ท่านประธานที่รัก - บทที่ 442 ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ตอนแรกปู้อี้เฉินไม่ค่อยอยากรับ เซิ่งยวี่จึงยิ้มเอ่ย “นายอย่ารักศักดิ์ศรีเกินไปแล้วไม่ไปหาเธอ นายต้องรู้นะ น้องสาวฉันคนนี้ อดทนกับคนอื่นได้ไม่นานเกินเดือนหรอก”
พอได้ยินแบบนี้ ปู้อี้เฉินเลยรับกระดาษไปทันที
ทีแรกอยากพูดว่าถ้าไปหาตรงๆแบบนี้เลยไม่ค่อยดีหรือเปล่า จากนั้นก็สลัดทิ้งทันที
เซิ่งยวี่ที่ล่อให้ไปหาเซิ่งโหรวไม่เห็นใจเลยว่าระหว่างพวกเขาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตอนนี้เขาสนใจมู่เก๋อมากกว่า
ที่ก่อนที่ให้ซูเยี่ยนไปดูแลน้องสาว เขาเคยสืบเรื่องซูเยี่ยน เพราะฉะนั้นเรื่องระหว่างเขากับมู่เก๋อ เขารู้มาไม่น้อย
แต่ลูกหมาป่าเลี้ยงหมาป่าให้โต จากนั้นก็โดนหมาป่าลอบกัด แต่ยังได้รับความซึ้งใจจากลูกหมาป่าอีก
ทำไมต้องเรียกซูเยี่ยนว่าลูกหมาป่าล่ะ
ก็เพราะตอนนั้นเขาให้เขาดูแลน้องสาวเขาดีๆ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะปกป้องจนน้องสาวขาดเขาไม่ได้
พอนึกถึงตอนนั้นเขาคิดผิดจริงๆ เขายังอยากย้อนกลับไป จากนั้นก็ตบหน้าตัวเองให้ตาย
ตอนนั้นที่มู่เก๋อไม่ตาย เขาถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นที่รู้เรื่องนี้
แต่แค่ตอนนั้น รู้พอดีว่าเขาคบกับน้องสาว เขาเลยปิดบังเรื่องนี้ไว้
พอคิดดูแล้ว ตอนนี้ซูเยี่ยนเกิดเรื่อง ก็เกี่ยวกับเขาจริง
เขาถอนหายใจ ช่างเถอะ ถือว่าชดใช้ให้แล้วกัน
ทีแรกซังหลินจวินรอเฉินเฉียวข้างนอก แต่เพราะช่วงนี้เกิดเรื่องเยอะ เขาไม่กล้าให้เฉียวเฉียวเดินคนเดียวอีก
พอเฉียวเฉียวอยู่ในโรงพยาบาลนานแล้ว ซังหลินจวินกำลังคิดว่าจะเข้าไปดู
แต่โทรศัพท์ที่เขาทิ้งอยู่ในรถกลับดัง
ทีแรกคิดว่าที่บริษัทมีปัญหาแล้วโทรหาเขา แต่พอเขาเอามาดูกลับเห็นว่าเป็นอี้ฟานที่หายหน้าหายตาไปนาน
จากนั้นจึงรับแล้วพูดแซว
“คนยุ่งอย่างแกมีเวลาโทรหาฉันได้ไง”
เจียงอี้ฟานที่อุ้มเด็กไว้ข้างหน้า แล้วถือโทรศัพท์สูงๆไม่ให้เด็กแย่งเอ่ย “อย่าพูดถึงเลย แกไม่รู้ว่าเลี้ยงเด็กยากแค่ไหน”
เขาที่พูดคำนี้ลืมไปเลยว่าซังหลินจวินเป็นพ่อของเด็กสองคน
แต่ก็จริง ซังหลินจวินไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง
สวรรค์ไม่ให้โอกาสเขาเลย
ตอนที่โยว่อียังเด็ก คุณหญิงซังเป็นคนเลี้ยง รอเขาพูดได้แล้ว จำหน้าคนได้ก็หลายขวบแล้ว เรื่องวุ่นวายแบบนั้นเลยไม่เกิดขึ้นกับเขา
แล้วเหมิงเหมิง เขายิ่งไม่มีโอกาส
เด็กอายุสี่ขวบมีความจำ คิดเป็นแล้ว เรื่องแบบนี้เลยยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้น
พอคิดแบบนี้ ซังหลินจวินไม่มีโอกาสเป็นพ่อลูกอ่อนเลย
ซังหลินจวินไม่อยากเถียงเขาประเด็นนี้ เพราะเขาไม่เคยเป็นพ่อลูกอ่อน แต่ตอนที่เขาพูดถึงเรื่องพวกนั้นกับเฉียวเฉียว ก็ได้ยินเธอเล่าเรื่องของเหมิงเหมิงตอนเด็ก
เด็กยังไม่ถึงขวบ วันๆเอาแต่ร้องไห้ จนทำให้เฉียวเฉียวที่นิสัยอ่อนโยนมีความคิดที่ไม่อยากได้เด็กอีก นี่ต้องดูแลยากแค่ไหน
เห็นซังหลินจวินไม่พูดอะไรเลย เจียงอี้ฟานที่กำลังสู้รบกับเด็กตะโกนเรียก แต่ลูกสาวตรงหน้ากลับใช้ดวงตาที่กลมโตจ้องเขาไว้
จากนั้นเขาเลยจุ๊บหน้าผากลูกสาว
พอได้ยินเสียงในโทรศัพท์ ซังหลินจวินจึงพยายามกลั้นขำไว้
แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกอะไรบางอย่าง
“พวกแกกลับประเทศแล้ว?”
เขาแน่ใจว่าเสียงเมื่อกี้ในโทรศัพท์เป็นเสียงประกาศของแอร์โฮสเตส
เจียงอี้ฟานก็ไม่ได้จะปิดบังเขา
“พออยู่ต่างประเทศไปสักพัก รู้สึกว่าในประเทศดีกว่า”
ตอนที่เขาพูดคำนี้ เขาเหลือบมองฉยงฉยงที่ไม่พูดอะไรเลยอย่างกังวล
“ในประเทศดีจริง” เขาไม่คิดว่าพวกเขาหลบไปอยู่ต่างประเทศมีดีอะไร ถึงตอนนั้นจะบอกว่าลดกระแสบันเทิง
แต่พอนึกถึงพ่อแม่ที่กลับไปในประเทศตั้งนานแล้ว เขาหมดคำพูดจริงๆ
“บ่ายวันนี้จะถึงหรือเปล่า? จะให้ฉันไปรับพวกแกไหม?”
นึกถึงเฉียวเฉียวถ้ารู้เรื่องนี้ เธอต้องดีใจมากแน่ๆ
“ได้ ถึงเวลาแกกับเฉินเฉียวมารับพวกเราด้วยกัน” เจียงอี้ฟานเอ่ย แล้วเหลือบมองตอนที่พูดคำว่าเฉินเฉียว ฉยงฉยงแสดงปฏิกิริยาสักที
ซังหลินจวินรู้สึกว่าเรื่องแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน พอวางสายแล้วค่อยมาคิด เขาค่อยสังเกตว่าเจียงอี้ฟานไม่ได้พูดอ้อมถึงฉยงฉยงเหมือนแต่ก่อน
หรือว่าระหว่างพวกเขามีปัญหากัน พอนึกถึงเรื่องบ้าๆที่เกิดช่วงนี้ ซังหลินจวินจึงรู้สึกปวดหัว
เมื่อเทียบกับการแข่งขันทางธุรกิจ เรื่องของความรู้สึกนี่สิที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย
“นายคิดอะไรอยู่” เธอที่ออกมานานแล้ว ยืนอยู่หน้าประตูตั้งนาน แต่คนในรถกลับยังเหม่ออยู่ เฉินเฉียวคิดว่าเขาลอยออกจากจักรวาลแล้ว
ซังหลินจวินที่ได้สติรีบปลดล็อกประตู เห็นเฉียวเฉียวเข้ามานั่งแล้วเขาค่อยออกรถ
“เฉียวเฉียว วันนี้ไปช่วยฉันที่หยวนเซิ่งหน่อยได้ไหม?” พอขับไปครู่หนึ่ง ซังหลินจวินค่อยเอ่ยถาม
“ได้สิ แต่นายจะให้ฉันช่วยอะไร แปลเอกสารเหรอ?” ตอนนี้เธอฟื้นคืนความจำแล้ว เอกสารที่ดูไม่เข้าใจ ตอนนี้เข้าใจหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเธอเลยคิดว่า หลินจวินน่าจะให้เธอช่วยเรื่องเอกสาร เหมือนแต่ก่อนที่แค่แปลเอกสาร
“ถึงบริษัทค่อยว่ากัน” ซังหลินจวินแค่หาข้ออ้าง เพราะตอนบ่ายเฉียวเฉียวก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าเฉียวเฉียวอยู่บริษัท เขาทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“นี่เหรองานที่นายจะให้ฉันช่วย” เฉินเฉียวเห็นแฟ้มงานไม่กี่อัน รู้สึกว่าที่หลินจวินเรียกเธอมา ก็แค่อยากแอบมองเธอ
“เธอดูดีๆสิ นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้เธอวงให้ฉัน ทั้งในเป่ยเฉิงกับที่อื่นด้วย”
อยู่ๆซังหลินจวินก็นึกได้ แผนที่ที่ปู้อี้เฉินเคยทำให้เขา เขาไม่ได้ตอบตกลง
ตอนนี้ให้เฉียวเฉียวมาทำดีกว่า
เพราะเฉียวเฉียวจำได้แล้ว เธอโตในเป่ยเฉิงตั้งแต่เด็ก ต้องรู้สถานที่เยอะแน่ๆ
“นายแน่ใจเหรอว่าจะให้ฉันเลือก” ปากเฉินเฉียวกระตุก แต่ก่อนเธอไม่ค่อยออกไปเที่ยว นอกจากเรียนก็คือเรียน เรื่องสถานที่ ฉยงฉยงสิเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ถ้าตอนนี้ฉยงฉยงอยู่ด้วยก็คงดี