ท่านประธานที่รัก - บทที่ 254 สามปีก่อนที่จากไป ผมยังไม่ให้อภัย
ผ่านไปเนิ่นนาน
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา ในมือเฉินเฉียวจับแก้วไว้แน่น ทั้งๆที่เป็นน้ำร้อน แต่สีหน้าเธอกลับซีดขาว
เธอหรี่ตาลง เหมือนกำลังครุ่นคิด
ซังหลินจวินนั่งอยู่ข้างซ้ายเธอ ไม่ได้เร่งเธอ ตอนนี้เธอต้องการเวลาในการยอมรับสิ่งที่เขาพูด แล้วเขาก็จะให้เวลาเธอด้วย
ขอแค่เธอไม่หนี
ความจริง เฉินเฉียวไม่คิดจะหนีแต่แรกอยู่แล้ว ถึงแม้สามปีนี้เธอจะมีชีวิตที่ดี
ลูกก็เริ่มโต ทั้งแข็งแรงทั้งมีชีวิตชีวา ไม่ได้แย่กว่าเด็กที่ครอบครัวสมบูรณ์
แต่ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นแค่ตอนที่เหมิงเหมิงยังไม่ถึงวัยเรียน
พอเหมิงเหมิงไปเรียน ก็ต้องมีคนถามเธอแน่นอนว่าพ่อเป็นใคร ถึงตอนนั้น ก็จะมีผลกระทบกับเธอ
เฉินเฉียวไม่อยากนึกถึงเลย
แล้วกี่วันนี้ ตอนกลางคืนเธอก็เริ่มฝันถึงเรื่องแต่ก่อน แต่ว่าเมื่อก่อน แค่ตื่นก็จะลืม
แต่ครั้งนี้ กลับฝังลึกในหัว
หรือว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา
เฉินเฉียวใช้สายตาเหลือบมองซังหลินจวินข้างๆ
พูดตามจริง แต่ก่อนเธอจะชอบผู้ชายแบบนี้ เธอไม่แปลกใจเลย
เพราะยังไงตอนที่เธอเจอเขาครั้งแรก ก็หวั่นไหวเหมือนกัน
ถ้า อีกหน่อยได้ใช้ชีวิตกับเขา คงไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
แต่ว่า โยว่อีล่ะ
เป็นลูกของเธอเหมือนกันเหรอ?
เธอคิดไปด้วย จึงแอบเงยหน้ากวาดสายตาไปที่เขา
ตอนที่เฉินเฉียวแอบมองโยว่อี กลับเห็นว่าโยว่อีก็กำลังมองเธอเหมือนกัน
ทั้งสองสบตากัน หน้าเลยแดง จากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างยิ้มแก้เก้อ
พอรู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วแปลกๆ เลยหันหน้ากลับไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอซังหลิจวินเห็น จึงแอบดีใจ
คนที่เขาแคร์ที่สุด กลับมาหาเขาสักที นี่สำคัญกว่าเรื่องทั้งหมด
ถึงแม้ตอนนี้เฉินเฉียวยังจำเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังยืนอยู่ข้างเขาอย่างแข็งแรง
เขาไม่หวังอะไรมาก แค่อยากอยู่กับเธอแบบนี้
“คุณชายซัง ฉันดูผลตรวจดีเอ็นเอแล้ว แต่ฉันก็ไม่มีทางเชื่อคุณเพราะคำพูดฝ่ายเดียว คุณยังมีหลักฐานอะไรอีกไหม?” ถึงแม้รู้แล้วว่าแต่ก่อนพวกเขาสนิทสนมกันแค่ไหน แต่เฉินเฉียวในตอนนี้ที่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเธอไม่เชื่อง่ายๆหรอก
เธอขี้ระแวงอยู่แล้ว ก่อนที่จะรู้ว่าเขาแอบตรวจดีเอ็นเอลูกสาว เธอก็เคยไล่เขา นี่ก็ถือว่าดีกับเขามากแล้ว
เพราะฉะนั้นตอนนี้เธออยากรู้เรื่องของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่จากปากเขา
ถึงแม้เธอรู้สึกว่าเธอไม่มีค่าอะไรให้เขาโกหก แต่บนโลกนี้ มีการโกหกที่เพื่อโกหก
ซังหลินจวินไม่ได้โกรธที่เธอไม่เชื่อใจ แต่กลับรู้สึกภูมิใจ
ดูสิ นี่แหละผู้หญิงของเขา
ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ก็ยังคิดอย่างมีสติได้
“มี แต่ก่อนเธอมีเพื่อนรักคนหนึ่ง ถ้าเธออยากรู้ทุกอย่างในอดีต ฉันเรียกเธอมาได้ ถ้าเธอรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ คงต้องดีใจมากแน่นอน”
คนที่ซังหลินจวินพูดถึงก็คือเจียงฉยงฉยง
ถึงแม้กี่ปีนี้เจียงฉยงฉยงจะเกลียดเขา แต่ว่าถ้าเธอรู้ว่าเฉียวเฉียวยังมีชีวิตอยู่ ต้องดีใจมากแน่ๆ
