ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1242 ออกหน้าแทนสาวงาม
นายน้อยเจ็ดมองไปยังสาวงามชุดขาวผู้นี้แล้วกล่าว “เจ้าเป็นใคร?”
ใจของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์แทบจะแหลกสลาย เดิมทีนึกว่าได้เจอกับนายน้อยเจ็ดเพียงครั้งเดียวอีกทั้งบวกกับความงดงามที่มิอาจหาผู้ใดเปรียบด้วยได้ในแคว้นแล้ว จะต้องสามารถทำให้นายน้อยเจ็ดจำตนขึ้นมาได้ในทันใดสิถึงจะถูก แต่นึกไม่ถึงเลยว่า…เขาจะมิได้เอานางใส่ไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กล่าว “นายน้อยเจ็ด ข้าคืออวิ๋นเหลียนเอ๋อร์แห่งวังอวิ๋นซิง! ปีก่อนหน้าท่านเป็นตัวแทนของตำหนักเป่ยหานไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำของตำหนักอวิ๋นซิงของพวกเรา บิดาของพวกเรายังเคยกล่าวกับท่านเจ้าตำหนักเอาไว้อีกว่าจะให้ข้า…”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์กล่าววาจาติด ๆ ขัด ๆ ใบหน้าของนางนั้นแดงระเรื่อไปทั่วทั้งใบหน้าแล้ว ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก!
วังอวิ๋นซิง กองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสอง สำหรับตำหนักเป่ยหานแล้วนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน
หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามอยู่บ้าง หากรับมาเป็นผู้หญิงของเขาเสีย บางทีก็อาจจะสามารถช่วยเขาในการแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยแห่งตำหนักได้อยู่บ้าง
แล้วหากย้อนมองดูสตรีผู้นั้น เขาไม่เคยที่จะพบเจอมาก่อน อีกทั้งยังมิได้นับว่าเป็นคนของกองกำลังใหญ่ใด ๆ ทั้งสิ้น
พลังความสามารถก็ยังอ่อนแอเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่เหนือกว่าอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ แต่ก็ไม่มีราคาเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีเองก็ได้รู้จากปากของสตรีรูปงามผู้น่าสงสารผู้นั้นแล้วว่าคนผู้นี้คือนายน้อยเจ็ดของที่ใด ก็นายน้อยเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานอย่างไรเล่า!
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าตำหนักเป่ยหานผู้นั้นจะให้กำเนิดเก่งยิ่งนัก คนผู้นี้จัดอยู่ตำแหน่งที่เจ็ด อย่างน้อยก็คงให้กำเนิดมาเจ็ดคนแล้วกระมัง!
ฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นฝ่ายบุกเข้ามา นางเองก็ยังไม่อยากที่จะเผชิญกับตำหนักเป่ยหานอย่างซึ่ง ๆ หน้าโดยที่มีพื้นฐานไม่มั่นคงหลังจากผ่านศึกใหญ่มา
แต่ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามเข้ามาหาเรื่อง มู่เฉียนซีก็มิใช่ผู้ที่กินแต่ผักอย่างแน่นอน
พลันนั้นนายน้อยเจ็ดก็ได้ตอบรับองค์หญิงน้อยแห่งวังอวิ๋นซิงดังที่คาดเอาไว้ เขาได้เดินออกมาจากพื้นที่ของตนเองแล้วมากล่าวตรงหน้ามู่เฉียนซี “แม่นาง ยอมส่งมอบตำแหน่งรายชื่อนี้มา ข้าจะให้ยาเม็ดเชิ่งหลิงขั้นปฐพีเม็ดหนึ่ง มันสามารถที่จะเพิ่มขั้นพลังความสามารถของเจ้าได้หนึ่งขั้น นับว่าเป็นการชดเชยให้แก่เจ้าแล้ว”
ผู้อื่นหลายคนเองเมื่อได้ยินเช่นนี้เข้าแล้วก็ล้วนแต่ตกตะลึง ยาเม็ดเชิ่งหลิง นายน้อยเจ็ดช่างมือเติบเสียจริงเชียว! ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะแห่งตำหนักเป่ยหาน
แต่ถึงแม้ว่าจะมอบยาเม็ดเชิ่งหลิงให้แก่พวกเขา และแม้ว่ายาเชิ่งหลิงจะสามารถเพิ่มพลังความสามารถให้ได้หนึ่งขั้น พวกเขาเองก็จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน! เพราะพลังความสามารถที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปในสระหานซินนั้นมันมากยิ่งกว่า
อีกทั้งการใช้ยาเม็ดเพิ่มพลังความสามารถมันก็มีผลข้างเคียงที่ซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย
มู่เฉียนซียิ้มเยาะแล้วกล่าวถาม “ยาเม็ดขั้นต่ำมันทรงคุณค่ามากนักหรือ?”
