ท่านประธานที่รัก - บทที่ 486 เป็นห่วงเพราะเขา
โทรศัพท์บนโต๊ะเอาแต่สั่น ซังอี๋กุมท้องไว้ พยายามหักห้ามความปวดแล้วรับสาย อีกฝั่งของโทรศัพท์มีเสียงที่อ่อนโยนของชู่จี้ดังออกมา “ที่รัก คิดถึงฉันไหม?”
ซังอี๋พูดได้ไม่เป็นประโยค เธอพูดติดๆขัดๆ “ฉัน……อื้อ คิดถึงนาย นาย……เป็นยังไงบ้าง?”
สังเกตถึงความผิดปกติของซังอี๋ ใจชู่จี้ก็เริ่มเกร็ง “ที่เธอเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า? รู้สึกไม่สบายร่างกายหรือเปล่า?”
ไม่คิดเลยว่าตัวเองพยายามปิดบังแล้ว แต่เขายังรู้ “อื้อ ปวดกระเพาะนิดหน่อย” ซังอี๋รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองอ่อนแอมาก เธอไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ แต่ความปวดนั้นทำให้เธอไม่สนอะไรมากแล้ว
ชู่จี้ส่งสายตาบอกว่าเลิกการประชุม จากนั้นก็เดินออกจากห้องประชุม “ตอนนี้ขยับได้หรือเปล่า?”
แค่ขยับแขนซังอี๋ยังรู้สึกเสียแรงเลย แต่เธอไม่อยากให้ชู่จี้เป็นห่วง โดยเฉพาะตอนนี้เขากำลังยุ่งเรื่องงานอยู่ เธอเลยปากแข็งพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันแค่พักผ่อนก็หายแล้ว นายยุ่งเถอะ ถ้ายังไม่หายดีเดี๋ยวฉันกินยาเอง”
“อื้อ งั้นพรุ่งนี้เธอพักอยู่บ้านดีๆ กินข้าวตรงเวลาด้วย”
พอวางสายแล้ว ชู่จี้จึงโทรสั่งให้อวี้เฟิงพาซังอี๋ไปโรงพยาบาล เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นปากแข็งอยู่แล้ว ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมา เขาต้องดูแลความรู้สึกเธอ แล้วก็ต้องดูแลร่างกายเขาด้วย
มีคนมาเคาะประตู
เหงื่อไหลเต็มหน้าผากซังอี๋ เธอพยายามยันตัวเองขึ้น “เข้ามาค่ะ”
“คุณหนูซังครับ” ถึงอวี้เฟิงจะมาดูซังอี๋ตามคำสั่งบอส แต่บอสย้ำว่าห้ามให้เธอรู้ตัว เขาเลยต้องแกล้งทำเป็นบังเอิญ
“คุณหนูซัง คุณดูไม่ค่อยดีเลย ให้ผมส่งคุณไปโรงพยาบาลไหมครับ?” อวี้เฟิงถามอย่างมีมารยาท
ซังอี๋ส่ายหน้า “ไม่ต้อง รบกวนเอาน้ำร้อนมาให้ฉันหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” เธอยังมีงานค้างเยอะแยะ เธอไม่อยากทิ้งงาน
อวี้เฟิงลำบากใจ สีหน้าเธอซีดขาว หน้าผากมีแต่เหงื่อ แต่ดูก็รู้ว่าปวดแค่ไหน ถ้าตัวเองไม่ทำตามคำสั่งบอสคงต้องโดนไล่ออกแน่ๆ
“คุณหนูซังครับ คุณเป็นแบบนี้ประสิทธิภาพการงานไม่สูง ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะแย่นะครับ เอาอย่างนี้ ผมส่งคุณไปโรงพยาบาล ถ้าถึงเวลาต้องนอนโรงพยาบาลหรืออะไร ผมค่อยเอางานไปให้คุณ คุณว่าไงครับ?” อวี้เฟิงคิดไอเดียนี้ได้
สมเหตุสมผล ซังอี๋ก็ไม่อยากอดทนอีก เลยให้อวี้เฟิงพาไปตรวจที่โรงพยาบาล
“คนไข้ลำไส้อ่อนแอครับ บวกกับรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา เลยทำให้กระเพาะลำไส้ทำงานหนัก ช่วงนี้ควรจะทานอะไรเบาๆ พักผ่อนเยอะๆครับ เดี๋ยวผมจะจัดยาให้ ต้องรับประทานให้ตรงเวลา แบบนี้จะดีขึ้นครับ” คุณหมอเขียนชื่อยาวต่างๆแล้วยื่นให้อวี้เฟิง
“ดูแลแฟนดีๆนะครับ อย่าให้คนไข้เหนื่อยเกินไป” คุณหมอพูดย้ำอีกคำ
อวี้เฟิงเกือบจะกระอักเลือด “หมอครับ เขาไม่ใช่แฟนผม……”
ถ้าบอสได้ยิน ตัวเองคงไม่รอดแน่
คุณหมอผู้หญิงที่หน้าตาสวยดูดีคนนี้ แล้วมองหนุ่มร่างสูง “ก็จริง คนไข้ผู้หญิงดูดีมาก” ถึงพ่อหนุ่มก็ไม่เลว แต่ดูไม่ค่อยเหมาะกับเธอ
ซังอี๋พูดขอบคุณ แล้วกินโจ๊กที่อวี้เฟิงซื้อมาให้ ความปวดท้องก็หายไปไม่น้อย
พอทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวี้เฟิงเลยโทรรายงาน “บอสครับ คุณหนูซังทานยาแล้วรับ ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว”
