ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1438 จิ่วเยี่ยอยู่เป็นเพื่อนนาง
มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “สุ่ยจิงอิ๋งมีวิธีอันใด?”
“ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าผลึกวิญญาณทมิฬนี้จะมีพลังวิญญาณเพียงพอ แต่กลับส่งผลร้ายต่อร่างกาย ซีปรุงยาชะล้างกำจัดส่วนที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายไปได้ สามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญได้เร็วขึ้น แต่การดูดซับเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง อยากให้พลังถึงระดับสูงสุด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามถึงสิบปี”
สามถึงสิบปี นานเกินไปแล้ว!
แม้จะรู้ว่าต้องอดทนรอคอยถึงจะทำบางอย่างให้สำเร็จได้ แต่นางก็ไม่อาจรอได้นานถึงเพียงนั้น สถานการณ์ของเสี่ยวไป๋ตอนนี้เป็นเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด
“แต่หากใช้ผลึกวิญญาณทมิฬเหล่านี้สร้างค่ายกลแล้วละก็ ความเร็วของการฝึกบำเพ็ญก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ครึ่งปี มากสุดก็สามปี และผลึกวิญญาณทมิฬเหล่านี้ก็สามารถสร้างค่ายกลใหญ่ ๆ ได้ ต่อให้เป็นเป่ยกงจั๋วผู้นั้น ก็ยากที่จะทำลายได้”
ทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่ถูกเปิดเผยแล้ว ยากที่จะป้องกันไม่ให้เป่ยกงจั๋วมาลอบโจมตีในขณะที่พวกเขาฝึกฝน แต่หากมีค่ายกลป้องกันแล้วละก็ สถานการณ์ก็จะพลิกเปลี่ยนไป
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “แล้วต้องทำเช่นไร?”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ตอนนี้พลังของซีเอ๋อร์เพิ่มขึ้นแล้ว เพราะมีพลังจิตอันอบอุ่นของซีเอ๋อร์ พลังของข้าจึงฟื้นฟูกลับมาสักหน่อยแล้ว เพียงพอที่จะสร้างค่ายกลได้ แต่หลังจากนี้ข้าจะต้องหลับใหลไปช่วงหนึ่ง”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลง! ข้ายังมีผลึกวิญญาณราชาทมิฬกับไข่มุกวิญญาณทมิฬอยู่ น่าจะเอาออกมาใช้ได้กระมัง!”
“ผลึกวิญญาณราชาทมิฬกับไข่มุกวิญญาณทมิฬเป็นของล้ำค่าที่สร้างค่ายกลได้ดีที่สุด มีของพวกนี้อยู่ ผลลัพธ์ก็ยิ่งดี”
“แล้วเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ดีล่ะ?”
“ซีเอ๋อร์พร้อมเมื่อใด เราก็เริ่มได้ทันที!”
“ตกลง!”
ทุกคนถูกเรียกกลับมารวมตัวกัน และแบ่งออกเป็นกลุ่มหลายกลุ่มตามเมืองต่าง ๆ จากนั้นสุ่ยจิงอิ๋งเริ่มสร้างค่ายกลแล้ว
โดยมีไข่มุกวิญญาณทมิฬเป็นใจกลางค่ายกล ส่วนผลึกวิญญาณทมิฬอีกเจ็ดชิ้นเป็นดวงตาของค่ายกล ก่อตัวออกมาเป็นค่ายกลใหญ่และเป็นค่ายกลที่รวบรวมพลังวิญญาณเข้มข้นเอาไว้อีกด้วย
หลังจากที่ค่ายกลก่อตัวขึ้น ทุกคนที่อยู่ในค่ายกลต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นทันใด
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าร่างกายของข้าได้ดูดซับพลังวิญญาณเข้าไปมากมายนะ หรือว่าตอนที่พวกเราสู้รบศึกครั้งใหญ่นั้นแล้วหนีรอดจากความตายมาได้ มันทำให้ข้ากลายเป็นอัจฉริยะได้”
“ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียวสักหน่อย พระเจ้าช่วย! การฝึกบำเพ็ญได้ผลเร็วมาก นี่ข้ากำลังฝันไปหรือไม่!”
“วิเศษจริง ๆ!”
และในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ที่นี่ถูกสร้างเป็นค่ายกลใหญ่ขึ้นแล้ว นับจากนี้ต่อไป ทุกคนของหอหมอปีศาจจงตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี จนกว่าจะแข็งแกร่งต่อสู้รับมือกับศัตรูอย่างตำหนักเป่ยหานได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะลงสนามรบกันอีกครั้ง!”
“ขอรับ!”
“หัวหน้าหอวางใจได้ พวกเราจะตั้งใจฝึกบำเพ็ญอย่างเต็มที่ขอรับ!”
“……”
ศึกการสู้รบครั้งนี้ เป็นศึกการสู้รบที่ขื่นขมมาก!
ถึงแม้ว่ากองทัพของพวกเขาจะไม่พังทลายย่อยยับไป แต่กลับได้รู้อย่างแท้จริงว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นยังไม่เพียงพอ ไม่เพียงพอจริง ๆ!
ความแข็งแกร่งระดับสูงสุด จะต้องทำให้ได้!
มู่เฉียนซีกล่าวกับกู่ถานว่า “ต้องขอบใจเผ่าโบราณของพวกเจ้ามากที่มอบผลึกวิญญาณทมิฬให้ ผลลัพธ์มันถึงออกมาดีเช่นนี้ได้”
กู่ถานกล่าว “ต่อให้เมื่อก่อนเผ่าโบราณของข้าจะมีผลึกวิญญาณทมิฬ แต่ก็ไม่อาจฝึกบำเพ็ญได้เร็วถึงขั้นนี้ ผู้นำตระกูลให้พวกเราได้ฝึกบำเพ็ญที่นี่ นับว่าเป็นความโชคดีของพวกเรามากแล้ว!”
หลังจากนั้น เมืองหลายเมืองในทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่จึงได้สงบลง
สภาพแวดล้อมการฝึกบำเพ็ญที่ดีเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ตั้งใจฝึกบำเพ็ญก็โง่เขลาเต็มทีแล้ว
ทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญมีพร้อม ยาลูกกลอนก็มีไม่ขาด ตอนนี้พวกเขาเริ่มเพิ่มพลังความแข็งแกร่งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดแล้ว
เป่ยกงจั๋วไม่สบายใจ จึงส่งคนมาลอบโจมตี แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ…
คนที่ไปลอบโจมตีเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใกล้ทุ่งรกร้างอันกว้างใหญ่ได้แม้เพียงครึ่งก้าว และไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉียนซี
“ฝ่าบาท ตอนนี้ที่นั่นถูกป้องกันด้วยค่ายกลที่แข็งแกร่งมาก พวกเราเข้าไปไม่ได้เลย!”
“พวกเจ้าโจมตีไม่ได้หรือไง! ภายในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ มู่เฉียนซีมันจะสร้างค่ายกลป้องกันได้อย่างไรกัน”
“ฝ่าบาท พวกเราลองแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ค่ายกลป้องกันนั้นทำลายไม่ได้จริง ๆ เกรงว่าค่ายกลป้องกันนั่น จะแข็งแกร่งกว่าค่ายกลของตำหนักเป่ยหานเสียอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของเป่ยกงจั๋วเผยความประหลาดใจออกมา เขากล่าว “ไปตรวจสอบดูอีกรอบ! มันจะต้องมีวิธีทำลายค่ายกลนั่นได้แน่นอน!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองล้วนแต่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกบำเพ็ญ มู่เฉียนก็จะกลับไปฝึกบำเพ็ญเช่นกัน
นางมองหน้าอินรั่วเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าโอรสศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่กลับไปอีกเหรอ ตอนนี้หอหมอปีศาจของข้าพ้นอันตรายแล้ว”
อินรั่วเฉินกล่าว “สภาพแวดล้อมที่นี่ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย”
“อยู่ต่อ เท่ากับตาย!” น้ำเสียงเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นราวกับมาจากนรก ทันใดนั้นเองร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
เขายื่นมือมาและคว้าร่างของมู่เฉียนซีเอาเข้าไปกอดไว้ในอ้อมอก ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเหลือบมองไปที่อินรั่วเฉิน
สายตาคู่นั้นราวกับว่าต้องการฉีกเนื้ออินรั่วเฉินออกเป็นชิ้น ๆ
“จิ่วเยี่ย!” มู่เฉียนซีถูกเขาดึงเข้าไปกอดจนรู้สึกคุ้นชินแล้ว
“อินรั่วเฉิน เจ้าอยู่ต่อเจ้าก็ไม่ได้คืนฝักกระบี่ให้ข้า ข้าก็ยังฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้าว่าเจ้ากลับไปเถอะ รอให้ถึงเวลาอย่างที่เจ้าว่าแล้วค่อยมา!”