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดเย็นชาไปพลัน “แม่นาง เจ้าจงอย่าได้โลภมากไปนัก! ยาเม็ดขั้นปฐพีนี้เป็นสิ่งที่นักปรุงยาขั้นสูงสุดเต็มขั้นสกัดออกมา มันมีคุณภาพที่ดียิ่งนัก”
มู่เฉียนซีส่ายหน้าแล้วกล่าว “แต่ว่าข้าไม่อยากได้ของสวะนี่จริง ๆ นี่!”
คุณภาพดีนัก? เห็นนางเป็นคนตาบอดหรืออย่างไร? นี่เป็นสิ่งของกึ่งสำเร็จที่มีสิ่งเจือปนอย่างมากมาย แม้ว่าหลังจากกินไปแล้วจะสามารถเพิ่มระดับพลังความสามารถได้ แต่สิ่งเจือปนนั้นก็จะไปรวมกันอยู่ในร่างกายแล้ว แบบนี้มันน่ากลัวออกจะตายไป
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดเปลี่ยนเป็นดำเสียยิ่งกว่าก้นกระทะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบผู้ที่มิรู้จักอะไรดีอะไรร้ายเช่นเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ทำได้เพียงแต่ต้องลงมือเสียแล้ว”
สีหน้าของมู่เฉียนซียังคงมีแววยิ้มแย้มเช่นเก่า “ลงมือก็ลงมือสิ ใครกลัวใครกันเล่า!”
“รับกระบวนท่าเถอะ!”
นายน้อยเจ็ดลงมือ ผู้ที่เป็นนายน้อยอันดับสุดท้ายอย่างนายน้อยเจ็ด ถึงแม้ว่าจะยังไม่บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต แต่เขาก็มีพลังของจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น
การมายังสระหานซินในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะยืมใช้สระหานซินในการบรรลุขั้นมหาจักรรพรรดิ อยากที่จะให้บรรดาพี่ชายเหล่านั้นได้เบิกตามองกันใหม่
บึ้ม! หมัดอันร้ายกาจหมัดหนึ่งของนายน้อยเจ็ดได้พุ่งออกไป
คนอื่น ๆ ต่างล้วนตะลึงงัน “หญิงสาวผู้นี้โง่ไปแล้วกระมัง! ไม่เห็นแก่หน้านายน้อยเจ็ดก็ช่างเถอะ แต่มาตอนนี้นายน้อยเจ็ดลงมือแล้วนางกลับไม่หลบไป รนหาที่ตายรึไง?”
“ไม่ใช่ มิใช่ว่านางมิได้ไม่หลบ แต่นั่นเป็นเพียงแค่เงาภาพลวงตาเท่านั้น!”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หมัดนั้นของนายน้อยเจ็ดได้ต่อยอากาศเข้าเสียแล้ว
ที่เขาโจมตีโดนเข้านั้นเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อ่อนแอผู้หนึ่งแต่กลับมิได้โจมตีให้จบสิ้นในคราวเดียว นี่นับว่ามันเป็นความอัปยศของเขาอย่างแน่นอน
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดยิ่งมืดมนเข้าไปทุกที
ส่วนมู่เฉียนซีก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ราวกับภูตผีก็มิปาน เข็มยาเข็มหนึ่งจ่อไปที่ระหว่างคอของนาง มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สาวน้อยคนสวย อย่าได้ขยับตัวมั่วซั่วเชียว!”
“ถ้าหากว่าเข็มยาของข้ามิได้ระวังแล้วปักเข้าไปในคอของเจ้า คอของเจ้าก็จะเน่าเปื่อยไปในชั่วพริบตา จากนั้นมันก็จะหลุดร่วงลงพื้นไป…”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์สีหน้าซีดเผือดราวกับได้ฟังเรื่องราวระทึกขวัญไปเป็นหมื่นเรื่องก็มิปาน
“ข้า…ข้ามิได้มีความแค้นเคืองอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้?” อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ร้องไห้พลางกล่าว
“หากมิใช่เพราะเจ้ากระตุ้นให้เจ้าหมอนั่นมาหาเรื่องข้า มันก็จะไม่เกิดเรื่องผุดเป็นตอเช่นนี้ขึ้นมามิใช่หรือ? เจ้าใช้ความงามของเจ้าทำให้เจ้าโง่นั่นทำอะไรเพื่อเจ้า แต่ว่าอย่างไรเจ้าก็มิควรที่จะมาหาเรื่องให้ข้าโกรธ”
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดแข็งทื่อขึ้นแล้ว“แม่นาง เจ้าเป็นคู่ต่อสู้กับข้า รีบปล่อยตัวอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเป็นไอ้โง่สิถึงจะยอมปล่อยตัวประกันไป!”
“แล้วเจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตำแหน่งที่ของข้า ข้าต้องการมัน! ส่วนตัวเจ้าเองรักใคร่ในสาวงามเช่นนี้ เช่นนั้นก็ยกตำแหน่งที่ของเจ้าให้แก่สาวงามไปก็ได้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” นายน้อยเจ็ดกล่าว “ข้าสามารถที่จะไม่แย่งชิงตำแหน่งที่ของเจ้าได้ แต่เจ้าต้องปล่อยตัวนางเสีย หากเจ้ากล้าทำร้ายอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ละก็ ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้ทำอะไรเจ้า แต่วังอวิ๋นซิงก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์เองก็พยักหน้าแล้วกล่าว “แม่นาง ข้ามิได้ตั้งใจที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่กับเจ้า แต่ข้าอยากที่จะบรรลุมากเกินไปก็เท่านั้น เจ้าอย่าได้บุ่มบ่าม ถ้าหากว่าทำให้ข้าบาดเจ็บแล้วละก็ บิดาของข้าก็จะโกรธเอาได้นะ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยอาการท่าทางเสมือนหวาดกลัว “ได้ยินมาว่าวังอวิ๋นซิงเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสองที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าผู้ที่มาจากกลุ่มกำลังที่มิมีแม้แต่ระดับขั้นนิกายใดนั้นมิกล้าไปล่วงเกิน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ก็มิได้หวาดกลัวอีกต่อไป และถึงขนาดที่มีความรู้สึกอันเหนือกว่าอย่างเข้มข้น
นางกล่าว “เจ้ารีบปล่อยตัวข้าเถอะ! ข้าจะไม่จดจำคิดแค้นหรอก”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ตกลง! ข้าจะปล่อยตัวสาวงามผู้นี้ ข้าจะคืนนางให้เจ้าเสีย”
ทันทีที่ขาของมู่เฉียนซีขยับมันก็ได้ถีบอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์จากด้านหลังให้กระเด็นลอยออกไป
“โอ๊ย!” อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ตื่นตระหนกร้องโอดโอยออกมา นายน้อยเจ็ดรีบเข้าไปคอยรับตัวนางอย่างรีบร้อน
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์เก็บงำความเคียดแค้นอย่างที่สุดเอาไว้ หญิงสาวที่มีฐานันดรอันต่ำต้อยกล้าที่จะมาถีบนาง! ถีบนาง! แม้แต่บิดาของนางยังมิกล้าทำกับนางเช่นนี้
นายน้อยเจ็ดกล่าว “หญิงสาวผู้นั้นมันจะมากเกินไปแล้ว ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า!”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์กล่าว “ไม่ต้องหรอกนายน้อยเจ็ด การที่ผู้ที่มีฐานันดรต่ำดั่งเช่นแม่นางผู้นั้นจะมีโอกาสเช่นนี้ได้ มันก็ไม่ง่ายดายนัก พวกเราจะล่วงเกินมากเกินไปนักมิได้ เพื่อที่จะมิให้คนเขาไปกล่าวกันว่าพวกเราเอาอำนาจไปรังแกผู้อื่น”
“เรื่องนี้จะปล่อยให้จบไปเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด!” นายน้อยเจ็ดกัดฟันกล่าว
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าคิดที่จะผิดคำพูดเช่นนี้รึ? ได้ยินมาว่าเจ้ายังเป็นนายน้อยเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานอีกด้วย! นั่นเป็นถึงกลุ่มกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามที่มีชื่อเสียงโด่งดังเชียว เจ้าพูดแล้วคืนคำเช่นนี้มิกลัวว่าจะขายหน้าเสียจนสิ้นหรือ?”
นายน้อยเจ็ดกล่าว “ที่ข้ารับปากเอาไว้คือการไม่แย่งตำแหน่งที่กับเจ้า! แต่ข้ามิได้รับปากเอาไว้ว่าจะไม่สั่งสอนเจ้าให้ดีเสียหน่อยสักครา!”
“ส่วนเรื่องขายหน้านั้น สิ่งที่ข้ากระทำไปในวันนี้ มีผู้ใดกล้าพูดกล่าวออกไปรึ?”
คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนกล่าวออกมา “นายน้อยเจ็ดจงวางใจ เรื่องในวันนี้พวกเราจะไม่กล่าวกับคนนอกอย่างแน่นอน”
“นายน้อยเจ็ด ล้วนแต่เป็นสตรีผู้นี้ที่มิรู้จักดีชั่ว ท่านลงมือตามสบายก็ถูกต้องแล้ว! หากว่าต้องการความช่วยเหลือก็จงบอกออกมาเพียงคำเดียวก็พอ”
นายน้อยเจ็ดได้นำอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ไปไว้อีกด้านหนึ่ง เขามองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าอันเย็นยะเยือกพร้อมกล่าว “ประมือกับตัวละครเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ข้ามิต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาช่วย”
.
.
ตอนที่ 1242 ออกหน้าแทนสาวงาม
นายน้อยเจ็ดมองไปยังสาวงามชุดขาวผู้นี้แล้วกล่าว “เจ้าเป็นใคร?”
ใจของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์แทบจะแหลกสลาย เดิมทีนึกว่าได้เจอกับนายน้อยเจ็ดเพียงครั้งเดียวอีกทั้งบวกกับความงดงามที่มิอาจหาผู้ใดเปรียบด้วยได้ในแคว้นแล้ว จะต้องสามารถทำให้นายน้อยเจ็ดจำตนขึ้นมาได้ในทันใดสิถึงจะถูก แต่นึกไม่ถึงเลยว่า…เขาจะมิได้เอานางใส่ไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กล่าว “นายน้อยเจ็ด ข้าคืออวิ๋นเหลียนเอ๋อร์แห่งวังอวิ๋นซิง! ปีก่อนหน้าท่านเป็นตัวแทนของตำหนักเป่ยหานไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำของตำหนักอวิ๋นซิงของพวกเรา บิดาของพวกเรายังเคยกล่าวกับท่านเจ้าตำหนักเอาไว้อีกว่าจะให้ข้า…”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์กล่าววาจาติด ๆ ขัด ๆ ใบหน้าของนางนั้นแดงระเรื่อไปทั่วทั้งใบหน้าแล้ว ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก!
วังอวิ๋นซิง กองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสอง สำหรับตำหนักเป่ยหานแล้วนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน
หญิงสาวผู้นี้มีความงดงามอยู่บ้าง หากรับมาเป็นผู้หญิงของเขาเสีย บางทีก็อาจจะสามารถช่วยเขาในการแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยแห่งตำหนักได้อยู่บ้าง
แล้วหากย้อนมองดูสตรีผู้นั้น เขาไม่เคยที่จะพบเจอมาก่อน อีกทั้งยังมิได้นับว่าเป็นคนของกองกำลังใหญ่ใด ๆ ทั้งสิ้น
พลังความสามารถก็ยังอ่อนแอเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่เหนือกว่าอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ แต่ก็ไม่มีราคาเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีเองก็ได้รู้จากปากของสตรีรูปงามผู้น่าสงสารผู้นั้นแล้วว่าคนผู้นี้คือนายน้อยเจ็ดของที่ใด ก็นายน้อยเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานอย่างไรเล่า!
นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าตำหนักเป่ยหานผู้นั้นจะให้กำเนิดเก่งยิ่งนัก คนผู้นี้จัดอยู่ตำแหน่งที่เจ็ด อย่างน้อยก็คงให้กำเนิดมาเจ็ดคนแล้วกระมัง!
ฝ่ายตรงข้ามไม่เป็นฝ่ายบุกเข้ามา นางเองก็ยังไม่อยากที่จะเผชิญกับตำหนักเป่ยหานอย่างซึ่ง ๆ หน้าโดยที่มีพื้นฐานไม่มั่นคงหลังจากผ่านศึกใหญ่มา
แต่ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามเข้ามาหาเรื่อง มู่เฉียนซีก็มิใช่ผู้ที่กินแต่ผักอย่างแน่นอน
พลันนั้นนายน้อยเจ็ดก็ได้ตอบรับองค์หญิงน้อยแห่งวังอวิ๋นซิงดังที่คาดเอาไว้ เขาได้เดินออกมาจากพื้นที่ของตนเองแล้วมากล่าวตรงหน้ามู่เฉียนซี “แม่นาง ยอมส่งมอบตำแหน่งรายชื่อนี้มา ข้าจะให้ยาเม็ดเชิ่งหลิงขั้นปฐพีเม็ดหนึ่ง มันสามารถที่จะเพิ่มขั้นพลังความสามารถของเจ้าได้หนึ่งขั้น นับว่าเป็นการชดเชยให้แก่เจ้าแล้ว”
ผู้อื่นหลายคนเองเมื่อได้ยินเช่นนี้เข้าแล้วก็ล้วนแต่ตกตะลึง ยาเม็ดเชิ่งหลิง นายน้อยเจ็ดช่างมือเติบเสียจริงเชียว! ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะแห่งตำหนักเป่ยหาน
แต่ถึงแม้ว่าจะมอบยาเม็ดเชิ่งหลิงให้แก่พวกเขา และแม้ว่ายาเชิ่งหลิงจะสามารถเพิ่มพลังความสามารถให้ได้หนึ่งขั้น พวกเขาเองก็จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน! เพราะพลังความสามารถที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าไปในสระหานซินนั้นมันมากยิ่งกว่า
อีกทั้งการใช้ยาเม็ดเพิ่มพลังความสามารถมันก็มีผลข้างเคียงที่ซ่อนเร้นอยู่ไม่น้อย
มู่เฉียนซียิ้มเยาะแล้วกล่าวถาม “ยาเม็ดขั้นต่ำมันทรงคุณค่ามากนักหรือ?”
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดเย็นชาไปพลัน “แม่นาง เจ้าจงอย่าได้โลภมากไปนัก! ยาเม็ดขั้นปฐพีนี้เป็นสิ่งที่นักปรุงยาขั้นสูงสุดเต็มขั้นสกัดออกมา มันมีคุณภาพที่ดียิ่งนัก”
มู่เฉียนซีส่ายหน้าแล้วกล่าว “แต่ว่าข้าไม่อยากได้ของสวะนี่จริง ๆ นี่!”
คุณภาพดีนัก? เห็นนางเป็นคนตาบอดหรืออย่างไร? นี่เป็นสิ่งของกึ่งสำเร็จที่มีสิ่งเจือปนอย่างมากมาย แม้ว่าหลังจากกินไปแล้วจะสามารถเพิ่มระดับพลังความสามารถได้ แต่สิ่งเจือปนนั้นก็จะไปรวมกันอยู่ในร่างกายแล้ว แบบนี้มันน่ากลัวออกจะตายไป
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดเปลี่ยนเป็นดำเสียยิ่งกว่าก้นกระทะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบผู้ที่มิรู้จักอะไรดีอะไรร้ายเช่นเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ทำได้เพียงแต่ต้องลงมือเสียแล้ว”
สีหน้าของมู่เฉียนซียังคงมีแววยิ้มแย้มเช่นเก่า “ลงมือก็ลงมือสิ ใครกลัวใครกันเล่า!”
“รับกระบวนท่าเถอะ!”