ชู่จี้ตอบเสียงเบา ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นห่วง “กี่วันนี้นายก็ไปซื้อโจ๊กให้เธอ ให้เธอกินข้าวให้ตรงเวลา”
พอสั่งละเอียดแล้ว ชู่จี้ค่อยวางสาย
อยู่ๆก็รู้สึกว่าอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวมาก อาจจะเพราะอยู่คนเดียวนานเกินไปจนชิน แต่พอเจอซังอี๋ เขากลับอยากได้ความอบอุ่น
เรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้เขายังทำใจไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ยังไม่รู้ว่าซังอี๋ต้องการอะไร ถึงข้อมูลในมือจะครบ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดปกติ
อย่างเช่น สืบเรื่องพ่อแม่เธอไม่ได้ เหมือนเป็นสองคนที่ไม่มีตัวตน
เขาไม่รู้ว่าซังอี๋โดนรีสซื้อใจหรือเปล่า หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น เขาสืบไปได้ครึ่งทางก็โดนคนอื่นมาขวาง แล้วคนที่มาขัดไม่ใช่รีส แต่เป็นคนที่ลึกลับ ดูเหมือนว่าอำนาจจะไม่น้อยกว่าตัวเอง
แล้วซังอี๋รู้สึกคนแบบนั้นได้ยังไง? แล้วคนพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไร แล้วเป็นใคร?
ชู่จี้รู้สึกไม่สบายใจ ยังดีที่คนคนนั้นไม่ได้ทำอะไรไม่ดี
พลุสาดลงมาบนหลังคาจนมีแต่กลิ่นควัน เขาพิงอยู่บนโซฟา ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับมืดมัวจนไม่เห็นอะไรแล้ว
“ผู้บริหารชู่ อารมณ์ดีจังเลยนะครับ” ชู่จี้เพิ่งก้าวออกจากห้องในโรงแรม ก็เห็นรีสเดินออกมาจากห้องตรงข้ามพอดี แล้วพูดทักทายอย่างเย็นชา
ชู่จี้ไม่สนใจเขา เดินผ่านเข้าไปที่ลิฟต์
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้บริหารชู่จะไปพบคุณจ้าวเหรอครับ? คุณคงไม่ต้องไปแล้วครับ คุณจ้าวเลือกที่จะร่วมงานกับผมแล้ว” น้ำเสียงมีความเยาะเย้ย
ชู่จี้จึงหันไปหา มุมปากเลิกขึ้น “เร็วจริงๆ แต่ผมไม่ได้สนใจธุรกิจของคุณจ้าว ครั้งนี้เป็นของตระกูลซัง ซังหลินจวิน”
ซังหลินจวิน คนมีชื่อเสียงในวงการ เขาเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน จนตอนนี้ก็ยังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้”
เขาได้ข่าวตั้งนานแล้ว อยากเจอตัวจริงด้วย แต่วงการบันเทิงไม่ค่อยเกี่ยวกับซังหลินจวิน เขาเลยไม่มีโอกาสร่วมงาน ครั้งนี้จะตีตลาดร้านอาหาร ก็ต้องรู้สึกคนมีอำนาจหน่อย นี่เป็นผลดีกับธุรกิจตัวเอง
สีหน้ารีสตึง “ซังหลินจวิน?”
เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าคือใคร แต่ระหว่างเขากับซังหลินจวินไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย
รีสส่งสายตาไปให้ ผู้ช่วยก็เข้าใจทันที
“ผู้บริหารชู่ นี่เป็นการ์ดเชิญ ถึงเวลาหวังว่าคุณจะมานะครับ”
ชู่จี้ไม่ได้ยื่นมือไปรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาแค่มองกวาดการ์ดเชิญ “ผมไม่รู้สึกว่า ผมกับคุณชายรีสไม่ได้สนิทกันจนต้องมาเชิญผมด้วยตัวเอง”
พูดชัดเจนแล้วว่าทั้งสองไม่ได้สนิทกัน
รีสหน้าแตกเล็กน้อย ตัวเองมาเชิญเขาแต่กลับโดนปฏิเสธ?
“ถ้าผู้บริหารชู่ไม่ไป งั้นก็ช่างเถอะครับ เพราะยังไงคุณก็ต้องมาอยู่แล้ว” รีสพูดเสียงเยือกเย็น แล้วหันเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์
ชู่จี้พูดอะไรไม่เคยไว้หน้าอยู่แล้ว ยิ่งกับคนอย่างรีส เขายิ่งไม่ต้องใส่หน้ากาก
เขาเดินไปอย่างเป็นจังหวะ พอก้าวเข้าไปในห้องวีไอพี จึงเห็นผู้ชายที่คนอื่นสรรเสริญว่าเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจ