ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1067 ใครคือป้ายร้าน
มู่เฉียนซีลุกยืนขึ้นแล้วกล่าว “เจ้าตะกละจวินเก็บกวาดเอาเองเถอะ!”
“โม่จิ่น พวกเราไปคุยกันที่ห้องหนังสือ!”
“ขอรับ!”
หลังจากเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว โม่จิ่นก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงขรึม “นายท่าน เป็นเพราะหอหมอปีศาจของเราพัฒนาขึ้นในแดนตะวันออก ตอนนี้ตำหนักตงจี๋ได้เพ่งเล็งพวกเราเอาเสียแล้ว พวกเขาได้เริ่มลงมือกดยั้งพวกเราแล้ว”
มังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจที่จะสู้กับงูดินได้ อีกทั้งหอหมอปีศาจของพวกเขาก็เหมือนจะยังไม่ใช่มังกรที่แข็งแกร่ง แน่นอนว่าจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวางกั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วอย่างไรต่อ!”
“ตำหนักตงจี๋ได้บอกมาแล้วว่าพวกเขาไม่เชื่อในพลังความสามารถของพวกเรา ถ้าหากพวกเราสามารถส่งนักปรุงยาผู้หนึ่งไปที่ตำหนักตงจี๋เพื่อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นถึงพลังความสามารถได้ เช่นนั้นแล้วจากนี้ไปพวกเขาจะไม่มาสร้างปัญหาให้แก่พวกเราอีก อย่างไรเสียพวกเขาก็หวังว่าจะได้เห็นหมู่บุปผาทั้งร้อยชนิดเติบโตขึ้นด้วยกันอย่างเนืองแน่น!”
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ที่แท้ก็คิดที่จะผูกมัดนักปรุงยาจากหอหมอปีศาจของพวกเรานี่เอง!”
ตำหนักตงจี๋มิได้ทำกิจการโอสถจึงไม่มีการขัดผลประโยชน์ทางกิจการ หากแต่เพราะคุณภาพและชนิดของยาในหอหมอปีศาจนั้นยากที่จะทำให้พวกเขาจินตนาการได้
ดังนั้นพวกเขาจึงสนใจในหอหมอปีศาจและสนใจในตัวนักปรุงยาของหอหมอปีศาจ
มู่เฉียนซีถามขึ้น “พวกเขาอยากที่จะพิสูจน์อย่างไรเล่า?”
โม่จิ่นกล่าว “ตำหนักโอสถของตำหนักตงจี๋จะจัดการทดสอบเพื่อรับนักปรุงยาจากทั้งสี่ทิศ อายุของผู้เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้จะต้องไม่เกินสามสิบปี ก่อนที่นายท่านจะมานี่ โดยประมาณแล้วก็มีแต่เพียงจวินโม่ซีที่เป็นตัวแทนของพวกเราหอหมอปีศาจ”
อายุยังน้อย มีการอบรบฝึกฝนที่ดี และสามารถที่จะควบคุมได้ง่ายดาย
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “โม่จิ่น ได้ยินมาว่าในตำหนักตงจี๋นั้นมีการเก็บสะสมสมุนไพรวิญญาณเอาไว้ คงเป็นที่ที่มากที่สุดในแดนตะวันออกแล้วกระมัง!”
โม่จิ่นตอบ “ที่ลือกันก็เป็นเช่นนั้น คงจะมิผิดไป”
“ผู้เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้เลือกข้าเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว”
ปรมาจารย์จางเชิญนางไปอย่างไม่เกรงใจ แน่นอนว่านางจะไม่ไปเป็นแน่!
แต่ว่าตอนนี้เมื่อเห็นแก่สมุนไพรวิญญาณในตำหนักโอสถ ไปสักครั้งหนึ่งก็มิใช่ว่าจะไม่ได้!
การทดสอบในครั้งนี้ให้พวกเขาได้รู้จักถึงพลังความสามารถของนักปรุงยาแห่งหอหมอปีศาจเสียหน่อยเถิด!
มู่เฉียนซีกล่าว “แล้วก็ในตอนนี้ข้ามีชื่อว่ามู่หรงเฉียนเยี่ย อย่าได้ผิดพลาดล่ะ!”
โม่จิ่นกล่าว “นายท่าน ท่านไปก่อความวุ่นวายเช่นนั้นในตำหนักตงจี๋ ไฉนเลยข้าจะไม่รู้จักชื่อมู่หรงเฉียนเยี่ยนี่เล่า!”
