ท่านประธานที่รัก - บทที่ 372 ฝันร้าย
เธอที่ใส่สูทสีเข้มยืนอยู่นิ่งๆที่นั่น แต่กลับเหมือนเป็นดาวบนฟ้าที่เปล่งประกาย
แม้แต่เซิ่งยวี่ยังต้องแอบเหลือบมองเธอ
ในใจแอบคิด ไม่น่าล่ะทำไมซังหลินจวินถึงหลงเธอหัวปักหัวปำ ที่แท้มีแรงดึงดูดนี้นี่เอง
ซังหลินจวินเซนซิทิฟอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่กับลางสังหรณ์ที่เขารู้สึก แต่รวมไปถึงอารมณ์ของคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นตอนที่เซิ่งยวี่ใช้สายตาแปลกๆมองเฉินเฉียว เขาเลยรู้สึกได้
เขาเดินไปบังสายตาที่เซิ่งยวี่มองเฉินเฉียว
เห็นเฉียวเฉียวแต่งหน้าขนาดนี้ ซังหลินจวินเลยรู้ว่าเธอจะกลับไปทำงานที่C&J นึกถึงกี่วันนี้อารมณ์เฉียวเฉียวไม่ค่อยดี ถ้าไปบริษัทเปลี่ยนสภาพแวดล้อมหน่อยน่าจะดี เขาเลยไม่ได้ห้ามเธอ
เขาแค่หยิบผ้าพันคอที่เฉียวเฉียวทิ้งไว้ที่โซฟาตอนเช้า เดินไปหาเธอแล้วพันผ้าพันคอให้เธอ
ทำไปด้วยพูดไปด้วยว่า “เฉียวเฉียว ตอนนี้บริษัทพวกเธออวี้เฟยดูแลแทนอยู่ แต่ช่วงก่อนเขาลากลับบ้าน เลยจ้างคนดูแลชั่วคราวให้ C&J แต่ว่าตอนนี้เขากลับมาแล้ว เธอก็ไม่ต้องรีบหรอก ถ้าเจอเขาที่บริษัท ก็ให้เขาช่วยงานเธอไปก่อน” ข้างตัวซังหลินจวินจะมีหรือไม่มีอวี้เฟยก็ได้ เพราะที่หยวนเซิ่งมีคนมีความสามารถมากมาย เขาแค่ให้ความสำคัญกับอวี้เฟย เพราะเขานึกถึงเขาตลอด เขาเลยให้เขาจัดการเรื่องส่วนตัวด้วย
จะว่าไปแล้ว อาจจะเพราะโดนบังคับเรื่องแต่งงาน อวี้เฟยกลับบ้านครั้งนี้เลยไม่ได้อยู่นานมาก
เฉินเฉียวพยักหน้าบอกว่าเข้าใจ จากนั้นก็พยักหน้าให้เซิ่งยวี่อย่างมีมารยาท แล้วค่อยออกจากบ้าน
ตอนที่เฉินเฉียวกลับไปถึง C&J เพราะครั้งก่อนที่หกล้ม ตอนที่เฉินเฉียวเดินไปทางประตู เลยก้มมองอย่างระวัง พอเห็นว่าฝาท่อระบายน้ำปิดสนิทแล้วค่อยวางใจ
โดนครั้งเดียวจำไปจนตาย เฉินเฉียวคิดว่าอีกหน่อยเธอคงแก้ท่าทางที่หวาดระแวงหน้าบริษัทไม่ได้แล้ว
เพราะเพิ่งปีใหม่ นี่ยังไม่ถึงวันที่สิบห้า คนมาบริษัทเลยน้อย
ตอนที่เฉินเฉียวขึ้นไป ประตูไม่ได้ปิด เลยรู้เลยว่าใครอยู่ชั้นบน
รอขึ้นไปชั้นบนแล้ว เลยเห็นอวี้เฟยที่กำลังเคลียร์งานอยู่ที่โต๊ะหลีชิง
เพราะเขาก็เพิ่งกลับมาเหมือนกัน งานครั้งก่อนยังเคลียร์ไม่เสร็จก็กลับบ้านปีใหม่แล้ว ตอนนี้เลยต้องเร่งมือทำ
เฉินเฉียวเห็นท่าทางอวี้เฟยที่ตั้งใจเคลียร์งาน ในใจเลยชมว่าเขาขยันมาก เพราะเวลานี้คนที่ยังมาทำงานที่บริษัทมีน้อยมาก โดยเฉพาะเขาที่ไม่ใช่พนักงานที่นี่ด้วย แต่แค่มาช่วยงานเธอ รู้สึกขอบคุณมากจนไม่รู้จะพูดยังไง
วันนี้เฉินเฉียวใส่รองเท้าส้นเตี้ย ถึงเสียงรองเท้าจะไม่ดังเท่าส้นสูงสิบเซน แต่ยังไงก็เป็นรองเท้าส้นสูงเลยส่งเสียงอยู่บ้าง
พออวี้เฟยที่กำลังทำงานได้ยินเสียงจึงรีบเงยหน้า จากนั้นเลยเห็นคุณผู้หญิงกำลังยืนมองเขาอยู่หน้าประตู เขาเลยลุกขึ้นแล้วเอ่ยทักทาย “คุณผู้หญิง คุณมาแล้วเหรอครับ”
เฉินเฉียวรู้สึกว่าเธอมาไม่ถูกจังหวะจริงๆ เลยทำให้คนอื่นตกใจ จึงยิ้มเอ่ย “นายดูงานต่อเถอะ ฉันไปหาของที่ห้องทำงานก่อน”
“ให้ผมช่วยไหมครับ?” อวี้เฟยที่เคยชินแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ต้องหรอก ฉันจำได้ว่าอยู่ที่ไหน นายทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน” เฉินเฉียวรีบเดินเข้าห้องทำงาน
รอเธอนั่งลงที่นั่งทำงานแล้ว เฉินเฉียวค่อยรู้ตัวว่าเมื่อกี้เธอเหมือนพูดอะไรผิด
ที่เธอมาบริษัทก็เพื่อจะมาดูเอกสารที่กองอยู่ให้หมด ทำไมบอกว่ามาหาของล่ะ
แต่ถ้าตอนนี้กลับไปบอกเขา เฉินเฉียวก็รู้สึกแปลกๆ เธอเลยเลือกพักสายตาบนที่นั่ง
ตอนเช้าตื่นเช้าเกินไป แค่หลับตาลง เฉินเฉียวก็หลับเลย
รอตอนที่เฉินเฉียวตื่น ฟ้าก็มืดแล้ว
แต่ไม่นานเธอก็รู้สึกผิดปกติ
บนตัวเธอมีเสื้อคลุมสีดำคลุมอยู่
พอหยิบลงมา กลิ่นหอมที่คุ้นเคยเลยลอยมาแตะจมูก
พอเห็นประตูห้องทำงานเปิดออก เฉินเฉียวเลยถามอย่างประหลาดใจ “หลินจวิน นายมาได้ยังไงเนี่ย”
ซังหลินจวินนวดไหล่ที่เมื่อย เขาไปงีบในห้องพักครู่เดียว แต่เตียงเล็กนอนไม่สะดวก ทีแรกเขาจะอุ้มเฉินเฉียวไปนอน แต่คิดได้ว่าถ้ามีคนแตะเธอ เธอก็จะตื่น เลยไม่ได้ทำ
“มารับเธอกลับบ้าน จะมืดแล้ว เราออกไปกินข้าวกันเถอะ”
ซังหลินจวินไม่ให้เฉินเฉียวปฏิเสธแล้วจูงมือเธอเดินออกไป พอออกไป เฉินเฉียวเลยเห็นว่าอวี้เฟยไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว
ซังหลินจวินบอกจะกินข้าวข้างนอก ก็กินข้างนอกจริงๆ
เขาขับรถไปทางถนนฮวาซิงของเป่ยเฉิง
วิวที่ถนนฮวาซิงค่อนข้างสวย ที่สวยก็เพราะมีร้านอาหารร้านหนึ่งดังมาก
ตอนขึ้นไป เป็นลิฟต์เลื่อนแบบโค้ง
พอเห็นลิฟต์เลื่อนสูงขึ้น เลยเห็นวิวที่สวยงามผ่านกระจก
มือของเฉินเฉียวแปะที่กระจกแล้วพ่นลมใส่ จากนั้นก็เขียนตัวหนังสือสามตัว
“เขียนอะไรอยู่” ซังหลินจวินเอียงหน้ามาดู
ไม่คิดเลยว่า เฉินเฉียวจะใช้มือรีบเช็ดตัวหนังสือออกทันที
มองแววตาที่ใสสะอาดของซังหลินจวิน แล้วส่ายหน้า “เปล่า แค่วาดเล่นๆ”
ซังหลินจวินไม่เชื่อ แต่พอมองตัวหนังสือที่โดนลบไปแล้ว เลยไม่มีหลักฐาน
“สวยจัง” ไม่รู้ว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาหรือเปล่า หรือว่าเฉินเฉียวตะลึงกับวิวจริงๆเลยเอ่ย
“ถ้าเธอชอบ ครั้งหน้าฉันจะพามาอีก”
เฉินเฉียวรู้อยู่แล้วว่าซังหลินจวินต้องพูดแบบนี้ เลยรีบโบกมือ “อย่า อย่า อย่า ถึงฉันจะชอบร้านนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาบ่อยๆ ฉันได้ข่าวว่าร้านนี้รับลูกค้าแค่สิบโต๊ะต่อวัน ต้องมีคนมาจองเยอะแน่ๆ แล้วที่นี่ก็น่ากลัวด้วย สูงขนาดนี้ฉันไม่กล้ามองลงไปเลย”
นี่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะตอนที่เลื่อนขึ้นไปถึงชั้นบนสุด เกินร้อยเมตรแล้วมั้ง เพราะแบบนี้ ร้านอาหารนี้เลยขึ้นชื่อว่าเป็นฝันร้ายของโรคกลัวความสูง
ประตูกระจกเปิดออก เฉินเฉียวเลยรีบวิ่งออกไป แต่พอก้าวออกไป เฉินเฉียวก็ตกใจกับพื้นทันที
มีกระจกใสทุกๆหนึ่งก้าว ถึงยังไม่เหยียบโดน ก็ทำให้ความรู้สึกเหมือนจะตกลงไปแล้ว
ในใจเฉินเฉียวกลัว ขาที่ก้าวออกไปแล้วขยับไม่ได้เลย