ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1004 ผู้ทำลายตระกูล
เมื่อคนของสำนักต้าเหยี่ยนเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงสายตาของกู้ไป๋อีพวกเขาก็อดที่จะตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้
ศิษย์พี่หลิวผู้นั้นกล่าวว่า “เจ้า เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้นะ ข้าเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักของสำนักต้าเหยี่ยน ในร่างของข้ามีวิญญาณแยกร่างของท่านอาจารย์อยู่ หากเจ้าฆ่าข้า สำนักต้าเหยี่ยนของข้า…”
เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์ อีกฝ่ายมีหอปี้ลั่วคอยหนุนหลังอยู่ แม้แต่คนของตำหนักตงจี๋ก็กล้าลงมือฆ่า กับพวกเขาแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ทันทีที่มือของมู่เฉียนซีขยับขึ้น เข็มยานับไม่ถ้วนก็ได้พุ่งออกไป
ตุบ ตุบ ตุบ! ร่างของคนเหล่านั้นล้มลงไปกับพื้นทีละคน ๆ
เซียวโม่กล่าวถามว่า “เฉียนซี นี่เจ้าจะฆ่าพวกมันแล้วจริง ๆ เหรอ”
“ไม่ได้ฆ่า ก็แค่ทำให้พวกมันลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปก็เท่านั้น ข้าเองก็ไม่อยากจะตั้งตนเป็นศัตรูกับกองกำลังระดับสองหรอก”
เพียงแต่ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางไม่อยากให้แพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นจะนำพาความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้นมาได้
สายตาของมู่เฉียนซีจับจ้องไปที่เซียวโม่ เซียวโม่เห็นเช่นนี้ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น เขากล่าว “ขะ ข้า ข้าไม่จำเป็นต้องทำให้เจ้าสิ้นเปลืองพิษหรอก! ข้าจะรูดซิบปากให้สนิทไม่พูดออกไปแน่นอน”
เย่เฉินกล่าว “ดูท่าทางเจ้าหมอนี่แล้วก็คงจะเป็นพวกที่ห้ามปรามปากตัวเองไว้ไม่ได้ นายท่าน ทางที่ดีควรจะฆ่าปิดปากเขาเสีย”
เซียวโม่หันไปมองเย่เฉินและกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า “เจ้าใจดำมากยิ่งนัก! นึกไม่ถึงเลยว่าจะอยากให้ข้าตาย”
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็จริง ข้าก็ไม่อยากจะเปลืองยาของข้าหรอก”
ถึงแม้จะรู้จักกันแค่ไม่กี่วัน แต่นางกับเย่เฉินก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของเจ้าหมอนี่แล้วไม่มีทางทรยศสหายอย่างแน่นอน
เซียวโม่ยิ้มพลางกล่าว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าน่ะรักข้า”
ทางด้านของจื่อโยวและพวกเดินทางจากไปอย่างรวดเร็วไม่มีเวลาแม้แต่จะทำลายศพ มู่เฉียนซีโยนขวดยาให้เซียวโม่กับเย่เฉินพลางกล่าว “จัดการให้เรียบร้อย!”
ถึงอย่างไรผู้ที่ตายนั้นก็คือคนของตำหนักตงจี๋กองกำลังระดับสามที่แข็งแกร่งของแดนตะวันออก ต้องจัดการให้เรียบร้อย
หลังจากที่จัดการศพยอดฝีมือเหล่านี้ของตำหนักตงจี๋เสร็จแล้ว มู่เฉียนซีก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายมากมายที่ใกล้เข้ามา
นางกล่าว “มีคนมา พวกเรารีบจัดการและถอยก่อน”
หลังที่จากมู่เฉียนซีและพวกถอยไปได้ไม่นานนัก ก็มีคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ทันทีที่พวกเขามาถึงก็ได้เห็นกับสนามรบที่มีสภาพพังพินาศ อีกทั้งยังมีหลุมขนาดใหญ่ฝีมือซิงเฉินหลุมนั้นอีก แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ในเมื่อครู่นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
“ตรงนั้นยังมีคนที่รอดอยู่ เข้าไปถามกันเถอะ!”
ผลลัพธ์ที่ได้คือพวกเขาไม่รู้เรื่องอันใดทั้งสิ้น มีคนคนหนึ่งกล่าวว่า “พลังอำนาจที่น่าเกรงขามเมื่อครู่อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าแน่นอน เกรงว่าจะเป็นการลงมือของตำหนักตงจี๋”
“ครั้งนี้ตำหนักตงจี๋ส่งยอดฝีมือมามากมาย หม้อเทพที่พวกเราปรารถนาจะได้มานั้น มันค่อนข้างอันตรายแล้ว!”
“ต่อให้ไม่ได้มันมา ได้มองอยู่ไกล ๆ ก็พอแล้ว ไหน ๆ ก็มาแล้ว เราจะกลับไปเช่นนี้ไม่ได้”
“……”
เมื่อค่ายกลของหุบเขาตระกูลเย่เปราะบางขึ้นเรื่อย ๆ ยอดฝีมือที่เดินทางมาที่แห่งนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเช่นกัน
มู่เฉียนซีและพวกไม่สามารถดักปล้นกลางทางได้แล้ว ทำได้เพียงแค่ฝึกฝนอยู่ภายในป่าเขา
ตูม! ส่วนลึกของหุบเขาตระกูลเย่ในตอนนี้ได้เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขึ้น
เปรี้ยง!
ค่ายกลของหุบเขาตระกูลเย่นั้นได้เปิดออกโดยสมบูรณ์แล้วในตอนนี้
จากนั้นกองกำลังแต่ละกองกำลังต่างก็มุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขาตระกูลเย่
ถึงแม้ตระกูลเย่จะถูกทำลายมานานนับหลายปีแล้ว แต่ทันทีที่เข้าไปในหุบเขาตระกูลเย่ พวกเขาก็ได้กลิ่นหอมของยาอันเข้มข้นโชยมาตามสายลม
ที่แห่งนี้ดอกไม้บานสะพรั่งกลิ่นหอมหวน เสียงนกร้องขับขานไพเราะราวกับเป็นสรวงสวรรค์ที่อยู่บนดิน
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลของหุบเขาตระกูลเย่นั้นได้เปิดออกแล้ว แต่มู่เฉียนซีและพวกกลับเดินทางเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่งแต่อย่างใด
เซียวโม่ในตอนนี้กระวนกระวายใจขึ้นแล้ว “เหตุใดพวกเราถึงไม่รีบเดินทางล่ะ หากหม้อเทพไท่อีถูกคนอื่นแย่งชิงไปจะทำเช่นไร แม้แต่ได้เห็นสักครั้งพวกเราก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็น”
มู่เฉียนซีกล่าว “รีบไปตอนนี้ก็ถูกพวกกองกำลังอื่นล้อมโจมตีพอดี เจ้าก็แย่งไปไม่ได้อยู่ดี ไม่สู้ไปช้าหน่อยจะดีกว่า”
เย่เฉินรู้ดีว่าหม้อเทพนิรันดร์อยู่กับนายท่านแล้ว สำหรับหม้อเทพไท่อี นายท่านไม่ค่อยให้ความสนใจแน่นอน
เซียวโม่กล่าว “ที่เจ้าพูดมันก็มีเหตุผลนะ แต่นั่นเป็นถึงหม้อเทพไท่อีเลยนะ!”
แค่คิดว่าจะได้เห็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ยังจะมีผู้ใดสงบได้เท่านางอีกหรือไม่ ช่างแปลกเสียจริง!
เมื่อกลับมาถึงบ้านเดิมของตัวเอง หุบเขาตระกูลเย่ยังคงงดงามอยู่เฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าที่แห่งนี้ไม่มีญาติสนิทหลงเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว
และในขณะที่เย่เฉินกำลังรู้สึกสับสนนั้น ทันใดนั้นเองก็ได้เห็นแสงสีขาวแสงหนึ่งพุ่งออกมาจากใต้ดิน และหม้อยาหยกขาวบริสุทธิ์ที่มีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
คนของกองกำลังแต่ละกองกำลังที่เข้ามาในหุบเขาตระกูลเย่เห็นเช่นนี้ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้น “นี่มัน…นี่มันหม้อเทพไท่อี!”
“นึกไม่ถึงว่าหม้อเทพไท่อีจะเล็กเช่นนี้!”
ในตอนนี้เองเสียงอันโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้น “พวกเจ้าน่ะสิเล็ก พวกเจ้าทุกคนนั่นแหละที่เล็ก ในฐานะที่เป็นบุรุษผู้หนึ่ง สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือมีคนบอกว่าข้าเล็กนี่แหละ!”
“พวกเจ้ารนหาที่ตาย!”
