ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1050 อ่อนแอและช้าเกินไป
มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “อันดับหนึ่ง ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน”
“เย่อหยิ่ง อวดดี!”
“จะคว้าอันดับหนึ่งงั้นเรอะ ฝันไปเถอะ! เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นสวะไร้ประโยชน์อย่างนั้นเหรอ?”
“ข้าสาบานว่าจะทำให้เจ้าไม่ผ่านด่านที่สามนี้ได้อย่างราบรื่นแน่นอน”
“ข้าก็สาบาน…”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กับข่งชัวยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจ นี่พวกเขายังไม่ทันได้จุดไฟแต่อย่างใดเลยนะ!
นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะเย่อหยิ่งจนทำให้ทุกคนไม่พอใจเช่นนี้ได้ การทดสอบในด่านที่สามนี้ อย่าหวังเลยว่าเขาจะผ่านไปได้ดี
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “เปิดโบราณสถานแห่งเพลิงได้”
“ขอรับ!”
เหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้าปกป้องโบราณสถานก็ได้เปิดโบราณสถานแห่งเพลิงนี้ขึ้น
หลังจากที่โบราณสถานแห่งเพลิงเปิดขึ้น ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “การทดสอบด่านที่สามของตำหนักตงจี๋เริ่มขึ้น ณ บัดนี้ ทุกคนเข้าไปรับการทดสอบด่านที่สามในโบราณสถานแห่งเพลิงนี้เถอะ!”
“ขอรับ!” เสียงตอบรับดังขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เดินตามไป๋เหยียนเอ๋อร์เข้าไป
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าว “ทุกคน ทำให้เต็มที่ล่ะ”
กล่าวจบ พวกเขาที่เป็นกลุ่มเฝ้าดูการทดสอบก็ได้อันตรธานหายไป ในเวลาต่อมาก็เป็นเวลาอิสระสำหรับผู้ทดสอบ
ขวับ ขวับ ขวับ! ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปตามหาศิลาวิญญาณเพลิง
มู่เฉียนซีกลับมองไปรอบ ๆ โบราณสถานแห่งเพลิงอย่างพิจารณาด้วยท่วงท่าที่สบาย ๆ บางครั้งเปลวไฟที่อยู่บนพื้นดินก็แผดเผาขึ้น และบางครั้งเปลวไฟที่อยู่กลางอากาศก็ลุกโชนขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ทดสอบได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าที่จะสนใจมัน
ร่างในชุดขาวเคลื่อนไหวออกไป มู่เฉียนซีก็เริ่มหาศิลาวิญญาณเพลิงแล้ว
ในตอนนี้เอง เสี่ยวหงที่อยู่ในมิติก็กล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “ช่างเป็นพลังธาตุอัคคีที่เข้มข้นยิ่งนัก! อีกทั้งยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย พลังธาตุอัคคีในนี้สามารถช่วยฟื้นฟูการฝึกฝนของข้าได้”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเสี่ยวหงรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เหตุใดเจ้าแมวขี้เกียจที่เพียงแค่กิน ๆ ๆ แล้วก็กินก็สามารถเพิ่มพลังความแข็งแกร่งได้ ส่วนมันกลับทำได้เพียงแค่ต้องฝึกฝนอย่างหนักหนาสาหัสเท่านั้น
บัดนี้ ในที่สุดมันก็ได้พบกับสิ่งที่สามารถทำให้มันเพิ่มพลังความแข็งแกร่งอย่างเกียจคร้านได้แล้ว
พลังจิตของมู่เฉียนซีแผ่ซ่านออกไป ไป๋เหยียนเอ๋อร์กับข่งชัวไม่ได้อยู่บริเวณนี้
ดูท่าพวกเขาไม่ได้อยากจะลงมือกับนางในทันทีที่เข้ามา แต่…
ในเมื่อคนพวกนั้นไม่อยู่ มู่เฉียนซีจึงได้ปล่อยให้เสี่ยวหงออกมา
นางกล่าว “เสี่ยวหง เจ้าบอกว่าพลังธาตุอัคคีในที่แห่งนี้สามารถช่วยเพิ่มพลังในการฝึกฝนของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้ารับรู้ได้ถึงศิลาวิญญาณเพลิงหรือไม่”
เสี่ยวหงยกขาหน้าสองขาขึ้นและกล่าวว่า “นายท่าน ทางด้านนั้น ทางด้านนั้นมีพลังธาตุอัคคีเข้มข้นมาก”
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวไปก็ได้เห็นบนพื้นดินด้านนั้นที่เสี่ยวหงว่ามีศิลาวิญญาณเพลิงสีแดงฉานขนาดเท่ากำมือก้อนหนึ่งตั้งอยู่
ภายในก้อนศิลานั้นมีเปลวไฟอันเจิดจรัสลุกโชนอยู่ ช่างเป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงและสวยงามยิ่งนัก!
เสี่ยวหงอดใจรอไม่ไหวกระโดดออกไปจากอ้อมแขนของมู่เฉียนซี จากนั้นก็กอดศิลาวิญญาณเพลิงก้อนนั้นและกลืนกินเข้าไป
พลังวิญญาณธาตุอัคคีอันบริสุทธิ์ได้ชโลมชุ่มชื้นไปทั่วทั้งร่างกาย เสี่ยวหงรู้สึกสดชื่นมาก
มันกล่าวออกมาอย่างสุขใจว่า “สบายยิ่งนัก สบายจริง ๆ เลย!”
เมื่อมองไปที่ศิลาวิญญาณเพลิงที่ถูกกัดแทะนั้น มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นอย่างเศร้าใจว่า “เสี่ยวหง นี่เป็นของที่เจ้านายของเจ้าจะเอาไปเข้าร่วมทดสอบนะ นึกไม่ถึงว่าเจ้า…เจ้าจะกัดกินมันไปเช่นนี้…”
ค่อก ค่อก ค่อก! ถูกมู่เฉียนซีขู่ขวัญเช่นนี้แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวหงจะกลืนศิลาวิญญาณเพลิงนี้ลงไปทั้งก้อน
จากนั้นมันก็ทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูอย่างไร้เดียงสามองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “นายท่าน ขะ ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ข้าไม่ทันระวังก็กลืนมันลงไปทั้งก้อนแล้ว”
มู่เฉียนซีจับมันเอาไว้ในมือ และกล่าวว่า “เสี่ยวหง ในเมื่อเจ้ารับรู้ได้ถึงศิลาวิญญาณเพลิง เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็ไปหาศิลาวิญญาณเพลิงเสีย หากการทดสอบยังไม่จบเจ้าห้ามกินเด็ดขาด รอให้การทดสอบของข้าสิ้นสุดลงก่อน เจ้าอยากจะกินเท่าไหร่ข้าก็จะให้เจ้ากิน”
“ทำได้เพียงแค่มอง แต่กินไม่ได้ ช่างเจ็บปวดใจเหลือเกิน!” เสี่ยวหงบ่นพึมพำด้วยความเศร้าใจ
ทว่า มีเสี่ยวหงคอยช่วยเหลือเช่นนี้ มู่เฉียนซีก็ได้รับมาไม่น้อยเลย
“นายท่าน ตรงนั้นมีของดี! มีศิลาวิญญาณเพลิงคุณภาพดีที่สุด” เสี่ยวหงชี้ไปที่ถ้ำด้านหน้าพลางกล่าวด้วยความตื่นเต้น
มู่เฉียนซีกล่าว “ไปดูกันเถอะ!”
เมื่อนางมาถึงปากถ้ำ ก็มีเปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งออกมาจากในถ้ำ
มู่เฉียนซีตะโกนอย่างเย็นชาว่า “โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
ตูม! เปลวไฟนี้ได้ปะทะกับโล่วิญญาณน้ำแข็งและตีกลับทันที
เสี่ยวหงกล่าว “ก็แค่เปลวไฟเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาขวางทางนายท่านของข้าได้!”
เสี่ยวหงได้ปล่อยเปลวไฟในร่างของตนเองออกมา ผลลัพธ์ก็คือหยุดยั้งเปลวไฟภายในนี้เอาไว้ได้ทั้งหมด
เสี่ยวหงกล่าวอย่างมั่นใจว่า “นายท่านวางใจเถอะ! เปลวไฟเหล่านี้ไม่กล้าทำร้ายนายท่านอีกแล้ว”
ส่วนลึกภายในถ้ำนี้มีศิลาวิญญาณเพลิงกองใหญ่อยู่จริง ๆ
ดวงตาของเสี่ยวหงเปล่งประกายขึ้น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! หลังจากการทดสอบจบสิ้น ข้าก็มีของกินแล้ว ข้าจะกินจนแข็งแกร่งกว่าเจ้าแมวโง่นั่นให้ได้”
“นายท่าน รีบเก็บโกยเร็วเข้า!”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้น เหตุใดสัตว์พันธสัญญาของนางถึงได้มีพัฒนาการทางการกินจนจะเป็นผู้ตะกละไปแล้วเช่นนี้
หลังจากที่มู่เฉียนซีเก็บโกยศิลาเหล่านี้เสร็จ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีคนเข้ามาในถ้ำนี้แล้ว
ผู้ที่เข้ามานี้เป็นชายหนุ่มผู้แปลกหน้าห้าหกคน พวกเขามองไปที่มู่เฉียนซีด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก
“เจ้าหนุ่ม นึกไม่ถึงเลยว่าพวกข้าจะเจอเจ้าที่นี่”
“พวกข้าได้บอกเอาไว้แล้วว่าหากเจอเจ้า พวกข้าจะทำการทดสอบเจ้าจนเจ้าเข้าร่วมการทดสอบนี้ไม่ได้เลย”
“ที่นี่มีพลังธาตุอัคคีที่เข้มข้นมาก เกรงว่าเจ้าคงจะได้ศิลาวิญญาณเพลิงไปไม่น้อยแล้วล่ะสิ!”