นายน้อยเจ็ดลงมือ ผู้ที่เป็นนายน้อยอันดับสุดท้ายอย่างนายน้อยเจ็ด ถึงแม้ว่าจะยังไม่บรรลุขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูต แต่เขาก็มีพลังของจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น
การมายังสระหานซินในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะยืมใช้สระหานซินในการบรรลุขั้นมหาจักรรพรรดิ อยากที่จะให้บรรดาพี่ชายเหล่านั้นได้เบิกตามองกันใหม่
บึ้ม! หมัดอันร้ายกาจหมัดหนึ่งของนายน้อยเจ็ดได้พุ่งออกไป
คนอื่น ๆ ต่างล้วนตะลึงงัน “หญิงสาวผู้นี้โง่ไปแล้วกระมัง! ไม่เห็นแก่หน้านายน้อยเจ็ดก็ช่างเถอะ แต่มาตอนนี้นายน้อยเจ็ดลงมือแล้วนางกลับไม่หลบไป รนหาที่ตายรึไง?”
“ไม่ใช่ มิใช่ว่านางมิได้ไม่หลบ แต่นั่นเป็นเพียงแค่เงาภาพลวงตาเท่านั้น!”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ หมัดนั้นของนายน้อยเจ็ดได้ต่อยอากาศเข้าเสียแล้ว
ที่เขาโจมตีโดนเข้านั้นเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อ่อนแอผู้หนึ่งแต่กลับมิได้โจมตีให้จบสิ้นในคราวเดียว นี่นับว่ามันเป็นความอัปยศของเขาอย่างแน่นอน
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดยิ่งมืดมนเข้าไปทุกที
ส่วนมู่เฉียนซีก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ราวกับภูตผีก็มิปาน เข็มยาเข็มหนึ่งจ่อไปที่ระหว่างคอของนาง มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สาวน้อยคนสวย อย่าได้ขยับตัวมั่วซั่วเชียว!”
“ถ้าหากว่าเข็มยาของข้ามิได้ระวังแล้วปักเข้าไปในคอของเจ้า คอของเจ้าก็จะเน่าเปื่อยไปในชั่วพริบตา จากนั้นมันก็จะหลุดร่วงลงพื้นไป…”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์สีหน้าซีดเผือดราวกับได้ฟังเรื่องราวระทึกขวัญไปเป็นหมื่นเรื่องก็มิปาน
“ข้า…ข้ามิได้มีความแค้นเคืองอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำกับข้าเช่นนี้?” อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ร้องไห้พลางกล่าว
“หากมิใช่เพราะเจ้ากระตุ้นให้เจ้าหมอนั่นมาหาเรื่องข้า มันก็จะไม่เกิดเรื่องผุดเป็นตอเช่นนี้ขึ้นมามิใช่หรือ? เจ้าใช้ความงามของเจ้าทำให้เจ้าโง่นั่นทำอะไรเพื่อเจ้า แต่ว่าอย่างไรเจ้าก็มิควรที่จะมาหาเรื่องให้ข้าโกรธ”
สีหน้าของนายน้อยเจ็ดแข็งทื่อขึ้นแล้ว“แม่นาง เจ้าเป็นคู่ต่อสู้กับข้า รีบปล่อยตัวอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์”
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเป็นไอ้โง่สิถึงจะยอมปล่อยตัวประกันไป!”