เขากล่าวราวกับพบเห็นคุ้นเคยเป็นอย่างดี “เข้าร่วมการทดสอบเพื่อเข้าตำหนักตงจี๋ก็ได้ถูกยกให้ไม่ต้องทดสอบในสองรอบแรก และได้ที่หนึ่งโดยมีคะแนนมากเป็นร้อยเท่าในการทดสอบรอบที่สาม”
“หลังจากการทดสอบแล้วยังถูกใส่ร้ายอย่างร้ายแรงอีกทั้งยังทำให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บส่วนข่งชัวนั้นบาดเจ็บสาหัส และสุดท้ายก็ได้นำหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าตำหนักก็ไม่อาจที่จะปล่อยไว้ได้เพราะท่านหาญกล้ามากเกินไป”
ถึงแม้ว่าหอหมอปีศาจยังไม่ได้เป็นใหญ่ในแดนตะวันออก แต่ทว่าระบบเรื่องการข่าวนั้นกลับไม่เลวเลย!
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าถ้าหากข้าเข้าไปในตำหนักตงจี๋ด้วยอีกสถานะตัวตนหนึ่ง เจ้าไป๋อู๋ห่ายนั่นจะตื่นเต้นหรือไม่?”
โม่จิ่นกล่าว “เขาจะรู้สึกว่าหน้าของตนเองนั้นโดนตบเข้าอย่างรุนแรงด้วยฝ่ามือนับหมื่น!”
นั่นคืออะไร? กลับกล้าที่จะมาขับไล่ผู้เป็นนายของพวกเขา สมน้ำหน้า!
โม่จิ่นกล่าวต่อ “นายท่านจะไม่เป็นอะไรจริงหรือ? ข้ากลัวว่าท่านจะมีอันตราย”
แม้ว่าตำหนักตงจี๋จะเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสาม แต่ในที่แห่งนั้นก็เป็นที่ที่น้ำนิ่งไหลลึก มันมิใช่สถานที่ที่ปลอดภัยนัก
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้ามีสิ่งที่ไป๋อู๋ห่ายหวาดกลัว เขาไม่กล้าที่จะลงมือกับข้าทั้งในและนอกตำหนักตงจี๋ ดังนั้นแล้วข้าไปจึงดีที่สุด”
โม่จิ่นกล่าว “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”
หลังจากพูดคุยกับโม่จิ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วจวินโม่ซีก็ได้เข้ามา “สาวน้อย เจ้าจะไปจริง ๆ รึ! หรือไม่ก็ให้ข้าไปเถอะ ข้าเป็นถึงหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจ ข้าเป็นป้ายร้านของหอหมอปีศาจเชียว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าฝันหวานให้มันน้อยหน่อย! ป้ายร้านแห่งหอหมอปีศาจนั้นคือข้าต่างหาก แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่ไป!”
“ข้าสงสัยใคร่รู้ในสำนักนิกายระดับสามนี่! ให้ข้าไป?”
มู่เฉียนซีกล่าว “วิธีการปรุงยาของเจ้าเป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากตระกูลจวินซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลนักปรุงยาใหญ่ เมื่อถึงการทดสอบนั้นจะมีพวกเจ้าเฒ่าตั้งมากมาย เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมองไม่ออกเหรอ?”
“รอจนเมื่อถูกมองออกแล้ว พวกคู่แค้นเข้ามาหาเจ้าถึงที่แล้วจะทำเช่นไร? เจ้าคิดที่จะปล่อยให้ท้องต้องหิวอดอีกหรือ?”
คำว่า ‘ท้องหิวอด’ สามคำนี้ทำให้จวินโม่ซีเงียบปากไปอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นจุดตายของเขา
หลังจากผ่านวันเวลาแห่งการกินดื่มอย่างเต็มที่มาแล้ว จะให้เขากลับไปตากลมกินข้าวหรือนอนกลางที่เปิดโล่งกินยาเม็ดต่อไป นั่นช่างเป็นภัยต่อชีวิตเสียจริง!
“แต่ถ้าหากว่าไม่ถูกจับได้เข้าเล่า! สายตาของพวกเขาไม่ดีขนาดนั้นหรอก…”
มู่เฉียนซีกล่าว “นี่จะพนันไม่ได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าถ้าหากสถานะตัวตนของสามตระกูลนักปรุงยาใหญ่ถูกเปิดเผยขึ้นมานั่นก็หมายความว่ามันมีความเกี่ยวพันกับหม้อเทพนิรันดร์ ตำหนักเป่ยหานนั้นต้องการหม้อเทพนิรันดร์มาเป็นเวลานานมากแล้ว”
สามตระกูลนักปรุงยาใหญ่ถูกฆ่าล้างไปก็ด้วยเพราะเหตุนี้ หากเจ้าตะกละจวินทำให้เรื่องมันโอ่อ่าใหญ่โต โดยประมาณแล้วแม้แต่ชีวิตก็คงไม่มีเหลือรอด
เมื่อนึกถึงสำนักขวางโซ่ว สีหน้าของมู่เฉียนซีก็ยิ่งมืดครึ้มลงไป
“ตำหนักเป่ยหานนั้นยากที่จะรับมือได้! จงระวังตัวด้วย!