แสงสว่างสีขาวนั้นพุ่งเข้าหาพวกเขา โจมตีพวกเขาเหล่านี้อย่างรวดเร็วราวประหนึ่งสายฟ้าที่พาดผ่านลงสู่พื้นดิน
“ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก! มันคือหม้อเทพไท่อี!”
“มีกลไกวิญญาณ เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพจริง!”
“……”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้น เจ้าหมอนี่สมกับเป็นวัตถุเลียนแบบของนิรันดร์จริง ๆ เลย
นางไม่รู้จักเจ้านี่ และไม่อยากจะรู้จักกับเจ้านี่ด้วย
มู่เฉียนซีกล่าว “เซียวโม่ เจ้าชมเชยหม้อเทพไท่อีของเจ้าอยู่ที่นี่เถอะ! ข้ากับเย่เฉินยังมีเรื่องสำคัญต้องทำ”
หม้อเทพไท่อีผู้ใดอยากจะแย่งชิงก็แย่งชิงไป เพราะนางรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีผู้ใดคว้าไปครอบครองได้ คิดว่าวัตถุเลียนแบบของหม้อเทพนิรันดร์จะยอมจำนนได้ง่ายดายเช่นนั้นเลยอย่างนั้นเหรอ
เย่เฉินกล่าว “นายท่าน ตามข้ามาเถอะ!”
“เฮ้อ! ถูกทิ้งอีกแล้ว” เซียวโม่รู้ว่ามู่เฉียนซีกับเย่เฉินมีเรื่องใหญ่จะต้องจัดการ ดังนั้นจึงไม่ได้ตามไป
เมื่อไม่มีสหายอยู่ข้าง ๆ การมองดูหม้อเทพไท่อีของเขาก็รู้สึกน่าเบื่อยิ่งนัก
เย่เฉินนำทางมู่เฉียนซีเข้าไปในตระกูลเย่อย่างชำนาญเส้นทาง จากนั้นก็มาถึงเขตต้องห้ามของตระกูลเย่
คลังเก็บของล้ำค่าของตระกูลเย่นั้นอยู่ในห้องลับในเขตต้องห้ามนี้
ในขณะที่เย่เฉินเดินเข้าไป จู่ ๆ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “ช้าก่อน ที่นี่มีคนอยู่”
ขวับ ขวับ ขวับ!
ร่างหลายร่างตกลงมา และได้ห้อมล้อมมู่เฉียนซีและพวกเอาไว้
พลังที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกเขานั้นล้วนแต่เป็นขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับสูงทั้งสิ้น ดูท่ารับมือได้ยากมาก
ผู้ที่เข้ามาในหุบเขานี้ล้วนแต่มีเป้าหมายที่จะแย่งชิงหม้อเทพไท่อีกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดเข้ามาในนี้ อีกอย่างคนเหล่านั้นก็ไม่รู้จักเส้นทางในนี้ด้วย
ตกลงคนเหล่านี้โผล่มาจากที่ใดกันแน่ หรือว่า…
แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของเย่เฉิน!
พวกเขาจ้องมองเย่เฉินกับมู่เฉียนซีอย่างพิจารณา และกล่าวว่า “พวกข้ารอมานานหลายปีแล้ว ในที่สุดค่ายกลบ้านั้นก็เปิดสักที แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเดินเข้ามาที่นี่ได้”
“ผู้ที่รู้เขตต้องห้ามของตระกูลเย่ เกรงว่าจะมีเพียงแค่คนของตระกูลเท่านั้น ปลาที่เล็ดลอดหนีออกไปจากอวนได้ในตอนนั้น นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะว่ายมาหาถึงที่เช่นนี้ นี่นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีที่สุดของพวกเราในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้”
เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกเจ้าเป็นพวกคนเหล่านั้นที่ทำลายตระกูลเย่ของข้า นี่พวกเจ้ายังไม่ตายอีกเหรอ?”
“เมื่อค่ายกลนั้นได้ปรากฏขึ้น พวกข้าก็ออกไปไม่ได้ แต่ที่นี่มีของกินของใช้ ด้วยพลังความแข็งแกร่งของพวกข้าแล้ว อยู่ที่นี่ไม่มีทางตายแน่นอน แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลเย่ของเจ้าจะใช้ค่ายกลกักขังพวกข้าไว้นานถึงเพียงนี้ พวกข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด…”
ตูม! ในขณะที่กล่าวนั้น พวกเขาก็ลงมือแล้ว