แต่ว่า หน้าตาเฉียวเฉียวตอนนี้ เขาไม่แน่ใจว่าเจียงฉยงฉยงจะจำเธอได้หรือเปล่า
พอเฉินเฉียวได้ยินจึงปฏิเสธทันที “ถึงจะเป็นเพื่อน ก็ไปรบกวนเธอเพราะเรื่องของฉันไม่ได้ ช่างเถอะ คุณเอาเบอร์ติดต่อเธอมาให้ฉันก็พอ”
พอซังหลินจวินได้ยินแบบนี้ จึงส่งวีแชทเจียงฉยงฉยงให้เฉินเฉียว
แต่เขาก็แอบคิด ถ้ากลับไปแล้ว ต้องโทรไปหาอี้ฟานแล้วบอกสถานการณ์ที่นี่ของเขา จากนั้นก็ให้เขาบอกน้องสาว จะได้เตรียมใจไว้ด้วย
บางเรื่อง ก่อนที่ไม่รู้ ทั้งสองคนยังสามารถอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนได้ แต่หลังจากที่รู้ว่าแต่ก่อนพวกเขาใกล้ชิดกันมาก ถึงจะนั่งอยู่ด้วยกัน ก็จะรู้สึกอึดอัด
“ฉันขึ้นไปดูเหมิงเหมิงก่อน พวกคุณนั่งกันไปก่อนนะคะ” เฉินเฉียวทนไม่ได้กับบรรยากาศที่อึดอัดนี้ เลยหาข้ออ้างจะรีบไป
ไหวพริบซังหลินจวินดีอยู่แล้ว จึงรู้ว่าเฉินเฉียวแค่หาข้ออ้างใส่เขา เขาเลยลุกขึ้นด้วย “ฉันไปด้วยได้ไหม? เพราะยังไง ฉันก็เป็นพ่อของเธอ พลัดพรากจากกันมาหลายปี นี่เป็นรอยด่างในใจฉันแล้ว ก็เหมือนเธอกับโยว่อี ทำไมเราสองคนต้องมีสักคนที่พลาดช่วงเวลาการเติบโตของลูกด้วย สวรรค์กำลังเล่นตลกอะไรเนี่ย”
ซังหลินจวินพูดไปด้วย แล้วแสดงสีหน้าขมขื่นไปด้วย
พอเฉินเฉียวได้ยินที่เขาพูดแล้ว จึงรีบหันไปมองโยว่อี
เขากำลังถือโทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอะไร
เฉินเฉียวก็คิดว่าเธอยังไม่ได้อยู่กับโยว่อีดีๆเลย เพราะยังไงก็ลูกของเธอ เลยต้องสนิทไว้
เพราะฉะนั้น เธอไม่ได้ห้ามซังหลินจวิน ปล่อยให้เขาเดินขึ้นไป
ห้องรับแขกกลับมาเงียบเหมือนเดิม เฉินเฉียวมองโยว่อี สีหน้ามีความลังเล จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นความมุ่งมั่น
เธอขยับไปนั่งข้างๆโยว่อี ผ่านไปครู่หนึ่ง เห็นว่าเขาไม่สนใจเธอ เธอเลยหันไปหา จึงเห็นว่าเขาเล่นเกมส์อาณาจักรทั้งหกอยู่ เลยไม่รู้จะคุยกับเขายังไง
“นักฆ่าของเราไม่เก่ง เปลี่ยนตัวละครเถอะ”
“นี่ ยาของเรายังขาดสมุนไพรหลายชนิด ทำไม่สำเร็จหรอก”
“ม้าของเราไม่มีแรง รีบให้อาหารเถอะ”
หลังจากที่เฉินเฉียวพึมพำไปสักพัก โยว่อีจึงวางโทรศัพท์ แล้วเอ่ย “แม่ครับ ปล่อยผมไปเถอะครับ”
เฉินเฉียวที่ตั้งใจกับเกมส์อึ้งไปทันที แล้วค่อยๆดึงสติกลับมา
“เราเรียกว่าอะไรนะ?” เฉินเฉียวทำหน้าไม่อยากเชื่อ
เธออธิบายไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง เพราะอายุโยว่อีห่างกับเธอเยอะ เธอเลยไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูกของเธอด้วย
ถึงแม้ในใจเธอจะเอ็นดูเขามาก
ตอนนี้ที่ยินเขาเรียกว่าแม่ เลยรู้สึกแสบจมูก ตื้นตันใจ ความรู้สึกสับสนไปหมด
เหมือนว่าเธอรอมาเนิ่นนาน กว่าจะได้ยินคำพูดนี้
ในสายตาโยว่อีก็มีม่านน้ำตา แต่ยังไงเขาก็เป็นเด็กผู้ชาย ไม่ชอบร้องไห้ เพราะฉะนั้นเขาจึงรีบกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่แฝงไปด้วยความขรึม
เขาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ย “ผมเรียกว่าแม่ได้ แต่ต้องจำไว้ เรื่องสามปีก่อนที่ทิ้งผมไป ผมยังไม่ให้อภัย”
เขาไม่ลืมหรอก ตอนที่เธอเพิ่งหายตัวไป เขาเอาแต่รอ รอจนความคาดหวังเปลี่ยนไปเป็นความผิดหวัง
ยังไม่ได้อธิบายเรื่องทุกอย่างให้เคลียร์ เขาไม่ให้อภัยเธอง่ายๆหรอก