิดมันออก จากนั้นจึงเห็นเล๋ยเล่ที่แบกกระเป๋าไว้หนึ่งอันกำลังนอนอยู่ตรงนั้น
“เล๋ยเล่?ทำไมคุณถึงได้อยู่ที่นี่ล่ะ?”
หลังจากที่เฉินเกอเห็นเล๋ยเล่ก็ต้องถามด้วยความตกตะลึงทันที เขาคิดไม่ถึงว่าเล๋ยเล่จะอยู่ที่ท้ายรถได้
“ฮาๆ คุณพี่เฉิน ผมอยากไปกับคุณจริงๆ ฉะนั้นคุณก็ให้ผมติดตามไปด้วยเถอะ!”
เล๋ยเล๋กล่าวเสนอกับเฉินเกออย่างยิ้มแย้ม
ทันใดนั้นเฉินเกอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“เหลวไหล ใครให้คุณตามผมมา กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”
สีหน้าของเฉินเกอกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที จากนั้นก็ตวาดใส่เล๋ยเล่หนึ่งประโยค
หลังจากที่ถูกเฉินเกอดุว่า ชั่วขณะนั้นเล๋ยเล่ไม่กล้าพูดจาอะไรเลย
“คุณพี่เฉิน ผมแค่อยากไปกับคุณ คุณพาผมไปด้วยเถอะ!”
พอผ่านไปสักพัก เล๋ยเล่จึงค่อยพูดกับเฉินเกอพลางมองด้วยสีหน้าวิงวอน
“เฮ้อ… พูดยังไงกับคุณดีนะ”
เฉินเกอก็ไม่มีทางเลือก เหล่ตามองเล๋ยเล่แวบหนึ่งพลางพูดขึ้นมา
“ได้ มาก็มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเลย!”
จากนั้นเฉินเกอจึงต้องเลือกตอบตกลง ยินยอมให้เล๋ยเล่ไปด้วยกัน
เล๋ยเล่ได้ยินก็ดีใจกันยกใหญ่
“เย้ ขอบคุณคุณพี่เฉินมาก!”
เล๋ยเล่กล่าวคำขอบคุณกับเฉินเกอ
“คุณเฉินครับ ท่านนี้คือ?”
บัดนี้หลินเทียนหยวนมองเฉินเกอพลางถามอย่างสงสัย
“ออท่านหลิน คนนี้คือลูกศิษย์ของผม ชื่อเล๋ยเล่!”
เฉินเกอก็รีบแนะนำให้หลินเทียนหยวนทราบทันที
ได้ยินการแนะนำตัวของเฉินเกอ หลินเทียนหยวนก็รู้สึกวางใจลง
“ในเมื่อเป็นลูกศิษย์ของคุณเฉิน ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ ศิษย์อาจารย์ไปด้วยกันคงต้องยิ่งแข็งแกร่งแน่นอน!”
หลินเทียนหยวนมองเฉินเกอพลางพูดอย่างยิ้มแย้ม
เฉินเกอได้ยินก็จ้องเขม็งเล๋ยเล่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พาเล๋ยเล่ไปนั่งในรถของหวางหยุ่น
มีรถออกเดินทางทั้งหมดสามคันด้วยกัน ส่วนรถของเฉินเกอได้จอดเก็บไว้ที่ลานจอดรถด้านข้าง
ระหว่างทางพวกเฉินเกอสามก็ไม่ได้สนทนากันแต่อย่างใด
เฉินเกอหลับตาแล้วนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับรถ ส่วนหวางหยุ่นเป็นผู้รับผิดชอบขับรถ และเล๋ยเล่นั่งอยู่ที่แถวหลังของรถ
“คุณพี่เฉิน ขอโทษจริงๆ ผมผิดไปแล้ว คุณอย่าโกรธผมเลยนะ!”
เห็นเฉินเกอไม่พูดไม่จาสักคำ ทำให้เล๋ยเล่รู้สึกกระวนกระวาย รีบกล่าวคำขอโทษสำนึกผิดกับเฉินเกอ
เฉินเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลางเอามือถือของตนออกมา
หลังจากที่เอามือถือออกมาแล้ว เฉินเกอก็โทรหาเจินจี
รับสายในเวลาที่รวดเร็ว
“ฮัลโหล เฉินเกอ ทำไมเหรอ?”
ไม่นานก็มีเสียงของเจินจีส่งมาตามสาย
เมื่อได้ยินเสียงของเจินจี ทำให้เล๋ยเล่เริ่มรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
“เจินจี ผมพาเล๋ยเล่ไปด้วย เลยโทรมาบอกคุณให้รู้!”