ยากนักที่มู่เฉียนซีจะเคร่งครัดเช่นนี้ จวินโม่ซีจึงทำได้แต่ยอมเชื่อฟัง
เขากล่าว “ข้ารู้แล้ว! เจ้าเองก็จะต้องระวังตัว!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ในเมื่อข้าตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำอะไร เช่นนั้นแล้วข้าก็จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวข้าเองอย่างแน่นอน เจ้าจงวางใจไปสักร้อยดวงเถอะ!”
ตำหนักตงจี๋และเฟิงอวิ๋นซิวเพ่งเล็งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เอาไว้ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์อยู่ในมือของนาง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แต่มันก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นลมขนาดใหญ่ได้
ตำหนักเป่ยหานเองก็ต้องการหม้อเทพนิรันดร์ ซึ่งมันก็อยู่ในมือของนางอีกเช่นกัน
หากทันทีที่พลาดเผลอออกไปเพียงนิดเดียว นางเกรงว่าคงจะต้องกลายเป็นศัตรูกับสามกองกำลังใหญ่ขั้นสำนักนิกายระดับสาม เช่นนี้แล้วจะไม่ระวังได้หรือ?
มู่เฉียนซีได้ย้ายจากที่โรงเตี๊ยมไปยังหอหมอปีศาจ อีกทั้งเดินย้ายเข้าไปอย่างสบายใจ
ทันทีที่เฟิงอวิ๋นซิวได้ยินข่าวนี้เขาก็ตะลึงงัน “เฉียนเยี่ยไปที่หอหมอปีศาจ เขารู้จักกับหอหมอปีศาจหรือ?”
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเฉียนเยี่ยนั้นมีนิสัยที่คล้ายคลึงกับเด็กสาวคนนั้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตอนที่เขาโกรธ
ความรู้สึกนั้นช่างคุ้นเคยเป็นอย่างมาก!
เฟิงอวิ๋นซิวส่ายหัว เฉียนเยี่ยเป็นผู้ชาย เขาคิดมากไปเสียแล้ว!
ทางไป๋อู๋ห่ายเองก็ได้รับข่าวเช่นกัน “มู่หรงเฉียนเยี่ยไปที่หอหมอปีศาจ หอหมอปีศาจนี่มีความสัมพันธ์อะไรกันกับเขา? มิน่าล่ะ หอหมอปีศาจถึงได้เติบโตขึ้นรวดเร็วเช่นนั้น มันเกี่ยวข้องกับกู้ไป๋อี?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้! กู้ไป๋อีจะมาสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากการฝึกฝนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!”
อย่างไรเสียมู่เฉียนซีก็อยู่ในหอหมอปีศาจแล้ว นาน ๆ ทีจะทำอาหารมื้อใหญ่เพื่อเป็นรางวัลให้แก่จวินโม่ซีสักครั้ง
ส่วนเรื่องการสมัครเข้าร่วมการทดสอบเพื่อเข้าไปในตำหนักโอสถของนักปรุงยานั้น โม่จิ่นได้จัดการให้มู่เฉียนซีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นของตำหนักโอสถเห็นรายชื่อนั้นเข้าก็ตะลึงงัน “หอหมอปีศาจมิได้ให้หัวหน้าหอของพวกเขาออกโรง?”
“แล้วก็มิได้ให้หัวหน้านักปรุงยาจวินมาด้วย แต่กลับเป็นเด็กน้อยหัวขนผู้หนึ่ง?”
“มู่หรงเฉียนเยี่ย ชื่อนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก!”
“คงไม่ใช่มู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นหรอกกระมัง!”
“มู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นั้นที่วางยาพิษธิดาศักดิ์สิทธิ์”
“ปรมาจารย์จางศึกษาอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังแก้พิษที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องเข้าไปไม่ได้และนั่นทำให้เขาโกรธแทบตาย!”
“ใบหน้าที่สดชื่นราวบุปผาและงดงามดั่งหยกนั้นกลับกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ช่างเป็นบาปกรรมเสียจริงเชียว!”
มู่เฉียนซียังไม่ทันที่จะเข้าไปร่วมการทดสอบ แต่เมื่อคนเหล่านี้มองเห็นชื่อของนางก็ได้เริ่มกล่าวถกเถียงกันขึ้นมาไม่หยุด