“แล้วเจ้าจะเอาเช่นไรกันแน่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “ตำแหน่งที่ของข้า ข้าต้องการมัน! ส่วนตัวเจ้าเองรักใคร่ในสาวงามเช่นนี้ เช่นนั้นก็ยกตำแหน่งที่ของเจ้าให้แก่สาวงามไปก็ได้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้!” นายน้อยเจ็ดกล่าว “ข้าสามารถที่จะไม่แย่งชิงตำแหน่งที่ของเจ้าได้ แต่เจ้าต้องปล่อยตัวนางเสีย หากเจ้ากล้าทำร้ายอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ละก็ ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้ทำอะไรเจ้า แต่วังอวิ๋นซิงก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์เองก็พยักหน้าแล้วกล่าว “แม่นาง ข้ามิได้ตั้งใจที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่กับเจ้า แต่ข้าอยากที่จะบรรลุมากเกินไปก็เท่านั้น เจ้าอย่าได้บุ่มบ่าม ถ้าหากว่าทำให้ข้าบาดเจ็บแล้วละก็ บิดาของข้าก็จะโกรธเอาได้นะ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยอาการท่าทางเสมือนหวาดกลัว “ได้ยินมาว่าวังอวิ๋นซิงเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสองที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าผู้ที่มาจากกลุ่มกำลังที่มิมีแม้แต่ระดับขั้นนิกายใดนั้นมิกล้าไปล่วงเกิน!”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ก็มิได้หวาดกลัวอีกต่อไป และถึงขนาดที่มีความรู้สึกอันเหนือกว่าอย่างเข้มข้น
นางกล่าว “เจ้ารีบปล่อยตัวข้าเถอะ! ข้าจะไม่จดจำคิดแค้นหรอก”
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ตกลง! ข้าจะปล่อยตัวสาวงามผู้นี้ ข้าจะคืนนางให้เจ้าเสีย”
ทันทีที่ขาของมู่เฉียนซีขยับมันก็ได้ถีบอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์จากด้านหลังให้กระเด็นลอยออกไป
“โอ๊ย!” อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ตื่นตระหนกร้องโอดโอยออกมา นายน้อยเจ็ดรีบเข้าไปคอยรับตัวนางอย่างรีบร้อน
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์เก็บงำความเคียดแค้นอย่างที่สุดเอาไว้ หญิงสาวที่มีฐานันดรอันต่ำต้อยกล้าที่จะมาถีบนาง! ถีบนาง! แม้แต่บิดาของนางยังมิกล้าทำกับนางเช่นนี้
นายน้อยเจ็ดกล่าว “หญิงสาวผู้นั้นมันจะมากเกินไปแล้ว ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า!”
อวิ๋นเหยียนเอ๋อร์กล่าว “ไม่ต้องหรอกนายน้อยเจ็ด การที่ผู้ที่มีฐานันดรต่ำดั่งเช่นแม่นางผู้นั้นจะมีโอกาสเช่นนี้ได้ มันก็ไม่ง่ายดายนัก พวกเราจะล่วงเกินมากเกินไปนักมิได้ เพื่อที่จะมิให้คนเขาไปกล่าวกันว่าพวกเราเอาอำนาจไปรังแกผู้อื่น”
“เรื่องนี้จะปล่อยให้จบไปเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด!” นายน้อยเจ็ดกัดฟันกล่าว
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าคิดที่จะผิดคำพูดเช่นนี้รึ? ได้ยินมาว่าเจ้ายังเป็นนายน้อยเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานอีกด้วย! นั่นเป็นถึงกลุ่มกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามที่มีชื่อเสียงโด่งดังเชียว เจ้าพูดแล้วคืนคำเช่นนี้มิกลัวว่าจะขายหน้าเสียจนสิ้นหรือ?”
นายน้อยเจ็ดกล่าว “ที่ข้ารับปากเอาไว้คือการไม่แย่งตำแหน่งที่กับเจ้า! แต่ข้ามิได้รับปากเอาไว้ว่าจะไม่สั่งสอนเจ้าให้ดีเสียหน่อยสักครา!”
“ส่วนเรื่องขายหน้านั้น สิ่งที่ข้ากระทำไปในวันนี้ มีผู้ใดกล้าพูดกล่าวออกไปรึ?”
คนอื่น ๆ อีกเจ็ดคนกล่าวออกมา “นายน้อยเจ็ดจงวางใจ เรื่องในวันนี้พวกเราจะไม่กล่าวกับคนนอกอย่างแน่นอน”
“นายน้อยเจ็ด ล้วนแต่เป็นสตรีผู้นี้ที่มิรู้จักดีชั่ว ท่านลงมือตามสบายก็ถูกต้องแล้ว! หากว่าต้องการความช่วยเหลือก็จงบอกออกมาเพียงคำเดียวก็พอ”
นายน้อยเจ็ดได้นำอวิ๋นเหยียนเอ๋อร์ไปไว้อีกด้านหนึ่ง เขามองมู่เฉียนซีด้วยสีหน้าอันเย็นยะเยือกพร้อมกล่าว “ประมือกับตัวละครเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ข้ามิต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาช่วย”