จอมภูตพลังธาตุอัคคีเข้ามาในโบราณสถานแห่งเพลิง นั่นเท่ากับมีแต่ได้กับได้
พวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังธาตุอัคคีและตามหาศิลาวิญญาณเพลิงได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่าการรับรู้นั้นจะไม่ได้ดีเท่ากับเสี่ยวหง แต่ก็สามารถทำให้พวกเขาได้คะแนนที่ดีในการทดสอบครั้งนี้ได้
พวกเขาเหล่านี้อาศัยการรับรู้ของพลังธาตุอัคคีจึงตามหาที่นี่เจอ
เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ มู่เฉียนซีกลับนิ่งสงบมาก นางกล่าว “ทำไมล่ะ พวกเจ้าคิดจะแย่งศิลาวิญญาณเพลิงของข้าอย่างนั้นเหรอ?”
“ศิลาวิญญาณเพลิงในที่แห่งนี้เดิมทีก็เป็นของพวกข้า ส่วนเจ้า จะต้องชดใช้ให้พวกข้ากับการที่เจ้าได้ทำตัวเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้”
“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะให้ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปเชิญเจ้ามาด้วยตัวเอง เจ้ามีสิทธิ์อันใด?”
ตูม! พวกคนกลุ่มนี้ได้ลงมือกับมู่เฉียนซีแล้ว
ตูม ปัง ปัง!
ทว่า การโจมตีของพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เปล่าประโยชน์ ไม่โดนตัวมู่เฉียนซีเลยสักนิด ทุกการโจมตีล้วนแต่กระเด็นไปถูกผนังถ้ำบริเวณรอบ ๆ เท่านั้น
กระบี่อันเย็นยะเยือกเล่มหนึ่งถูกชักออกมา มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เงาจันทราหนาวเหน็บ!”
การโจมตีของพวกเขาช้ามาก ส่วนกระบี่ของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วมาก
ตูม! หนึ่งคนในกลุ่มนี้ถูกกระบี่ของมู่เฉียนซีโจมตีจนร่างกระเด็นลอยออกไป
“ลอบโจมตี ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก” พวกเขากล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจ
ในคนกลุ่มนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า อ่อนแอที่สุดคือขั้นจักพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ด ซึ่งพลังเหนือกว่ามู่เฉียนซีสองระดับ
“จักรพรรดิแห่งภูตระดับห้า!”
“ไม่ใช่จอมภูตพลังธาตุ!”
“มีเพียงแค่ทักษะกระบี่เท่านั้น ไม่ได้เจ๋งอะไรสักนิด!”
หลังจากที่พวกเขาได้เห็นแน่ชัดแล้วว่าพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีอยู่ในระดับใด พวกเขาก็ยิ่งประเมินนางต่ำไปกว่าเดิม
“พวกเราลงมือพร้อมกัน ครั้งนี้จะให้มันหลบอีกไม่ได้เด็ดขาด”
ร่างในชุดขาวได้เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในวงล้อมของพวกเขา มู่เฉียนซียังคงหลบหลีกการโจมตีของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “การโจมตีของพวกเจ้าช่างเชื่องช้าเสียจริง!”
“พลังของพวกเจ้าก็อ่อนแอเกินไปแล้ว!”
“ช่างน่าเบื่อจริง ๆ เลย!”
คำพูดนางเพิ่งจะจบลง แต่ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็มองเห็นร่างของมู่เฉียนซีไม่ชัดแล้ว ในขณะเดียวกันนั้นกระบี่หลายเล่มก็กวัดแกว่งออกไปพร้อมกัน
จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนร่างกาย และรอยเลือดปรากฏขึ้นบนร่างของพวกเขา
ปัง ตุบ ตุบ! เสียงร่างล้มลงกระแทกพื้นดังขึ้น คนเหล่านี้ต่างก็ล้มลงไปกับพื้น
พวกเขาสูดลมหายใจเย็นเข้าปอดเฮือกหนึ่ง “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีทักษะกระบี่ที่เก่งกาจเช่นนี้อยู่”
“ไม่ใช่จอมภูตพลังธาตุก็สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้อย่างสบายเช่นนี้ได้ด้วยเหรอ?”