อินรั่วเฉินมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามดุจดั่งเทพมารผู้นั้น ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ผู้แข็งแกร่งอย่างองค์ชายจิ่วเยี่ยคอยปกป้องแม่นางมู่เช่นนี้ ข้าดีใจแทนแม่นางมู่จริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ได้โปรดองค์ชายจิ่วเยี่ยปกป้องนางให้ดีด้วย”
จิ่วเยี่ยกอดนางแน่นขึ้นราวกับต้องการหลอมรวมตัวเขากับนางให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
มุมปากอันงดงามอย่างไร้ที่ตินั้นยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “แน่นอนอยู่แล้ว ซีเป็นผู้หญิงของข้า เป็นคนสำคัญที่สุดของข้า เป็นโลกทั้งใบของข้า”
ดวงตาที่บริสุทธิ์คู่นั้นของอินรั่วเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“เจ้ามาแล้ว! ได้ข่าวของเผ่าหงส์แล้วใช่หรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวพลางซบหน้าอกจิ่วเยี่ย
“สุ่ยจิงอิ๋งให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” จิ่วเยี่ยกระซิบกล่าวข้างหูมู่เฉียนซี
“ผู้เป็นพันธสัญญาของเจ้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี ซีต้องคิดถึงข้ามากแล้วใช่หรือไม่?”
กล่าวจบ ริมฝีปากของจิ่วเยี่ยก็กัดติ่งหูมู่เฉียนซีเบา ๆ มู่เฉียนซีรู้สึกใบหูร้อนผ่าวขึ้น
“สุ่ยจิงอิ๋ง” มู่เฉียนซีเรียกผู้เป็นพันธสัญญาของตัวเองผ่านทางจิต
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “ข้าต้องหลับใหลไปช่วงหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้นจิ่วเยี่ยก็จะมาหาเจ้าลำบาก ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่หลับใหลไป ส่งจิ่วเยี่ยมาให้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าก่อน”
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ซีเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เจ้าต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
เหน็ดเหนื่อยจริง ๆ นับตั้งแต่หลังจากที่เป่ยกงจั๋วรู้ว่านางครอบครองหม้อเทพนิรันดร์ ชีวิตของนางก็วุ่นวายมาโดยตลอด เจ้าหมอนั่นช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก
มู่เฉียนซีกล่าว “อืม! ข้าอยากเจอเจ้า แต่ว่า…”
นางถูกจิ่วเยี่ยอุ้มขึ้น จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงต่ำว่า “อืม! ข้าก็คิดถึงเจ้ามาก”
“หวงจิ่วเยี่ย เจ้า…อย่าคิดที่จะ…เจ้าไม่ลงไม้ลงมือได้หรือไม่…”
อือ!
“เช่นนั้นก็ลงปาก!”
จิ่วเยี่ยบดจูบนางจนถึงที่สุด มู่เฉียนซีรู้สึกสั่นสะเทือนไปทั่วร่าง
หลังจากความอ่อนโยนและการพัวพันนี้ ดูเหมือนว่าตราบใดที่มีจิ่วเยี่ยอยู่ข้างกาย สายคาดเอวที่รัดแน่นที่เอวเขานั้นก็คลายออกได้ทุกเมื่อ
“เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าไม่ใช่เหรอ นี่เจ้าอยากอยู่แค่คืนเดียวแล้วถูกสุ่ยจิงอิ๋งบังคับส่งตัวกลับไปใช่หรือไม่ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“แต่ข้าไม่สบายแล้ว!” จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
สายตาของมู่เฉียนซีกวาดมองจิ่วเยี่ย “ไม่สบายอย่างนั้นเหรอ?”
“เหตุใดหมอปีศาจอย่างข้าถึงดูไม่ออกเลยล่ะ?” ต้องรู้เอาไว้เลยว่าผู้ที่แข็งแกร่งอย่างจิ่วเยี่ยผู้นี้ นอกจากคำสาปที่อยู่ในร่างกายแล้ว เขาไม่มีทางเจ็บไข้ได้ป่วยแน่นอน!
.
.